
หลายคนคงเคยชินกับการชงชาจากถุงชาซ้ำสองถึงสามรอบ หรือใช้ใบชาที่ผ่านการชงแล้วมากกว่า 1 ครั้ง แม้จะมีความสงสัยกับการชงชาว่าหลังจากต้มน้ำแล้ว เอามาชงซ้ำอีกรอบได้มั้ย เพราะดูๆแล้วยังชงดื่มได้อีก สักรอบถึงสองรอบ
โดยปกติแล้วผงชา หรือใบชาบดทุกชนิด มีความเข้มข้นในตัวเอง หากมีการนำมาต้ม หรือโดนน้ำร้อน จะทำให้น้ำร้อนสกัดรสชาติและความเข้มข้นของชาออกมา และเมื่อตอนเราบีบน้ำให้ออกมาจากใบชา ยิ่งบีบแรงเท่าไหร่ ก็จะได้ความเข้มข้นของชามากขึ้น เมื่อผงหรือใบชาที่ผ่านการกรองกากมาแล้วหนึ่งครั้ง ในตัวของผงหรือใบชานั้น ก็ยังคงเหลือรสชาติ และความเข้มข้นอยู่ แต่ไม่เข้มเท่าครั้งแรก ยิ่งชงซ้ำหลายครั้ง รสชาติของน้ำชา ก็จะจืดลงไปเรื่อยๆ นอกจากนั้นสีและกลิ่นของชาก็จะลดลง โดยเฉพาะชาที่ผสมนมอย่างเช่น ชาไต้หวัน ชาเขียว ชาไทยแล้วความหวานและกลิ่นของนมจะกลบกลิ่นชาไปอีกด้วย
นอกจากนี้รสชาติ สีสัน และ ความรู้สึกที่สัมผัสจากการดื่มชานั้นมาจากสององค์ประกอบหลักของชา คือ โพลีฟีนอล และ คาเฟอีนแต่ละส่วนประกอบมีรสฝาดในตัวเอง แต่เมื่อมารวมกันความฝาดก็จะลดลง การต้มน้ำให้เดือดอีกครั้งจะทำการลดระดับของ CO2 ซึ่งมีผลในการลดความเป็นกรดลง มีผลต่อองค์ประกอบของคาเฟอีนและโพลีฟีนอล และจะทำให้เกิดการเปลี่ยนสีรวมทั้งลักษณะของชาที่ชง น้ำที่ต้มสองครั้งจะมีผลต่อรสชาติของชาเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายใดๆ และสารอาหารก็ไม่ได้หายไปไหนอีกด้วย
อย่างไรก็ตามเมนูชาเย็นแนะนำใช้ชงครั้งเดียว เพราะเมนูชาเย็น ความอร่อยที่แท้จริง คือ รสชาติต้องเข้มข้น กลิ่นต้องหอมนั้นเอง บางคนอาจคิดว่า การชงชาเพียงครั้งเดียวแล้วปล่อยทิ้งไว้ในกาชานานๆ เพื่อให้รสชาติเข้มข้น คงเป็นวิธีที่ดีแทนการชงซ้ำ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ค่ะ ระยะเวลาที่เราทิ้งใบชาในกาชานั้นมีผลต่อรสชาติและกลิ่นอย่างมาก คล้ายกับการอบขนมที่ถ้าอบนานเกินไป เค้กก็จะแห้งและไหม้ ใบชาก็เช่นกัน ถ้าปล่อยไว้นานเกินไป รสชาติจะค่อยๆ ขมขึ้น จนอาจจะดื่มไม่อร่อย หากต้องการให้ชามีรสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมหวาน แนะนำให้เพิ่มปริมาณใบชาแทนการแช่ใบชาไว้นานๆ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ชามีรสขมจนเกินไป หรืออาจใช้ใบชาเดิมชงซ้ำก็ได้ จะช่วยให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมกว่าค่ะ