
เมื่อพูดถึงมัทฉะในปัจจุบัน ความนิยมในอุจิมัทฉะได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวงการอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเมนูเครื่องดื่มในคาเฟ่หรือขนมหวานระดับพรีเมียม เราจะเห็นว่าหลายร้านเลือกใช้อุจิมัทฉะในการสร้างสรรค์เมนูเหล่านี้ ด้วยความที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและแหล่งที่มาของวัตถุดิบมากขึ้น ทำให้อุจิมัทฉะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งในแง่ของรสชาติและคุณสมบัติที่ดีต่อสุขภาพ แล้วเคยสงสัยกันบ้างไหมคะ ว่าทำไมถึงต้องเป็นอุจิมัทฉะ ไม่ใช่มัทฉะที่อื่น?

“อุจิ” เป็นเมืองสำคัญในจังหวัดเกียวโตที่มีบทบาทในวัฒนธรรมญี่ปุ่นมายาวนานกว่า 1,000 ปี และเป็นแหล่งผลิตชาที่สำคัญของประเทศ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เมื่อพระเอไซนำชาและโม่บดจากจีนมาถึงเกียวโต มัทฉะจึงกลายเป็นชาชนิดแรกที่ดื่มในญี่ปุ่น แม้ว่าปัจจุบันชาอุจิจะไม่ได้ปลูกเฉพาะในเมืองอุจิ แต่ยังรวมถึงชาจากจังหวัดเกียวโต นาระ ชิกะ และมิเอะ ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตตามแบบดั้งเดิมของอุจิ ทำให้ชาอุจิยังคงเป็นที่ยอมรับในคุณภาพนั่นเอง
ในปี 2018 ประเทศญี่ปุ่นผลิต “เท็นฉะ” (ใบชาที่นำมาทำมัทฉะ) 3,660 ตัน ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 ถูกผลิตในเกียวโตถึง 1,200 ตัน นอกจากนี้ยังมีจากจังหวัดนาระ 250 ตัน จังหวัดชิกะ 50 ตัน และจังหวัดมิเอะ 150 ตัน อ้างอิงจากนิยามด้านบนแล้ว มัทฉะราวครึ่งหนึ่งของญี่ปุ่นอาจมาจาก “ชาอุจิ” ก็เป็นได้ แสดงให้เห็นว่ามัทฉะอุจิถูกผลิตมาจากแหล่งมัทฉะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
อันที่จริงในอุจิเองก็มีมัทฉะหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบมีคาแรคเตอร์เฉพาะตามสายพันธุ์และการผลิต แต่สิ่งที่มัทฉะคุณภาพดีมักจะมีคือ “รสอูมามิ” หรือความกลมกล่อม ที่ทำให้ความฝาดขมของชาจางหายไป ยิ่งเป็นมัทฉะชั้นยอด รสอูมามิจะยิ่งโดดเด่น นอกจากนี้ ยังมีการผสมผสานระหว่างกลิ่น รสขม รสหวาน และรสสัมผัสเมื่อดื่มที่แตกต่างกันไป ทำให้มัทฉะเกรดต่าง ๆ เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันค่ะ
ความพิเศษของอุจิมัทฉะไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ที่แหล่งการปลูก แต่ยังขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ที่เบลนด์ชาให้สมดุลอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าวัตถุดิบไม่ดี ต่อให้เบลนด์อย่างไรก็ไม่สามารถได้ชาชั้นยอด ดังนั้น หากเห็นว่าเป็นการใช้มัทฉะจากเมืองอุจิ ก็รับประกันได้ระดับหนึ่งเลยค่ะว่ามีคุณภาพดีกว่ามัทฉะทั่วไปนั่นเองค่ะ
บทความจาก : Vachi