เคล็ดลับการเลือกดื่มชา เวลาไหนเกิดประโยชน์ที่สุด?

สำหรับผู้ที่ชอบดื่มชาอาจจะอยากทราบว่า หากต้องการดื่มชาให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรดื่มเวลาไหนดีนะ? เพราะเครื่องดื่มอย่างชา..หากดื่มถูกจังหวะเวลาก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายได้ด้วย แต่ถ้าดื่มมากไปก็อาจจะเกิดผลเสียได้เช่นกัน แล้วช่วงเวลาไหนคือ เวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่ม และเหมาะกับแต่ละคน

ชงมัทฉะ

แนะนำให้ดื่มชาทันที หลังชงเสร็จร้อนๆทันทีไม่ควรปล่อยไว้นานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น สีของน้ำชาจะคล้ำลง และมีรสชาติฝาด เพราะการดื่มแบบชงร้อนจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารในชามากกว่า เนื่องจากชามีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากคุณดื่มตอนที่มีรสฝาดจะส่งผลกระทบมายังกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งมันจะทำให้การดูดซึมสารอาหารไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการดูดซึมธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม

ในชายังมีสารสำคัญอย่างคาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ และสารธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำงานสัมพันธ์กันกับเส้นประสาท หากดื่มไปแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่งและสมองปลอดโปร่งมากขึ้น หากไม่ดื่มหลังชงร้อนๆเสร็จ ปล่อยน้ำชาไว้ให้เย็น จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง

อย่างไรก็ตามปกติเรามักจะได้ยินคนแนะนำว่าให้รับสิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์เข้าไปในตอนเช้า แต่ว่าอย่าดื่มชาเขียวตั้งแต่เช้าขณะท้องว่างเพราะว่าชาเขียวมีคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมา กลายเป็นอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผิวพรรณห่อเหี่ยวไม่สดชื่น สมองก็จะมึนงงได้ แถมชาเขียวยังกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมากไปจนเกิดแผลตามมาได้ ควรกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตามด้วยชาเขียวร้อนๆสัก 1 แก้วจะดีกว่า

ส่วนใครที่ชอบออกกำลังกายมีงานวิจัยทดลองว่าการดื่มชาเขียวก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้เราสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและออกกำลังกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ดังนั้นจึงเหมาะมากๆกับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักสลายไขมัน แต่ทั้งนี้ จะต้องเป็นชาเขียวเพียวๆที่ไม่ใส่น้ำตาลและนม

ชาเขียว

สำหรับคนที่ชอบจิบชาแทนน้ำเปล่า หรือคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบควรหันมาจิบน้ำชาอ่อนๆ ดีกว่า ไม่ควรจิบชาแก่ๆ เพราะจะยิ่งทำให้การหลั่งของกรดออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในกระเพาะอาหาร

ส่วนคนทั่วไปแนะนำให้ดื่มชาเข้มๆ หลังจากกินอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมา จะทำให้การย่อยอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ได้ดีขึ้น การจิบชาที่มีควาามเข้มข้นต่างกัน จะกระตุ้นการหลั่งกรดมากน้อยต่างกัน ซึ่งจะได้ไม่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหนักมากขึ้นไปกว่าเดิม และจะช่วยทำให้การดูดซึมสารอาหารเป็นไปได้ดี

ส่วนใครที่ต้องการดีท็อกซ์ร่างกาย วิธีที่ช่วยได้ก็คือ จิบชาเขียวที่ชงอ่อนๆ ตลอดทั้งวัน จิบทีละน้อยๆ หากดื่มไปรวดเดียวจนหมดแก้วจะช่วยเรื่องการล้างพิษไม่ได้ และกลายเป็นจะถูกขับออกไปอย่างรวดเร็วในรูปแบบปัสสาวะแทน

แม้จะไม่มีการระบุว่าการดื่มช่วงไหนคือเวลาที่ดีที่สุด แต่การดื่มให้เหมาะกับพฤติกรรมและช่วงเวลาที่แต่ละคนสะดวก ก็จะทำให้การจิบชาแต่ละครั้งก็จะทำให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วยมากขึ้น ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจ ^^

ที่มา

https://www.topteny.com/top-10-most-expensive-tea-in-the-world/

https://www.poetrysoup.com/poem/green_tea_cleans_your_thoughts_1124642

http://goop.com/the-best-green-lattes-thank-you-very-matcha/

บทความจาก : Fuwafuwa

สูตรเค้กชาเขียวญี่ปุ่น เหมาะกับคนแพ้ง่าย!

ถ้าพูดถึงวัตถุดิบหลักในการทำขนม หลายคนต้องนึกถึง นม ไข่ เนยที่เป็นวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอม และอร่อยล้ำ แต่ในทางตรงกันข้าม วัตถุดิบเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายทำงานหนักเพื่อย่อยสลาย บางคนอาจจะทานได้ในปริมาณที่จำกัด นอกจากนี้ในปัจจุบันมีเด็กที่แพ้อาหารดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก อาหารแมคโครไบโอติกส์ จึงเป็นอีกทางเลือกของคนกลุ่มนี้

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าจะเป็นขนมสุขภาพดีต้องใช้แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 100% ในการทำขนม  ซึ่งแป้งโฮลวีตนี้เป็นแป้งไม่ขัดขาว ที่มีส่วนผสมของรำข้าวอยู่ด้วย แต่เนื้อเค้กแบบนี้มักจะแข็งกระด้าง ไม่อร่อย ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้แป้งเค้กมาผสมครึ่งนึ่งของสูตรแป้ง เพื่อให้เนื้อเค้กนุ่มฟู ได้สัมผัสของความเป็นเค้ก

รอบนี้เอาใจคนไม่มีเตาอบด้วยสูตรเมนูเค้กปอนด์นุ่มฟูสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำไปนึ่งแทน เค้กปอนด์จะค่อยๆสุกด้วยไอร้อน เนื้อสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ ละมุนลิ้น รสขมนิดๆของชาเขียวที่เข้ากันกับรสหวานของถั่วดำ การทำสูตรนี้มือใหม่หัดทำขนมก็สามารถทำได้ เพราะเพียงแค่ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี โดยเฉพาะแป้งและของเหลวที่ควรคนให้เนียนเข้ากันดีโดยไม่หยุดมือ จากนั้นเทใส่พิมพ์แล้วอบโดยเร็ว มิฉะนั้นเค้กจะไม่นุ่มฟู แต่ถ้ากรณีที่บางสูตรของเค้กนึ่งมีส่วนผสมของน้ำมัน และแป้ง ให้คนส่วนผสมพอเข้ากันไม่ให้เห็นเม็ดแป้งก็พอ เพราะหากคนนานเกินไป ก็จะส่งผลให้เค้กไม่ฟูเช่นกัน

matcha cake

ส่วนผสม

1. แป้งเค้ก 100 กรัม

2. ส่วนผสม A

  • แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 50 กรัม
  • ผงฟู 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลเทนไซ หรือน้ำตาลสีรำ 40 กรัม ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการปรับสมดุลลำไส้ ทานแล้วระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าประเภทอื่น
  • เกลือป่นเล็กน้อย

3. ส่วนผสม B

  • ผงชาเขียว 2 ช้อนชา
  • นมถั่วเหลือง 1 ⅓ ช้อนโต๊ะ

4. ส่วนผสม C

  • แบะแซ หรือ Corn syrup 2 ช้อนโต๊ะ เป็นสารให้ความหวานที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก
  • เมเปิ้ลไซรัป 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • นมถั่วเหลือง 100 มิลลิลิตร

5. ถั่วดำ ¼ ถ้วย ต้มให้สุกแล้วพักไว้

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม ใส่ส่วนผสม A ลงไป พร้อมถั่วดำที่ต้มแล้วครึ่งนึง ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันแล้วพักไ2ว้

2. เทส่วนผสม C ลงในอ่างผสมใช้ตะกร้อมือคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทรวมลงในข้อ 1 ใช้พายยางคนให้พอเข้ากัน แต่อย่าคนนานเกินเอาแค่เป็นเนื้อเดียวกัน

3. คนส่วนผสม B ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทลง ข้อ 2 คนรวมๆกันด้วยความเร็ว เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ชาเขียวจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้การคนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันยาก

matcha cake

4. เทส่วนผสมลงพิมพ์ หรือถ้วยที่ต้องการ วางพิมพ์ลงบนหม้อนึ่งที่มีน้ำต้มเดือดแล้ว นึ่ง 30 นาที เมื่อสุกดี ยกลงจากเตา แกะออกจากกระดาษไข พ้อมเสิร์ฟ หรือถ้ายังไม่ทานเลย วางพักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิทก่อน

5. หลังเค้กเย็นแล้ว ให้ห่อเค้กปอนด์ด้วยพลาสติกใสถนอมอาหารให้มิด นำไปแช่เย็นไว้ จะเก็บได้นานถึง 3 วัน หรือถ้าวางไว้ที่อุณหภูมิห้องแนะนำให้ทานภายใน 1-2 วัน หรือถ้าต้องการทานแบบอุ่นๆสามารถนำเค้กไปนึ่งใหม่ได้ ประมาณ 40 วินาทีหลังน้ำเดือด

matcha cake matcha cake

ที่มา

https://cookingwithdog.com/recipe/matcha-mushipan/

www.roof-kitchen.jp

https://www.pinterest.com/pin/654359020846628778/

บทความจาก : Fuwafuwa