E-commerce แบบไหนเหมาะกับร้านชา

พูดถึง E-commerce ก็ขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerceเป็นการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ อินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ซึ่งการทำ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆได้พอสมควร

E-commerce

E-commerce

ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ อีกทั้ช่วงสถานการณ์โควิดที่หน้าร้านบางร้านอาจจะเปิดขายได้ไม่เหมือนเดิม การหันมาพึ่งโลกโซเชียลในการขายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกร้านควรหาลู่ทางในแบบที่ร้านตัวเองสามารถทำได้ ซึ่ง E-commerce เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากพวกระบบดิลิเวอรี่อย่าง Line Man , Grab Food, Food Panda

หากถามถึงการทำ E-commerce ที่เหมาะกับร้านชา มี 3 ช่องทางใหญ่ ได้แก่

  1. Marketplaceเป็นช่องทางที่ทุกคนคุ้นเคยดี มีผู้เล่นใหญ่ๆ อย่าง Lazada, Shopee ซึ่งหากร้านชาร้านไหนมีใบชา ผงชา หรือสินค้าอื่นๆที่สามารถลงในแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ ก็ควรลองเปิดร้านค้าทิ้งไว้เช่นกัน เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีสินค้าที่หลากหลาย และกลุ่มลูกค้าก็กว้าง ระบบโลจิสต์ติกส์ การชำระเงินครบวงจร จึงเหมาะกับร้านชาที่มีสินค้าแห้งๆอย่างวัตถุดิบส่วนผสมในกรชงเครื่องดื่ม หรืออาจะทำเป็นชุด Meal kit, Giftset วางขายในระบบแทนก็น่าสนใจเช่นกัน ดูโมเดลร้านชาใหม่ๆได้ที่ shorturl.at/bruEX
  2. E-Retailer เป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีการขยายช่องทางออนไลน์ จากเดิมที่มีแค่หน้าร้าน ก็เพิ่มในส่วนของอีคอมเมิร์ซเข้ามา เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ เป็นต้น ก็เปรียบเหมือนการที่เราไปออกบูทในห้างนั้นเอง เพียงแต่สินค้าที่ขายอาจะขายได้ไม่หลากหลายและมีข้อจำกัดพอสมควร ซึ่งร้านค้าปลีกบางร้านอาจจะมีค่าแรกเข้าที่ราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยแนะนำกับแพลตฟอร์มนี้มากนัก
  3. Direct to Consumerคือการที่ร้านชาสร้างเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของตัวเองเพื่อให้มีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือ และสามารถนำข้อมูลลูกค้าไปต่อยอดทำ Royalty Program ในอนาคตได้ ซึ่งการทำเว็บไซต์ E-Commerce ทีดีควรประกอบไปด้วย
    • หน้าเว็บไซต์ต้องเป็นระเบียบ นอกจากความสวยงามแล้ว เว็บไซต์จะต้องใช้งานง่าย มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ ไม่ซับซ้อน
    • ระบบเว็บไซต์หรือระบบหลังร้านต้องจัดการและควบคุมได้ง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขาย
    • มีรายละเอียดของสินค้าครบถ้วนชัดเจน ทั้งรูปภาพ ข้อความอธิบาย ราคา นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มส่วนของรีวิวจากลูกค้าก็ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ
    • สถานะสินค้าต้องแสดงแบบ Real Time กล่าวคือ ถ้าสินค้าหมด หรือเหลือจำนวนน้อย ต้องขึ้นแสดงให้ลูกค้าเห็น เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
    • มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก มีการระบุชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
    • อำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อด้วยระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ที่สามารถจดจำข้อมูลและจำนวนสินค้าของลูกค้าเอาไว้
    • สามารถสรุปรายการสั่งซื้อให้ลูกค้าได้ เช่น ราคาสินค้าทั้งหมด ค่าจัดส่ง เป็นต้น
    • การชำระเงินต้องมีความปลอดภัย และควรมีช่องทางให้ลูกค้าชำระเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนผ่านธนาคาร เป็นต้น
    • มีระบบการติดตามการจัดส่ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
    • เว็บไซต์ต้องรองรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นเจอเว็บไซต์และเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น

นอกจากการมีการทำ E-Commerce แล้ว ไม่ว่าจะทำด้วยแพลตฟอร์มของร้านเองหรืออาศัยเจ้าอื่นต้องอย่าลืมที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดทั้งเรื่องการอัพเดตภาพเมนูใหม่ๆ การทำโปรโมชั่นในการโปรโมทสินค้าทางช่องทางออนไลน์ด้วยเหมือนเวลาที่เราเปิดขายหน้าร้านนั่นเอง

การทำเว็บไซต์ของร้านชาเอง จึงถือเป้นแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ประกอบการร้านชาทั้ง SMEและร้านที่ขายเครื่องดื่ม ขนม ที่ต้องมีการบอกเล่าเรื่องราว เอกลักษณ์ของแบรนด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ที่สวยๆ ซึ่งเว็บสำเร็จรูปฟรีที่สามารถให้ทดลองใช้ก็มีหลายตัว เช่น wordpress, wix.com หรือแบบเสียค่าแพคเกจในราคาถูก แต่ครีเอทเว็บสวยๆได้ก็มีมากมาย ซึ่งหลังจากครีเอทแล้ว แนะนำให้สร้ง Line@ ของที่ร้านเพื่อรับออเดอร์ และจัดส่งเองผ่านทาง Lineman, Grab หรือลาลามูฟ ก็เป็นวิธีที่เหมาะสม รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายและสามารถส่งอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ได้ทุกเมนูของที่ร้าน

อีกสิ่งที่แม้ว่าเราจะหันไปรับลูกค้าทาง W-commerce แทนหน้าร้าน ก็อย่าลืมที่จะใช้การให้บริการเฉกเช่นเดียวกับการขายหน้าร้านเหมือนเดิมด้วยหลักของ Emotional Value 

ที่มา

https://brandinside.asia/e-commerce-thai-marketer-need-to-know/

https://guru.sanook.com/3871/

https://dribbble.com/shots/6623948-Matcha-cafe-app

บทความจาก : Fuwafuwa

Tea pairing จับคู่ชากับอาหารอะไรดี

เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่จะช่วยเพิ่มและดึงกลิ่นและรสชาติที่ละเอียดอ่อนของอาหารหลายประเภทออกมาได้ เช่นเดียวกับไวน์ ที่พวกเราจะคุ้นเคยกับกฎพื้นฐานที่ว่า ไวน์แดง จะเสิร์ฟกับอาหารที่มีเนื้อแดง ส่วนไวน์ขาวเสิร์ฟพร้อมกับเนื้อปลาและอาหารมังสวิรัติ ดังนั้นการเรียนรู้ว่า ชาชนิดใดสามารถเติมเต็มรสชาติของอาหารได้บ้าง จึงเป็นศาสตร์ที่คนรักชาควรศึกษาเพิ่มเติมไว้เพื่อช่วยให้รสชาติชาเขียวทำให้เมนูอื่นๆในร้านอร่อยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Tea pairing

ชาแต่ละชนิดก็จับคู่กับอาหารอะไรเพื่อช่วยดึงรสชาติได้แตกต่างกัน เช่น ชาดำที่มีกลิ่นรสที่ strong และค่อนข้างเข้มข้นไปจนถึงขม ซึ่งมีความคล้ายกับความ Full-bodied ของไวน์แดง จับคู่ได้ดีกับอาหารเนื้อแน่น รสชาติหนักๆ พวกเนื้อย่าง (วัว, แกะ) พาสต้าเนื้อแน่นอย่างลาซานญ่า ชาขาวรสชาติเบาๆ ควรจับคู่กับอาหารที่เบามากเช่น ปลาเนื้อขาวเช่น ปลากะพงหรือชีสอ่อน ๆ ส่วนชาอู่หลงจะแตกต่างกันออกไป จะเข้ากันได้ดีกับของหวาน ผลไม้ ชีส และเนื้อสัตว์รมควัน แต่ถ้าเป็นชา Earl Grey จะเหมาะกับผลไม้และขนมหวาน เค้ก และดาร์กช็อกโกแลต

จะเห็นว่า ชา นอกจากจะสามารถเพิ่มรสชาติของอาหารบนจานของคุณได้อย่างแท้จริง ในทางกลับกันการจับคู่ผิดก็อาจจะทำให้อาหารและชามื้อนั้นรสชาติแย่ไปเลยก็มี มาดูกันว่าชาเขียว เหมาะกับการจับคู่กับอาหารชนิดใดบ้าง

  1. อาหารญี่ปุ่นและชาเขียว ถือเป็นส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพและเข้ากันที่สุด

อาหารของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยซา ชิมิ ข้าวปั้น ราเมง อาหรกลุ่มนี้จะเข้ากันได้ดีกับชาเขียว โดยเฉพาะเซนฉะที่มีความสมดุลของความเป็นกรดและความหวานที่เข้ากันได้ดีกับรสชาติของอาหารญี่ปุ่นนั่นเอง

  1. อาหารซีฟู้ด ชาเขียวโดยเฉพาะเซนฉะจะเข้ากันได้ดีกับอาหารทะเล เพราะช่วยเพิ่มรสชาติของกันและกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ในปากและทิ้งรสขมเล็กน้อยที่ค้างอยู่ในปากซึ่งทำให้ต้องการอาหารซีฟู้ดมากขึ้น
  2. ขนมที่ใช้ช็อคโกแลต ช็อคโกแลตมีโกโก้ซึ่งให้รสขม หรือจะเป็นดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้มากกว่าเมื่อเทียบกับช็อคโกแลตอื่นๆ ทำให้มีรสขมอย่างเข้มข้น หากจับคู่กับชาเขียวที่ผสมผลไม้ จะได้รสชาติที่ลงตัวจากความขมของโกโก้และความหวานจากชาเขียว หากต้องการทานช็อคโกแลตประเภทหวานๆ เช่น ช็อกโกแลตนม ชาเขียวก็เป็นคู่ที่ดี เพราะรสขมเล็กน้อยของชาเขียวจะช่วยเพิ่มรสหวานของช็อกโกแลต
  3. ไก่ทอดรสชาติที่ได้จากชาเขียวจะเข้ากันได้ดีกับไก่ทอด เพราะชาเขียวจะช่วยลดอาการปากมันเยิ้มที่ได้จากการกินไก่ทอด
  4. ขนมปังโฮลวีตและชาเขียวเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีเยี่ยมและสามารถทำเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้การจับคู่นี้สามารถกระตุ้นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี

จะเห็นว่าชาเขียวเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ที่สามารถจับคู่กับอาหารได้เกือบทุกชนิด การทานชาแต่ละชนิดกับอาหารแต่ละอย่างจึงมีรสชาติแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย หากร้านชาไหนที่ไม่มีเมนูของคาวทาานคู่ชาแล้ว ลองดูส่วนผสมอื่นที่มาผสมกับชาเขียวแก้วโปรดของคุณให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งไปกว่านั้นชาเขียวมัทฉะของญี่ปุ่นมักจะมีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลและดอกกุหลาบที่เด่นชัดมากขึ้นเมื่อผสมกับกลิ่นหอมของแตงกวาสีเขียวบางชนิด บางคนผสมกับตะไคร้ ขิง หญ้าฝรั่น แอปเปิ้ล สับปะรด แอปริคอท มะเขือเทศ หรือเหล้ารัม ก็ให้รสชาติที่แตกต่างออกไป เพราะชาเขียวจับคู่กับอะไรก็อร่อย ^^

ที่มา

https://www.teavivre.com/info/how-to-pair-tea-and-food.html

https://www.pinterest.com/pin/100768110397035818/

https://www.letempsduthe.fr

https://www.japanesegreenteain.com

บทความจาก : Fuwafuwa