บทความทั้งหมด
รอบรู้มัทฉะ
กว่าจะเป็นผงชามัทฉะ
22 มี.ค. 20

เรื่องราวของชาเขียวเริ่มต้นจากจักรพรรดิเสินหนงในจีน ผู้ค้นพบชาเมื่อใบชาร่วงลงในน้ำเดือด ทำให้เกิดเครื่องดื่มที่กระปรี้กระเปร่า การปลูกชาในจีนพัฒนาเรื่อยมา มีทั้งการเติมเครื่องเทศน์ หรือดอกไม้ลงไป เพื่อให้มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว ซึ่งกระบวนการผลิตชาเกิดจากการนำใบชามานึ่งและอบแห้ง ซึ่งทำให้สูยเสียกลิ่นได้ง่ายและรสชาติไม่ดี  ต่อมามีการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยการหมักและนำไปอบจนเกิดเป็นชาอู่หลงและชาดำขึ้น

 

กว่าจะเป็นผงชามัทฉะ

ในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ (Kamakura) นักบวชในพุทธศาสนาเซน ได้นำชาจากจีนพร้อมกรรมวิธีการผลิตชากลับมาที่ญี่ปุ่นด้วย ซึ่งวิธีการผลิตคือ การนำใบชามาบดโดย “ครกหิน หรือ “อิชิอุสุ” (石臼: Ishi-usu)” ที่มีลักษณะเป็นหินทรงกระบอกสองชิ้น วางทับกัน โดยมีที่จับสำหรับหมุนที่หินด้านบน เป็นครกหินที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยที่สุด เพื่อรักษารสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ ออกมาเป็นผงละเอียดเหมือนแป้ง หรือที่เราเรียกว่า “ผงมัทฉะ” ซึ่งการบดมัทฉะโดยครกอิชิอุสุนั้น ไม่ว่าจะหมุนด้วยแรงคนหรือพลังงานไฟฟ้า ถ้าหมุนโดยไม่หยุดพักเลย1 ชั่วโมง จะได้ผงมัทฉะออกมาแค่ 40 กรัม เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มัทฉะมีราคาแพงกว่าใบชานั่นเอง

 

ครกหิน

 

แม้ว่าวิธีการบดหินนี้ไม่ได้รับความนิยมในประเทศจีน แต่วิธีนี้ยังคงดำเนินต่อไปในญี่ปุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา ซึ่งผงมัทฉะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางพุทธศาสนานิกายเซน จากนั้นก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการคัดเลือกจากชนชั้นสูงของสังคมญี่ปุ่นศักดินาและปัจจุบันความชื่นชมของมัทฉะก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก

 

ความเหมือนที่แตกต่างของ “มัทฉะ” และ “ชาเขียว ที่ชัดเจนที่สุด คือ ลักษณะของการใช้ เพราะมัทฉะจะมาในรูปแบบผงละเอียด ในขณะที่ชาเขียวโดยปกติจะมาในรูปแบบของใบชาแห้ง เวลากิน ชงกับน้ำร้อนกินแต่น้ำชา ส่วนใบชากรองออก ส่วนมัทฉะ เวลากินจะนำผงชาไปผสมกับน้ำร้อน คนให้เข้ากันแล้วดื่มได้ทั้งหมด ไม่ต้องกรองส่วนใดออก

 

 

มีประโยคที่กล่าวว่า“Matcha must be powdered green tea. But not all powdered green tea is matcha…”นั้นเป็นเพราะว่าใบชาที่ดีที่นิยมนำมาบดเป็นผงละเอียดได้ ส่วนใหญ่จะเป็นใบชาเทนฉะ เพราะบดออกมาแล้วจะได้ความละเอียดมากกว่าชนิดอื่น

 

เมื่อผงมัทฉะเป็นที่นิยมมากขึ้น เกิดการขายตัดราคากัน ทำให้ผงชาเขียวตามท้องตลาดทุกวันนี้อาจจะมีส่วนผสมของแป้งเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้ผงสีเขียวที่ควรจะเป็นผงชาเขียว 100% กลับไม่ใช่ผงมัทฉะที่แท้ตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น จะเห็นได้ชัดหากเรานำผงมัทฉะหลายๆแบรนด์ มาเทเทียบกัน อนุภาคความละเอียดของผงมัทฉะจะเห็นได้ชัดว่ามีสีและความละเอียดท่แตกต่างกันออกไปค่ะ

 

ปัจจุบันนิยมนำผงมัทฉะมาชงเครื่องดื่ม ร้อน เย็น ทำขนม หรือไอศกรีม เพราะมัทฉะมีสีเขียวสดสวย อีกทั้งยังมีคุณค่าทางอาหารจากใบชาทั้งใบอีกด้วย ทำให้มัทฉะได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรักสุขภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะที่ชาเขียวสามารถใช้ชงเครื่องดื่ม ร้อน เย็นได้ แต่ไม่เหมาะที่จะไปทำขนมนั่นเองค่ะ

ชอบบทความนี้ ?
โปรดแชร์ให้เพื่อนๆ