บทความทั้งหมด
รอบรู้มัทฉะ
มาศึกษาต้นกำเนิด ผงชาเขียวมัทฉะ
17 ก.ค. 20

ชาเขียวถูกค้นพบโดยจักรพรรดิเสินหนง นักสมุนไพรที่ใส่ใจเรื่องความสะอาดและดื่มเฉพาะน้ำต้มสุก วันหนึ่งขณะเสินหนงพักอยู่ใต้ต้นชา ใบชาร่วงลงไปในน้ำที่เขากำลังต้ม เมื่อได้ลองดื่ม เขารู้สึกสดชื่นและกระปรี้กระเปร่า ชาเขียวได้รับการพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ ชาวบ้านเริ่มปลูกชาและเพิ่มกลิ่นด้วยเครื่องเทศหรือดอกไม้ ชาในจีนทั้งหมดในตอนนั้นเป็นชาเขียว กระบวนการผลิตเริ่มจากการนึ่งและอบแห้ง แต่ชาเก็บรักษาได้ไม่นานและสูญเสียกลิ่นง่าย ในศตวรรษที่ 17 การค้ากับยุโรปนำมาสู่การพัฒนาชาโดยการหมักก่อนอบ จนเกิดเป็นชาอูหลงและชาดำนั่นเอง

กว่าจะเป็นผงชามัทฉะ

 

การนำชาจากจีนเข้าสู่ญี่ปุ่นเริ่มขึ้นในช่วงต้นสมัยเฮอัน เมื่อญี่ปุ่นเริ่มมีการติดต่อทางศาสนาและวัฒนธรรมกับจีน นักบวชชาวญี่ปุ่นที่เดินทางไปศึกษาในจีนได้นำชาและความรู้ด้านสมุนไพรกลับมาด้วย โดยพระจากจังหวัดไอจิได้นำชาอัดแข็งและเมล็ดชาจำนวนหนึ่งเข้ามายังญี่ปุ่น เมื่อจักรพรรดิได้เสด็จเยี่ยมวัด พระได้ชงชาและนำมาถวาย เมื่อทรงดื่มก็ประทับใจในรสชาติ จึงมีพระราชโองการให้นำเมล็ดชาไปปลูกในสวนสมุนไพรภายในวัง ชาจึงเริ่มแพร่หลายในแถบเกียวโต แต่ยังคงเป็นที่นิยมเฉพาะในหมู่ชนชั้นสูง

ต่อมาในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ (Kamakura) นักบวชในพุทธศาสนาเซน ได้นำเมล็ดชามาจากจีนเป็นจำนวนมากพร้อมกับกรรมวิธีการผลิตชากลับมาด้วย วิธีการผลิตดังกล่าวนั่นก็คือ การนำใบชามาบดโดยครกหินที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยที่สุด เพื่อรักษารสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ ออกมาเป็นผงละเอียดเหมือนแป้ง หรือที่เราเรียกว่า ผงมัทฉะนั่นเอง ซึ่งการทำผงมัทฉะใช้เวลานานกว่าจะได้ผงชาออกมาจำนวนหนึ่ง ราคาจึงสูงกว่าชาเขียวชนิดอื่นๆ และมีวิธีการชงที่ค่อนข้างพิเศษที่ต้องใช้แปรงชงชาในการตีตาให้ละลายก่อน

 

Matcha

 

ในสมัยนั้นมีการส่งเสริมการเพาะปลูกชาเพื่อใช้เป็นสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้น และมีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ว่า ชาเป็นพื้นฐานทางจิตใจและเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่สุด ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็มและมีความสมบูรณ์มากขึ้น”จากนั้นก็เริ่มมีการค้นคว้าสรรพคุณของชา ที่ช่วยดับกระหายได้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยล้างพิษด้วยการขับสารพิษออกทางปัสสาวะอีกด้วย

สมัยที่โชกุน มินาโมโตะ ซาเนะโมโตะ ทนทุกข์ทรมานจากการดื่มสุราอย่างหนัก ได้ลองดื่มชาและอาการของโชกุนก็หายไปในที่สุด ต่อมา เหล่านักบวชจึงเริ่มมีการเดินทางเพื่อออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชาไปทั่วญี่ปุ่น จากนั้นชาจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งพิธีกรรมบางอย่างและใช้เพื่อการรักษาโรค

 

Matcha History

 

ในสมัยมุโระมาจิ เริ่มมีพิธีชงชาในแบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว เรียกว่า Chanoyu และในยุคนี้การชงชาเริ่มมีการผสมผสานทางด้านความคิด จิตวิญญาณ และการสร้างสรรค์ศิลปะในแบบธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เริ่มมีการลงรายละเอียดในภาชนะที่ใช้ในพิธีชงชา รวมไปถึงการเสิร์ฟชาเขียวในร้านอาหารอีกด้วย ซึ่งการดื่มชาด้วยความเรียบง่ายและมีสมาธิในแบบของเซนจะช่วยให้จิตใจสามารถพัฒนา ขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ นักบวชจึงออกแบบห้องพิธีชงชาขนาดเล็ก เพื่อใช้สนับสนุนการชงชาตามอุดมคติของนิกายเซน

 

Matcha History

 

หลังจากนั้นจึงเริ่มมีพิธีชงชาตามแบบฉบับญี่ปุ่นเกิดขึ้นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แม้ว่าในสมัยยุคเอโดะ พิธีชงชาและการดื่มชาเริ่มมีการขยายวงกว้างลงมาถึงชนชั้นล่างมากขึ้น แต่เมื่อถึงการเก็บเกี่ยวชาที่ดีที่สุดในช่วงแรกของปีก็ต้องส่งมอบ ให้กับชนชั้นซามูไรก่อน ส่วนชาที่ชาวบ้านดื่มกันจะเป็นชาที่เก็บเกี่ยวในครั้งต่อมาคุณภาพก็จะด้อยลงมานั่นเอง จนช่วงหลังๆได้มีการเผยแพร่และลดการแบ่งชนชั้นตามกาลเวลา ประเพณีชงชาจึงยังคงเป็นที่แพร่หลายสืบทอดต่อกันมาถึงทุกวันนี้ เพราะประเพณีชงชานอกจากจะช่วยฝึกสมาธิแล้ว ยังช่วยให้จิตใจสงบ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น โรงเรียนในญี่ปุ่นบางแห่งมีการสอนประเพณีชงชาให้เด็กญี่ปุ่นด้วย

ชอบบทความนี้ ?
โปรดแชร์ให้เพื่อนๆ