การเขียน SOP ของเมนูชาที่ร้านสำคัญไฉน

SOP หรือที่เรียกว่า (Standard Operation Procedure) เป็นขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มต้นเปิดร้านจนสิ้นสุดกระบวนการทำงาน หรือพูดง่าย ๆ คือคู่มือในการทำงานนั้นเอง หลายร้านไม่ได้ทำตัวนี้ขึ้นมาเพราะคิดว่าไม่จำเป็น จนพบเจอปัญหาตามมาทีหลัง เช่น รสชาติชาแต่ละแก้วไม่เหมือนกัน การจัดตกแต่งแก้วพร้อมเสิร์ฟหน้าตาไม่เหมือนกัน รวมไปถึงปัญหาที่เกิดจากการเก็บรักษาอุปกรณ์ไม่ดี ดังนั้น SOP จึงเป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานที่ใครที่จะเปิดร้านไม่ว่าจะขนาดเล็ก หรือเป็นคาเฟ่ ควรมีไว้ที่ร้าน เพราะไม่ว่าจะเปลี่ยนพนักงานไปกี่คน สูตรและวิธีการเสิร์ฟเครื่องดื่มของที่ร้านจะเป็นในรูปแบบเดียวกัน ซึ่ง SOP ที่ร้านขายชาควรเขียนไม่ได้มีแค่เพียงสูตรวิธีการชงชาเท่านั้น มาเช็คลิสต์กันว่า SOP ที่ดีควรประกอบด้วยอะไรบ้าง

SOP Matcha

เนื้อหาที่ดีควรประกอบไปด้วย ข้อกำหนดพนักงานร้านในการเข้างานก่อนการปฏิบัติงาน ขั้นตอนหน้าร้านที่ไม่ซับซ้อนมากนับตั้งแต่การเตรียมเปิดร้าน การจัดเตรียมวัตถุดิบ การปรุงตกแต่งเมนู ซึ่งในสูตรของการชงเครื่องดื่ม หรือการทำขนมทุกครั้ง อย่าลืมที่จะระบุหน่วยของวัตถุดิบอย่างชัดเจน ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความเข้าใจผิดได้

SOP Matcha

อย่างการชงมัทฉะ นอกจากจะระบุส่วนผสมแล้ว การบอกลำดับการใส่ส่วนผสมแต่ละชนิดก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน รวมไปถึงขั้นตอนการเทลงแก้วเพราะจะส่งผลต่อหน้าตาของเนูเครื่องดื่มนั้นๆการเทนมก่อนหรือหลัง ก็ทำใ้สีของเครื่องดื่มแก้วนั้นหน้าตาต่างกันไป รวมไปถึงการใส่น้ำแข็งก่อนหรือหลังเทชาเขียวลงไปก็ส่งผลต่อปริมาณที่ไม่เท่ากัน

SOP Matcha

นอกจากเรื่องขั้นตอนการชงที่ควรระบุให้ละเอียดแล้ว การระบุถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการชงอย่างเช่นตีฟองนม ด้วยเครื่องตีฟองนม หรือตีผงชาด้วยฉะเซน ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ก็อาจจะมีคนที่ไม่มีพื้นความรู้ด้านการชงเครื่องดื่มมาก่อนเข้าใจผิดได้ ดังนั้นการมี SOP ติดร้านไว้จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการที่จะทำให้เกิดมาตรฐานเดียวกันกับพนักงานทุกคน และช่วยประหยัดเวลาในการเทรนด์พนักงานได้

SOP MatchaSOP MatchaSOP Matcha

อีกหัวข้อที่ไม่ควรพลาดในการใส่ลงไปใน SOP คือ การดูแลรักษาความสะอาดและการจัดเก็บอุปกรณ์และวัตถุดิบต่างๆภายในร้าน ว่าผงชาควรเก็บอย่างไร ฉะเซ็นใช้แล้วต้องทำอย่างไร รวมไปถึงการปิดร้านว่ามีขั้นตอนการสรุปยอดขายอย่างไร เรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็นถึงขนาดที่ต้องทำเป็นคู่มือขึ้นมา แต่หากมีติดร้านไว้ได้ก็จะเป็นประโยชน์กับทุกๆฝ่าย

ซึ่งวิธีการเขียน SOP สามารถทำได้หลากหลายวิธี ตั้งแต่ Flow Chart หรือมีภาพจริงประกอบ หรือเป็น Text ก็ได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าแบบไหนจะทำให้ทีมงานอ่านแล้วเข้าใจง่ายที่สุด เพราะการเขียน SOP มีไว้เพื่อให้เป็นมีมาตรฐานเดียวกันและสอดคล้องกับเป้าหมายของธุรกิจ นอกจากนี้ SOP ยังช่วยรักษาความปลอดภัยในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานและธุรกิจได้อีกด้วย

ดังนั้นก่อนเริ่มเขียน SOP งานในแต่ละส่วน จึงควรลิสต์ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง  ใครเป็นผู้เกี่ยวข้อง ณ หน้างานนั้น ๆ บ้าง จากนั้นกำหนดขอบเขตเพื่อลงรายละเอียดในแต่ละขั้นตอนให้รัดกุม และอย่าลืมที่จะเอามาพัฒนาปรับปรุงให้ทันสมัยเสมอ

ประโยชน์ของการมี SOP ในร้านอาหารของคุณ

  1. ลดระยะเวลาการเรียนรู้และฝึกอบรมสำหรับพนักงานใหม่
  2. มั่นใจในความต่อเนื่องของธุรกิจ
  3. กระบวนการที่ได้มาตรฐาน
  4. มั่นใจได้ว่าลูกค้าของคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด

ดังนั้นการมี SOP เอกสารที่ไม่ใช่แค่ร้านอาารที่ควรมี แต่ร้านชา ร้านขนม ก็ควรทำไว้เพื่อให้การให้บริการลูกค้าเป็นไปในระดับมาตรฐานเดียวกัน

ที่มา https://www.etsy.com/listing/866889191/unique-glass-matcha-bowl-set-with-spout

บทความจากFuwafuwa

How to Become a Tea Expert (ผู้เชี่ยวชาญด้านชา)

เชื่อว่าใครหลายคนที่ชื่นชอบชา ย่อมอยากจะได้ชื่อว่าเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านชา ( Tea expert / Tea Sommelier ) ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ สามารถแยกชนิด ประเภทของชาได้ รู้ถึงอุณหภูมิ หรือประเภทของน้ำที่ต้องใช้ในการชงชาแต่ละชนิดเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด 

หากมีความรู้ความเข้าใจด้านการชงชาอย่างแท้จริงแล้ว ไม่ได้แค่เพียงได้เป็น Tea expert แต่ยังสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เช่น เป็นผู้ให้คำปรึกษาตามร้านชา ร้านอาหาร ช่วยในการออกแบบจับคู่เมนูอาหาร ขนม กับชา ที่ช่วยส่งเสริมรสชาติกันให้ออกมาดีที่สุดนั่นเอง ดังนั้นมาลองไล่เช็คลิสต์กันดูว่าการจะเป็น Tea expert ได้นั้น ต้องมีความรู้อะไรบ้าง

Tea cuppingการชงชา ที่มีวิธีการชงหลากหลายแบบ เช่น การใช้ฉะเซนชงชาที่ทำมาจากผงชาเขียว ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/desuL ) หรือการชาด้วยการสกัดเย็น ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/gAV57 ) เป็นต้น ซึ่งรูปแบบการชงชาก็ยังมีอีกหลายแบบมากที่ควรรู้

Tea cultureรู้ถึงวัฒนธรรมการดื่มชาของแต่ละประเทศ เพื่อสามารถครีเอทเรื่องราวของชาที่ต้องการนำเสนอได้

Different brewing and presentation techniques of teaที่การชงชาและวิธีการจัดเสิร์ฟชาแต่ละประเภทให้น่าทานมากยิ่งขึ้นควรทำยังไง หรือควรจับคู่กับเมนูอาหาร ขนมสไตล์ไหน

Blending and flavoring tea ว่าด้วยเรื่องของการเบลนด์ชาเอง เรียนรู้ว่าการผสมชาระหว่าง 2 ชนิดเข้าด้วยกัน หรือผสมกับดอกไม้ หรือสมุนไพรชนิดอื่นๆ จะได้ชาที่มีกลิ่นหรือรสชาติแบบใหม่ออกมาได้อย่างไร

เทคนิคการชงและการนำเสนอชา รูปแบบการเสิร์ฟชาสไตล์ญี่ปุ่น กับชาสไตล์อังกฤษก็มีความแตกต่างกัน การจีดเสิร์ฟด้วยภาชนะที่ถูกต้องหรือใช้พร็อพตกแต่งเสริมจะช่วยเพิ่มความสุนทรียะให้การดื่มชาได้มากยิ่งขึ้น

เข้าใจถึงวิธีการปลูกชา การเก็บเกี่ยวชา เพื่อให้ได้ใบชา และผงชาที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการปลูชาแบบออร์แกนิค หรือจะเป็นการทดลองปลูกเองง่ายๆที่บ้านว่าต้องอาศัยปัจจัยใดบ้างในการปลูกชาเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด 

อย่างไรก็ตามการจะเป็น Tea Expert ได้ไม่เพียงแต่ต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้งแล้ว แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ การทดลองซ้ำๆ ที่จะทำให้ประสาทสัมผัสด้านการชงชาดีขึ้น ทั้ง กลิ่น รสชาติ และการรับรู้สีสันของชานั่นเอง ซึ่งนอกจากความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับชาที่ต้องมีแล้ว หากมีความรู้เพิ่มเติมเรื่องการตลาด หรือการจัดการธุรกิจร้านชา ก็จะยิ่งช่วยส่งเสริมให้ร้านชามีแผนการตลาด และเทคนิคการขายที่ดียิ่งขึ้น

ที่มา  

becauseimaddicted.net

eatingwell.com

 

บทความจาก : Fuwafuwa

 

New Normal ธุรกิจร้านชา ช่วงโควิด

ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่าด้วยการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ร้านอาหารเครื่องดื่มช่วงนี้ยอดขายลดลงอย่างแน่นอน ด้วยสถานการณ์โควิดที่ทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปวิถีการใช้ชีวิตของลูกค้ามีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ถึงแม้ว่าจะยังคงเปิดให้บริการนั่งทานที่ร้านได้ แต่ข้อจำกัดก็ยังมีมาก ดังนั้นข้อแนะนำในการปรับตัวร้านให้อยู่รอด ควรปรับรูปแบบการให้บริการ ดังนี้

1.ระบบสั่งอาหารไร้สัมผัส (QR Order) เป็นระบบการสั่งอาหารผ่านการสแกน QR Code โดยใช้โทรศัพท์ลูกค้าแสกนโค้ดที่ทางร้านเตรียมไว้ เมนูจะไปแสดงในโทรศัพท์ลูกค้า ถือว่าเป็นการลดการสัมผัสกันเพื่อป้องกันเชื้อโรคที่อาจเกิดขึ้นได้บนใบเมนู นอกจากนี้ยังเป็นการประหยัดงบในการผลิตใบเมนูใหม่ๆทุกครั้งอีกด้วย เพราะหากอยู่ในโทรศัพท์ลูกค้า ร้านก็สามารถเพิ่มเมนูใหม่ๆ หรือเมนูโปรโมชั่นเข้าไปได้ตลอดเพียงอัพเดตลงระบบไม่ต้องปริ้นใหม่เหมือนทุกครั้งไป

QR Order

2. การชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless  Payment) ด้วยสถานการณ์ที่ต้องลดการสัมผัสกัน และต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ การชำระเงินโดยไม่ใช้เงินสดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการชำระผ่านคิวอาร์โค้ด หรือการโอนเงินด้วยแอพพลิเคชั่นนั่นเอง ร้านไหนที่ยังมีแต่การรับเงินสดอย่างเดียว คงถึงเวลาที่ต้องเริ่มหาวิธีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้กัน

Contactless Payment

3. Drive-up หรือ walk-up windows หรือการสั่งอาหารแบบแยกจุด Pick upเป็นอีกวิธีที่สะดวกตอบโจทย์คนหิวที่อยาก Social distancing ซึ่งในบ้านเราจะเห็นระบบนี้ชัดๆกัยร้าน KFC หรือ Mc Donald แต่ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเห็นเทรนด์การออกแบบร้านที่เว้นระยะห่างระหว่างลูกค้ากับพนักงานมากขึ้น เช่น นอกจากจะมีพื้นที่สำหรับจอดรถสั่งและรับอาหารโดยเฉพาะแล้ว ยังมีฉากกั้นหรือแบ่งเป็นห้องสั่งที่เป็นสัดส่วนมากขึ้น เพื่อความรวดเร็วในการทำ-แพ็คและจัดส่งอาหาร และยังสะดวกต่อพนักงานเดลิเวอรี่ที่เข้ามารับอาหารด้วย ซึ่งร้านเครื่องดื่มบางร้านอย่าง Starbuck ก็มีบางสาขาในต่างประเทศที่เริ่มทำระบบนี้แล้ว ดังนั้น ร้านชาของใครที่พอมีพื้นที่เป็นสัดส่วนสามารถประยุกต์หน้าร้านให้เป็นจุด Pick Up สินค้าได้เร็วๆ โดยไม่ต้องรอนาน หรืออาจจะทำเป็นระบบให้้โทรสั่งแล้วให้พนักงานเดินออกมาให้ที่ริมถนนเมื่อลูกค้ามาถึงหน้าร้าน

Drive-up

4. บริการส่งอาหาร ผ่าน Deliveryนอกจากพนักงานส่งอาหารต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาขณะปฏิบัติงาน รักษาระยะห่างกับลูกค้าไม่น้อยกว่า 1 เมตรแล้ว ในส่วนของร้านชาที่ต้องทำ คือ ต้องคิดว่าทำอย่างไรที่จะทำเมนูเครื่องดื่มในแอพพลิเคชั่นต่างๆให้อ่านง่าย มีรายละเอียดให้ลูกค้าเข้าใจว่าเครื่องดื่มแต่ละแก้วมีส่วนผสมอะไร พิเศษยังไง แต่ละหมวดหมู่ไม่ควรมีจำนวนมากเกินไป จะทำให้ลูกค้ารู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าควรจะเลือกเมนูไหนดี และอย่าลืมอัพเดตเมนูพิเศษใหม่ๆ หรือทำโปรโมชั่นในแอพพลิเคชั่น เพื่อให้ลูกค้าได้รู้สึกเหมือนซื้อทานที่หน้าร้าน เป็นการเพิ่มความตื่นเต้นให้กับลูกค้า

5. หากร้านไหนที่ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ควรเพิ่มระบบจองคิวให้ลูกค้า โดยเฉพาะร้านชาที่มีขนาดเล็กมีไม่กี่ที่นั่ง เพื่อลดการรอคิวที่แออัดหน้าร้าน ลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคนั่นเอง

Delivery

6. จำนวนบิลที่ลดลง เพราะที่ร้านจำกัดจำนวนลูกค้า ทำอย่างไรที่จะเพิ่มยอดขายต่อบิลได้นั้น เป็นเรื่องที่ต้องคำนึงถึงโดยเฉพาะร้านชาบางร้านที่เน้นขายเครื่องดื่ม เมนูในร้านไม่ได้หลากหลายมาก การเพิ่มยอดขายจากลูกค้าที่มาคนเดียวทำได้หลายวิธี เช่น เพิ่มเมนูGrab&Go ที่หยิบขายง่ายๆไม่ต้องรอนาน หรือจะเป็นการจัดชุดเมนูชาเครื่องดื่มสุดคุ้ม เป็นต้น

Open Kitchen

7. Open Kitchen เทรนด์ครัวเปิด โชว์ความสะอาด และเพื่อลดความกังวลของลูกค้า การทำครัวเปิดให้ลูกค้าได้เห็นภาพการทำชงชาโดยตรง จะสร้างความรู้สึกเปิดกว้าง จริงใจ ช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกไว้วางใจร้าน และยังเป็นการโชว์ความน่าสนใจและลีลาการชงเครื่องดื่มให้กับร้านอีกด้วย

ที่มา

https://www.behance.net/gallery/53948421/Starbucks-Drive-Thru-(Keele-North)

https://www.pinterest.com/pin/491596115582901369/

บทความจาก : Fuwafuwa

E-commerce แบบไหนเหมาะกับร้านชา

พูดถึง E-commerce ก็ขออธิบายเพิ่มเติมก่อนว่า E-Commerce ย่อมาจากคำว่า Electronic Commerceเป็นการทำธุรกิจโดยซื้อขายสินค้าหรือโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ที่นิยมใช้งานมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ อินเทอร์เน็ต โดยสามารถใช้ทั้งข้อความ เสียง ภาพ หรือคลิปวิดีโอ ซึ่งการทำ E-commerce สามารถเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวางและช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆได้พอสมควร

E-commerce

E-commerce

ปัจจุบัน ผู้คนสามารถเข้าถึงสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในโลกออนไลน์ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และการใช้งานอินเตอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นกิจกรรมหลักในชีวิตประจำวันของผู้คนส่วนใหญ่ อีกทั้ช่วงสถานการณ์โควิดที่หน้าร้านบางร้านอาจจะเปิดขายได้ไม่เหมือนเดิม การหันมาพึ่งโลกโซเชียลในการขายจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกร้านควรหาลู่ทางในแบบที่ร้านตัวเองสามารถทำได้ ซึ่ง E-commerce เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง นอกจากพวกระบบดิลิเวอรี่อย่าง Line Man , Grab Food, Food Panda

หากถามถึงการทำ E-commerce ที่เหมาะกับร้านชา มี 3 ช่องทางใหญ่ ได้แก่

  1. Marketplaceเป็นช่องทางที่ทุกคนคุ้นเคยดี มีผู้เล่นใหญ่ๆ อย่าง Lazada, Shopee ซึ่งหากร้านชาร้านไหนมีใบชา ผงชา หรือสินค้าอื่นๆที่สามารถลงในแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้ ก็ควรลองเปิดร้านค้าทิ้งไว้เช่นกัน เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มีสินค้าที่หลากหลาย และกลุ่มลูกค้าก็กว้าง ระบบโลจิสต์ติกส์ การชำระเงินครบวงจร จึงเหมาะกับร้านชาที่มีสินค้าแห้งๆอย่างวัตถุดิบส่วนผสมในกรชงเครื่องดื่ม หรืออาจะทำเป็นชุด Meal kit, Giftset วางขายในระบบแทนก็น่าสนใจเช่นกัน ดูโมเดลร้านชาใหม่ๆได้ที่ shorturl.at/bruEX
  2. E-Retailer เป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีการขยายช่องทางออนไลน์ จากเดิมที่มีแค่หน้าร้าน ก็เพิ่มในส่วนของอีคอมเมิร์ซเข้ามา เช่น เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, เซ็นทรัล และเดอะมอลล์ เป็นต้น ก็เปรียบเหมือนการที่เราไปออกบูทในห้างนั้นเอง เพียงแต่สินค้าที่ขายอาจะขายได้ไม่หลากหลายและมีข้อจำกัดพอสมควร ซึ่งร้านค้าปลีกบางร้านอาจจะมีค่าแรกเข้าที่ราคาค่อนข้างสูง จึงไม่ค่อยแนะนำกับแพลตฟอร์มนี้มากนัก
  3. Direct to Consumerคือการที่ร้านชาสร้างเว็บไซต์หรือแอพพลิเคชั่นของตัวเองเพื่อให้มีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือ และสามารถนำข้อมูลลูกค้าไปต่อยอดทำ Royalty Program ในอนาคตได้ ซึ่งการทำเว็บไซต์ E-Commerce ทีดีควรประกอบไปด้วย
    • หน้าเว็บไซต์ต้องเป็นระเบียบ นอกจากความสวยงามแล้ว เว็บไซต์จะต้องใช้งานง่าย มีการแบ่งหมวดหมู่สินค้าอย่างเป็นระบบ ไม่ซับซ้อน
    • ระบบเว็บไซต์หรือระบบหลังร้านต้องจัดการและควบคุมได้ง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขาย
    • มีรายละเอียดของสินค้าครบถ้วนชัดเจน ทั้งรูปภาพ ข้อความอธิบาย ราคา นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มส่วนของรีวิวจากลูกค้าก็ได้เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ
    • สถานะสินค้าต้องแสดงแบบ Real Time กล่าวคือ ถ้าสินค้าหมด หรือเหลือจำนวนน้อย ต้องขึ้นแสดงให้ลูกค้าเห็น เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ
    • มีขั้นตอนการสั่งซื้อที่ง่าย ไม่ยุ่งยาก มีการระบุชัดเจนว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
    • อำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อด้วยระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ที่สามารถจดจำข้อมูลและจำนวนสินค้าของลูกค้าเอาไว้
    • สามารถสรุปรายการสั่งซื้อให้ลูกค้าได้ เช่น ราคาสินค้าทั้งหมด ค่าจัดส่ง เป็นต้น
    • การชำระเงินต้องมีความปลอดภัย และควรมีช่องทางให้ลูกค้าชำระเงินได้หลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต โอนผ่านธนาคาร เป็นต้น
    • มีระบบการติดตามการจัดส่ง เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า
    • เว็บไซต์ต้องรองรับการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้ค้นเจอเว็บไซต์และเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้น

นอกจากการมีการทำ E-Commerce แล้ว ไม่ว่าจะทำด้วยแพลตฟอร์มของร้านเองหรืออาศัยเจ้าอื่นต้องอย่าลืมที่จะใช้กลยุทธ์การตลาดทั้งเรื่องการอัพเดตภาพเมนูใหม่ๆ การทำโปรโมชั่นในการโปรโมทสินค้าทางช่องทางออนไลน์ด้วยเหมือนเวลาที่เราเปิดขายหน้าร้านนั่นเอง

การทำเว็บไซต์ของร้านชาเอง จึงถือเป้นแพลตฟอร์มที่ค่อนข้างเหมาะกับผู้ประกอบการร้านชาทั้ง SMEและร้านที่ขายเครื่องดื่ม ขนม ที่ต้องมีการบอกเล่าเรื่องราว เอกลักษณ์ของแบรนด์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ที่สวยๆ ซึ่งเว็บสำเร็จรูปฟรีที่สามารถให้ทดลองใช้ก็มีหลายตัว เช่น wordpress, wix.com หรือแบบเสียค่าแพคเกจในราคาถูก แต่ครีเอทเว็บสวยๆได้ก็มีมากมาย ซึ่งหลังจากครีเอทแล้ว แนะนำให้สร้ง Line@ ของที่ร้านเพื่อรับออเดอร์ และจัดส่งเองผ่านทาง Lineman, Grab หรือลาลามูฟ ก็เป็นวิธีที่เหมาะสม รวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่ายและสามารถส่งอาหาร เครื่องดื่ม ขนม ได้ทุกเมนูของที่ร้าน

อีกสิ่งที่แม้ว่าเราจะหันไปรับลูกค้าทาง W-commerce แทนหน้าร้าน ก็อย่าลืมที่จะใช้การให้บริการเฉกเช่นเดียวกับการขายหน้าร้านเหมือนเดิมด้วยหลักของ Emotional Value 

ที่มา

https://brandinside.asia/e-commerce-thai-marketer-need-to-know/

https://guru.sanook.com/3871/

https://dribbble.com/shots/6623948-Matcha-cafe-app

บทความจาก : Fuwafuwa

เพิ่ม 3 แนวคิดธุรกิจอาหาร ให้ร้านชาโตต่อได้

ในยุคที่ร้านคาเฟ่ผุดขึ้นเยอะมาก การออกเมนูใหม่ โปรโมชั่นใหม่ หรือตกแต่งร้านเพิ่มเติม อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป การโฟกัสถึงเทรนด์ธุรกิจอาหาร จึงเป็นอีกสิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจไปต่อได้  เพราะเทรนด์อาหารสมัยนี้ ไม่ได้เน้นแค่ความอร่อย ยิ่งช่วงนี้ที่โควิดกลับมาระบาดอีกรอบ การสร้างความสะดวกให้ลูกค้าและให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์กับอาหารเครื่องดื่มคุณภาพดี เหมือนได้ไปทานที่ร้านจึงเป็นเทรนด์ที่ร้านค้าต้องหันมาให้ความใส่ใจมากขึ้น มาดู 3 แนวคิดหลักของธุรกิจอาหาร ที่จะช่วยให้ร้านชาของคุณยังเติบโตได้แม้จะมีสถานการณ์โควิดก็ตาม

1. การเพิ่ม Option ให้สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นที่ทางร้านครีเอทเอง หรือผ่านระบบ Delivery ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคนี้ การสั่งอาหารผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วมาก ยิ่งสถานการณ์โควิด ที่ทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการเข้าร้านอหาร และหันมาใช้การสั่งอาหารผ่านมือถือแทน ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย และเทรนด์การให้บริการในรูปแบบนี้ยังมีโปรโมชั่น สิทธิพิเศษมากมาย การเอาร้านชาเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มสั่งอาหารดิลิเวอรี่อย่าง Grab Food, Food Panda, Gojek, Line Man จึงยังไปได้ดีอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีการเสีย GP อยู่บ้าง ทำให้บางร้านไม่อยากร่วมกับการทำดิลิเวอรี่แพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่หากพิจารณาดีๆแล้วจะพบว่าการขายทางช่องทางดิลิเวอรี่พวกนี้ช่วยให้ร้านสามารถใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว

Delivery

อย่างไรก็ตามสำหรับร้านชา อาจจะกังวลกับการขนส่งสินค้าที่ร้านว่าอาจจะหก เลอะเทอะ ไปถึงลูกค้าอาจจะไม่ได้รับสินค้าที่สมบูรณ์ 100% นั้น ต้องตัดความกังวลนั้นทิ้งแล้วมองหาแพคเกจ อีกทั้งวิธีการที่แตกต่างออกไปในการเสิร์ฟชาแทน เช่น การใช้ขวดใส่น้ำแยกน้ำชาและน้ำแข็งออกจากกัน

2. ปรับเมนูเครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพ และมีความ Creative มากขึ้น อาหารที่ให้มากกว่าความอร่อยสำหรับยุคนี้ ต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหากมีการนำศาสตร์ชั้นสูงมาสร้างสรรค์เมนูอาหาร หรือใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในเมนู ตลอดจนการนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆ ที่ชวนตื่นเต้น ล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า อย่างการดื่มชาเขียวปกติหากทำเป็นสมูตตี้เพิ่มผลไม้บางตัวเข้าไปให้ชาเขียวมีรสชาติที่แปลกใหม่มากขึ้นและยังดีต่อสุขภาพ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้าสาวๆได้มากขึ้น หรือจะเป็นโยเกิร์ตธัญพืชที่เป็นกระแสมื้อเช้ายอดนิยมอยู่ช่วงนี้ สามารถเพิ่มรสชาติชาเขียวเข้าไปได้ เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้มื้อเช้าที่ร้านของคุณ

Healthy Healthy

อย่างไรก็ตามหากเป็นเมนูเครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพ หรือเป็นเมนูที่ครีเอทมากๆมักจะมีราคาที่สูงทำให้ลูกค้าใหม่น้อยคนนักที่จะกล้าลอง ดังนั้น หากทางร้านสามารถควบคุมต้นทุนให้ได้ในราคาต่ำ จะยิ่งทำให้ราคาขายถูกลงและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

3. ธุรกิจขายอาหารแบบ 24 ชั่วโมงใครจะไปคิดว่า โมเดลการเปิดร้านอาหารแบบ 24 ชั่วโมงนั้น จะเป็นไปได้ และจะมีผู้ใช้บริการจริง แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน มีการใช้ชีวิตช่วงกลางคืนมากขึ้น และกลุ่มคนที่ทำงานในช่วงเวลากลางคืนนั้นจะมีโอกาสน้อยมากในการได้รับประทานอาหารเครื่องดื่มอร่อยๆ เหมือนคนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางวัน อีกทั้งคนไทยยังมีความเชื่อว่าการบริโภคชา กาแฟที่มีคาเฟอีนช่วงกลางคืนจะทำให้นอนไม่หลับ ร้านค้าที่ขายชากาแฟช่วงดึกจึงมีน้อยมากๆ แต่คนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางคืนก็ยังคงต้องการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้อยู่ โมเดลธุรกิจขายอาหารเครื่องดื่ม 24 ชั่วโมงนี้จึงไปได้ดีกว่าที่คิด ถือเป็นการผลักดันให้ธุรกิจอาหารเติบโตจากการจับไลฟ์สไตล์คนใช้ชีวิตกลางคืนนั่นเอง

ที่มา

https://www.elle.com/culture/career-politics/a31478025/how-to-help-community-coronavirus-pandemic/

https://weheartit.com/entry/320776028

บทความจาก : Fuwafuwa

เพิ่มยอดขายร้านชาจากลูกค้าที่มาคนเดียว

4 เทคนิคนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายโดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัดใจกับการมาทานชาคนเดียวในร้าน อาจจะด้วยเหตุผลที่ต้องการความสงบจึงเลือกมาร้านชาคนเดียว อาจจะด้วยสภาพสังคมที่วุ่นวายทำให้มีคนบางกลุ่มต้องความสงบในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือเป็นเพราะโสด หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การที่ลูกค้าเดินคนเดียวเข้าไปในร้าน อาจจะสร้างความหนักใจให้บางร้าน เพราะคงคิดว่าคงได้ยอดซื้อไม่เท่าไหร่ การที่จะเพิ่มยอดขายจากบิลของลูกค้ากลุ่มนี้ได้นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากแนะนำให้ลองใช้เทคนิค 4 ข้อดังนี้

1. แนะนำเมนูของว่างและของหวานทานคู่เครื่องดื่มชาที่เป็นเมนูหลักของที่ร้าน โดยอาศัยช่วงที่รับออร์เดอร์ เทรนด์ให้พนักงานเสนอเมนูของว่าง ขนม ให้ลูกค้ารับประทานเล่นระหว่างรอเครื่องดื่ม หรืออาหารที่ต้องใช้เวลานานในการทำ โดยเมนูที่ควรแนะนำ ควรเป็นเมนูที่ช่วยเสริมให้รสชาติเครื่องดื่มอร่อยยิ่งขึ้น เช่น การเสนอขนมไดฟุกุ ขนมที่ไม่ต้องใช้เวลาในการปรุง แค่หยิบเสิร์ฟได้เลย ประหยัดเวลารอ ให้ทานคู่กับชาเขียวร้อน เป็นต้น หรือลองสังเกตพฤติกรรมลูกค้า ตอนที่ลูกค้าใกล้รับประทานอาหารเสร็จ ให้เข้าไปพร้อมเสนอเมนูของหวานและเครื่องดื่มตบท้าย ก็เป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลได้โดยเฉพาะสาวๆ

Matcha Order

2. จัดเซ็ตเมนูสุดคุ้มควบเมนูคาวหวานและเครื่องดื่ม เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้ได้ยอดซื้อต่อบิลมากขึ้นจากลูกค้าที่มาคนเดียว ใช้กลยุทธ์นี้ได้ทุกเพศทุกวัย เพียงแค่จับเซ็ตเมนูที่ได้ครอบคลุมทุกอย่าง หรือใช้แค่การเพิ่มเงิน 10-50 บาทแล้วได้อีกเมนูไปทานด้วย จะทำให้ลูกค้ารู้สึกครบ จบ ประหยัดได้ในชุดเดียว การจัดเซ็ตเมนูจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นโดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ เช่น แทนที่คุณจะนำเสนอเมนูเดี่ยวๆ เช่น โซบะชาเขียวเย็น ก็เพิ่มการจัดเซ็ตสุดคุ้ม เสิร์ฟคู่โยคังชาเขียวถั่วแดง และชาร้อนๆสักแก้วพร้อมเครื่องเคียงที่ไว้ทานคู่กับโซบะอีกเล็กน้อย รับรองว่าไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกว่าคุ้ม หรือลองศึกษาวิธีว่าทำยังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่าชาที่ร้านคุ้มค่าสมราคาเพิ่มเติมเป็นไอเดีย ก็ช่วยได้ทีเดียว

Matcha Order

3. ปรับปริมาณให้น้อยลงเพื่อให้สั่งได้หลากหลาย เพราะการจัดเซ็ตสุดคุ้ม อาจจะเป็นปริมาณที่ดูคุ้มจริงแต่เยอะไปสำหรับลูกค้าบางคน โดยเฉพาะสาวๆที่กลัวอ้วนหากทานเยอะไป ลูกค้าจึงเลือกที่จะสั่งอาหารจานเดียวแทน ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะพยายามเสนอขาย หรือทำเมนูอร่อยเด็ดขนาดไหน เขาก็สั่งแค่จานเดียว ทางแก้ง่ายๆ คือ ปรับไซส์ของเมนูให้น้อยลง ทำเมนูเฉพาะ size s เช่น จากขนมเค้กชิ้นโต อาจจะทำขนาดมินิลง ระบุว่าเป็นไซส์ S ปรับปริมาณน้อย แล้วมาจับชุดเป็นเซ็ตสุดคุ้มเฉพาะคน size s นั่นเอง เพราะหากขายแต่เมนูเดี่ยวๆสำหรับ size s อาจจะทำให้ลูกค้าบางคนรู้สึกว่าน้อยเกินไปก็เป็นได้

Matcha Order Matcha Order

4. มีสินค้า Grab & Go มากขึ้นตั้งบริเวณหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าที่มาคนเดียวหยิบซื้อได้โดยไม่เคอะเขิน ยิ่งมีสินค้าที่ราคาไม่แพงมาก ดูแล้วแพคเกจสวยน่าทาน หรืออาจจะมีตัวชิมวางเล็กน้อย ยิ่งง่ายต่อการเพิ่มยอดซื้อต่อบิลได้ แต่ถ้าร้านไหนมีพื้นที่เพียงพอ อาจจะจัดชั้น Display เป็นมุมให้ลูกค้าาแวะซื้อก่อนกลับ ก็ช่วยเพิ่มยอดต่อบิลได้ไม่มากก็น้อย

Matcha Order Matcha Order

ข้อควรระวังอย่างมาก ลูกค้าที่มาคนเดียวบางคน อาจจะต้องการความสงบในร้าน และไม่ต้องการให้พนักงานมาเชียร์ขายสินค้ามากนัก โดยเฉพาะคนที่มร้านเครื่องดื่มคนเดียว เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องการสมาธิ ในการคิดงานหรือ อ่านหนังสือสักเล่มพร้อมเครื่องดื่มดีๆ ดังนั้นการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าจึงสำคัญอย่างยิ่งกับการให้บริการลูกค้าทุกกลุ่ม

ที่มา

https://www.facebook.com/paperandtea/photos/2223036527737529/

บทความจาก : Fuwafuwa

Touch point ลูกค้าร้านชา ด้วยการออก Limited Collection

การพัฒนาหรือปรับปรุงให้ลูกค้ามีความพึงพอใจในสินค้าหรือบริการ เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกร้านต้องดูแลลูกค้าไปตลอดทั้งกระบวนการตั้งแต่ก่อนการขาย ระหว่างการขาย รวมไปถึงหลังการขาย เพราะการให้ความสำคัญกับ Customer Touchpoint จะทำให้คุณมองเห็นแนวทางในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ได้ครบทุกจุดเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้า ซึ่ง Customer Touchpoint จริงๆแล้วเริ่มตั้งแต่ลูกค้าค้นหาร้านชาผ่านออนไลน์ โฆษณา การเข้ามาที่ร้าน และจนจบการขาย ซึ่งการที่เราจะTouch Point ที่ดีที่สุดเป็นการที่เราทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสประสบการณ์กับการเป็นส่วนหนึงของร้านเราทุกที่-ทุกเวลาไม่จำกัดแค่ที่หน้าร้านได้นั้น  นั่นคือ การออก Merchandise Limited Collection สินค้าแบรนด์ของร้านตัวเองนั่นเอง ที่ช่วยค่อยๆแทรกซึมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้ ในทุกโอกาส ทุกโมเมนต์ของการบริโภค ไม่ว่าจะในร้าน – นอกร้าน นั่นเอง เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของร้านเครื่องดื่มปกติในแขนงอื่นๆโดยไม่ต้องรอแต่ลูกค้าที่เดินเข้ามาใช้บริการที่ร้านอย่างเดียว โดยสินค้า Limited Collection ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดที่สุด คงหนีไม่พ้น “Starbucks” ที่ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆก็สามารถออกสินค้ามาดึงความสนใจได้ตลอด

Merchandise Limited Collection Merchandise Limited Collection

จะสังเกตได้ว่าใครที่เป็นลูกค้า Starbucks ก็จะมีทั้งแก้วเครื่องดื่มร้อน และแก้วเครื่องดื่มเย็น ที่พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย และแก้วสำหรับใช้ที่บ้านโดยเฉพาะ ทำให้แบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และแทบจะอยู่ในทุกโมเมนต์ของกิจกรรมประจำวัน ตั้งแต่เช้า – เดินทางไปทำงาน/ไปเรียน ไปจนถึงกลับบ้านการออกคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่องของ starbucks นี่เองที่ทำให้สร้างสีสันให้เหล่าลูกค้าได้รู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับเทศกาลนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม Limited Collection ไม่ได้จำกัดแค่แก้ว ยังสามารถครีเอทลายบนเสื้อ หรือสมุดอื่นๆได้อีกมากมาย ซึ่งสินค้านี่เองยังเป็นตัวสะท้อนวิสัยทัศน์ของร้านได้อีก อย่างร้านชาที่ควรออกสินค้า Limited Collection นี้เพื่อสะท้อนถึงการสร้างพฤติกรรมลูกค้าให้หันมาใช้ “แก้วส่วนตัว” มาซื้อเครื่องดื่มที่ร้านเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และยังนำไปต่อยอดทำโปรโมชั่นที่ร้านได้อีกด้วย

Limited Collection Limited Collection

ส่วนลวดลายที่นำมาใช้กับสินค้า Limited Collection นี้ สามารถทำได้ง่ายๆตั้งแต่ การใช้โลโก้เลย หรือออกกลุ่มกราฟฟิคขึ้นมาอีกชุดเพื่อใช้กับสินค้านี้โดยเฉพาะ เพราะสินค้า Limited Collection นี้เป็นเหมือน“Silent Salesman” ที่ทรงพลัง ทั้งในการสร้าง Brand Visibility จากการที่คนถือแก้วไปมา หรือตั้งอยู่บนโต๊ะ ทำให้แก้วเป็นสื่อ หรือ Touch Point หนึ่งที่ปะทะสายตาของผู้ที่พบเห็นได้อีกด้วย

Limited Collection

ถึงแม้ Core Business ของร้านชา คือ เครื่องดื่มและอาหาร แต่ Merchandise เป็นอีกขาหนึ่งของการสร้างรายได้ และช่วยสร้าง Engagement ระหว่างแบรนด์ กับลูกค้า และเป็นอีก Touch Point การสื่อสารแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ที่ไม่ว่าใครถือแก้ว หรือใช้สิ่งของต่างๆ ของ Starbucks ใครเห็นแล้วย่อมเห็นโลโก้ และชื่อแบรนด์ที่จดจำได้ ขณะเดียวกันทำให้แบรนด์อยู่ในบทสนทนาของลูกค้า ยิ่งคอลเลคชั่น Limited Edition วางจำหน่ายเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อให้แฟนคลับได้สะสม จะเกิดการพูดถึง และบอกต่อ หากร้านไหนที่มีสินค้า Merchandise Limited Collection แบบนี้อยู่แล้ว อย่าลืมที่จะจัด Display และจัดเรียงสินค้าให้หาง่าย และเข้าถึงได้ง่าย อย่างที่ร้าน Starbucks เอง เลือกที่จะวางใน Shelf ใกล้ๆแคชเชียร์ และใกล้ประตูทางเข้าออก เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจสินค้านี้ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็นนั่นเอง

กลุ่มสินค้า Merchandise นี้ยังมีประโยชน์มากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะสามารถซื้อฝากใครๆก็ได้ หรือจะนำมาจับชุดของขวัญให้คู่กับเมนูขนมที่ร้านก็ยิ่งทำให้ผู้รับรู้สึกไก้สัมผัสประสบการณ์ เหมือนได้ไปทานที่ร้านเองเลย หากใครที่ไม่รู้จะครีเอทสินค้าอะไร อาจจะเริ่มจากการไป Collaboration กับศิลปิน Artist ก่อนเพื่อให้ลูกค้ารู้จักเราได้ง่ายขึ้น แล้วค่อยเลือกสินค้าออกตามซีซั่นก็ย่อมได้

Limited Collection Limited Collection

ที่มา

https://www.marketingoops.com

https://www.carousell.sg

https://jw-webmagazine.com/

https://chachanoma-shop.jp/SHOP/0301-1008.html

https://www.facebook.com/paperandtea/photos

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Latte Art ศิลปะบนชาเขียว

Latte Art ที่คุ้นชินกันบนเมนูกาแฟ แรกเริ่มเดิมทีแล้วถูกสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความโด่งดังในเรื่องการชงกาแฟเป็นอย่างมาก ศิลปะบนแก้วกาแฟนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเริ่มถูกแพร่หลายมาบนเมนูมัทฉะลาเต้ แม้จะยังไม่เป็นที่นิมมากนัก แต่ลาเต้อาร์ต นับเป็นศิลปะที่น่าสนใจอย่างมาก ที่ช่วยช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ชาเขียวถ้วยโปรดของคุณน่าหลงใหลยิ่งขึ้นอีกด้วย

Matcha Latte Art

ความสวยงามของลาเต้อาร์ต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟองนมที่ตีจนแตกฟองสวย เนื้อละเอียด หรือที่เรียกกันว่าไมโครโฟม-microfoam โดยลาเต้อาร์ตที่ดีต้องมีความคมชัด, ความบาลานซ์ และรูปแบบการดีไซน์ที่พลิ้วไหวสร้างสรรค์ ซึ่งการทำลาเต้อาร์ตออกมาสวยงามในแต่ละแก้ว สะท้อนความใส่ใจและความทุ่มเทของคนทำ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างแน่นอน

การลาเต้อาร์ตทำได้อยู่ 3 วิธีหลักๆ คือ

1. Free Hand คือ การราดฟองนมลงไปบนชาเขียว แล้วขยับถ้วยให้เป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งลวดลายนั้นเกิดจากการแทรกตัวระหว่างโฟมนมกับน้ำกาแฟ กำหนดน้ำหนักและทิศทางของฟองนมให้เลื่อนไหลไป โดยมากแล้ววิธีนี้จะทำให้ได้รูปที่เป็นหัวใจ รูปแอปเปิ้ล และรูปใบไม้ บางคนยังสามารถทำเป็นรูปใบไม้คู่ รูปปลา รูปหงส์ หรือดอกไม้ไฟได้ด้วย ถ้าเทโฟมนมในปริมาณที่แตกต่างกัน อัตราความช้า-เร็วในการเทต่างกัน การขยับหรือเอียงถ้วยกาแฟในลักษณะที่ต่างกันก็ล้วนทำให้ภาพที่ออกมาแตกต่างกันทั้งสิ้น เช่น ถ้าจะทำรูปหัวใจจะต้องใช้ปริมาณฟองนมที่มากกว่าการทำลายใบไม้ เพราะลายหัวใจจะมีโครงสร้างที่กว้างและมน ขณะที่ลายใบจะมีโครงสร้างที่เล็กเรียว ถ้าทำลายใบไม้แต่ฟองนมมากเกินไปลายของใบก็จะไม่คมและฟองนมอาจจะไปกลบลายริ้วของกลีบใบ

Matcha Latte Art

2. Draggingเป็นการทำลาเต้ อาร์ตโดยใช้ช้อนตักโฟมนมลงไปบนน้ำกาแฟเอสเปรสโซซึ่งถูกราดทับด้วยน้ำนมประมาณ 3 ใน 4 ของถ้วย โดยโฟมนมด้านบนอยู่ในระดับที่เสมอกับขอบถ้วย จากนั้นจึงหยอดซอสที่ใช้ในการแต่งหน้า เช่น ช็อกโกแลตซอส คาราเมลซอส ราสเบอรี่ซอส ให้เป็นลายเรขาคณิตต่างๆ เช่น เป็นวงแบบก้นหอย , ลากเส้นแบ่งวงกลมเป็น 8 ส่วน แล้วใช้วัสดุปลายแหลมลากระหว่างโฟมนมกับซอสเพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย ซึ่งลายที่นิยมได้แก่ ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกเฟื่องฟ้า ดอกกุหลาบ ลายปลาดาว และลายอมยิ้ม

Matcha Latte Art

3. ส่วนเทคนิคผสมระหว่าง Free Hand Pour และ Draggingนั้นนิยมใช้กับการทำรูปสัตว์หรือการ์ตูนต่างๆ โดยจะใช้วิธีเทโฟมนมลงบนชาเขียวให้โฟมนมเป็นวงขนาดใหญ่ตรงกลางถ้วยและเหลือแนวรอบถ้วยประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นใช้ช้อนขนาดเล็กตักโฟมนมหยอดลงไปเพื่อสร้างโครงของรูปที่ทำ เช่น หู เขา หรือมือของสัตว์ แล้วใช้ก้านไม้จุ่มชาเขียวซึ่งอยู่รอบนอกมาแต้มเป็นหน้าตา จมูก ปาก หรือลายละเอียดต่างๆ เช่น หนวด เส้นขน นิ้วมือ

การทำลาเต้อาร์ตที่สวยงามต้องอาศัยความเร็วด้วย เมื่อได้ชาเขียวอุ่นๆมาแล้ว ต้องเตรียมสตรีมนมให้พร้อมกัน หากปล่อยทิ้งไว้ โฟมจะลอยตัวและเสียทรง ซึ่งสีของชาเขียวก็มีผลต่อลาย และสีบนลาเต้อาร์ตเช่นกัน นอกจากนั้นเวลาขึ้นลาย ให้เทนมอย่างต่อเนื่องจนจบลาย ถ้าหกก็เทต่อ อย่าหยุดพร้อมกับค่อยๆ พลิกข้อมือขึ้นลงช้าๆ ให้ลายในแก้วเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเวลาเท แนะนำให้เอียง Pitcher รับกับตัวแก้วประมาณ 45 องศา ยก Pitcher ให้สูงขึ้น วนนมให้เข้ากับชาเขียว ระวังไม่ให้นมที่เทลงไปโดนขอบแก้ว

ส่วนการสตรีมนม ก็คือ  การใช้เครื่องตีน้ำนมให้เกิดฟอง ซึ่งการสตรีมที่สมบูรณ์นั้นจะทำให้ได้ฟองนมที่เนียนนุ่ม โดยความร้อนที่ใช้ในการสตรีมนมควรอยู่ที่ 60-70 องศาเซลเซียส และจังหวะและน้ำหนักในการตีน้ำนมต้องเหมาะสม เคล็ดลับเพิ่มความอร่อยนี้คือการใช้ฟองนมที่เป็นนมโคแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีปริมาณไขมันและโปรตีนสูง จึงให้รสชาติหอมมันมากกว่านมผสม เมื่อนำมาสตรีมจะให้เนื้อที่มีความเนียนละเอียด ไม่หยาบกระด้างเป็นฟองขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด แต่ถ้าใครเคยได้ยินว่าชาเขียวใส่นมดื่มแล้วไม่ดี ควรดื่มแต่ชาเขียวเพียวๆ ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เรื่องชาเขียว กับนม ดูเพื่อความสบายใจในการดื่มชาเขียวแก้วโปรดของคุณ ^^

Matcha Latte Art Matcha Latte Art

นอกจากการทำลาเต้อาร์ตแบบปกติแล้ว จะเห็นว่าตามร้านคาเฟ่ช่วงหลังๆมานี้ ก็มีไอเดียน่ารักๆ สร้างสรรค์ฟองนมขึ้นมาแบบลาเต้อาร์ต 3 มิติ คือ การสร้างสรรค์ฟองนมให้เป็นรูปร่างที่นูนขึ้นเป็นมุมมอง 3 ด้าน หรือสูงเกินปากแก้วขึ้นมา เทคนิคในการทำอยู่ที่การทำฟองนมให้เนียนและมีความคงตัว สามารถตักมาปั้นและเขียนหน้าตาให้เป็นรูปแบบที่ต้องการ ไม่มีแบบตายตัว แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของผู้ทำ สัดส่วนในการทำเหมือนลาเต้อาร์ต แต่ใช้ฟองนมที่มากกว่านั้นเอง

ส่วนร้านไหนที่ยังไม่สามารถทำลาเต้อาร์ตบนชาเขียวได้เอง แนะนำให้เพิ่มความสวยงามบนเมนูชาเขียวด้วยกาใส่ฟองนมธรรมดาแล้วโรยผงชาเขียวแต่งหน้าเบาๆอีกที ก็ทำให้ชาเขียวลาเต้มีมิติขึ้น

Matcha Latte Art

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/452330356316089320/

weheartit.com

https://www.shutterstock.com/blog/instagram-worthy-photos-cafes

บทความจาก : Fuwafuwa

3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าชาเขียวอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ และยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แม้จะมีหลายกระแสของการดื่มชาเขียว ทั้งเรื่องเวลาที่ควรดื่มชา หรือ การดื่มชาร้อนหรือเย็น แบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามชาเขียวก็ยังมีประโยชน์มากกว่าโทษอยู่ดี ซึ่ง 3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart นั้นมาจาก

1. EGCG  สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว

EGCG เป็นคำย่อของโพลีฟีนอลที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate ซึ่งมีความสำคัญในชาเขียว เพราะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และช่วยต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านริ้วรอย เนื่องจาก EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงสามารถทำลายอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดความชราและโรคภายในสมองของคุณได้ เนื่องจากสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่อุดมไปด้วยออกซิเจน การรักษาความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นให้น้อยที่สุดจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง ซึ่ง EGCG นอกจากจะช่วยเพิ่มความจำของคุณแล้ว ยังช่วยเรื่องของการรับรู้ ทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น กล่าวคือ เมื่ออนุมูลอิสระโจมตีสมองอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในสมองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรค EGCG ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบก็จะหยุดกระบวนการทำลายล้างภายในสมองเพื่อให้สมองของคุณแข็งแรงและทำงานได้ดีที่สุดนั่นเอง

smart

2.  L.Thenine (แอลธีอะนีน) มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองโดยรวม เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะทำให้คุณทำงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เพิ่มโดปามีนและเซโรโทนินและช่วยเพิ่มความจำ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจังหวัดชิกะ ยังแสดงให้เห็นว่า L.Thenine ยังเพิ่มความสามารถในการให้ความสนใจของบุคคลด้วยการเพิ่มการทำงานของคลื่นอัลฟาในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการตายของเซลล์สมองลดความวิตกกังวลและความเครียดและช่วยป้องกันภาวะเสื่อมเช่นพาร์คินสันและอัลไซเมอร์ เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะช่วยปกป้องสมองของคุณจากอันตรายและปรับเปลี่ยนคลื่นสมองเพื่อให้สมองของคุณตื่นตัวและมีสมาธิ แต่ไม่เครียด เพราะการทำงานของสมองที่ไม่ดีอย่างมากเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากโภชนาการที่ไม่ดีและการเครียดและวิตกกังวลมากเกินไป L.Thenine ในชาเขียวช่วยควบคุมสมองเพื่อให้มีเวลาเติมพลังในการนอนหลับอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อนและช่วยลดความเครียดหรือความวิตกกังวลลงได้อย่างรวดเร็วทำให้จิตใจผ่อนคลายและสงบ เมื่อสมองของคุณสงบ แต่มีสมาธิคุณจะรับมือกับความท้าทายได้มากขึ้นและคิดได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่รู้สึกหนักใจ

smart

3. สารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดอยู่ในชาเขียว จากการศึกษาเกี่ยวกับชาเขียวแสดงให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว ช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์ซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดในชาเขียวนอกเหนือจาก EGCG ซึ่งช่วยเพิ่มระดับโดพามีนในสมองและป้องกันสารพิษต่อระบบประสาท ยังมีการวิจัยทั่วโลกเพื่อจำแนกและทำการศึกษาอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของสารต้านอนุมูลอิสระแต่ละชนิด อย่าวโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยควบคุมระดับกลูโคสในสมองซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แทนนินในชาเขียวช่วยในการซ่อมแซมดีเอ็นเอ นอกเหนือจากการป้องกันการตายของเซลล์ประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว จึงควรเลือกชาที่มีคุณภาพสูงและคำนึงถึงขั้นตอนการชงที่ผ่านกรรมวิธีในระดับที่สูงกว่าชาอื่น ๆ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในชาเย็นกับชาร้อนและพบว่าจริงๆแล้วชาเย็นมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าโดยสรุปว่าอุณหภูมิที่ร้อนจะทำลายคาเทชินบางส่วนในชา

smart

เคล็ดลับในการใช้ประโยชน์จากชาให้มากที่สุดสำหรับสมองคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรคำนึงถึงในการดื่มชาเขียว กล่าวคือ การเลือกชาที่มีคุณภาพสูงสุด ชาที่มีคุณภาพสูงกว่าจะเก็บสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากกว่าให้รสชาติดีขึ้นและควรปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง พยายามดื่มชาเขียวอย่างน้อยทุกวันเพื่อให้สมองได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีค่า ถ้าเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวที่มีน้ำตาลเนื่องจากน้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แต่ชาเขียวมีสารประกอบตามธรรมชาติซึ่งจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวตลอดระยะเวลาที่ยาวนานและผ่อนคลายมากกว่าการเติมพลังให้สมองของคุณด้วยการเร่งน้ำตาลนั่นเอง

smart

ที่มา

shorturl.at/dkKQT

https://www.pinterest.com/pin/407435097543999856/

บทความจาก : Fuwafuwa

เริ่มวาง Tactical Plan ปีหน้าให้ร้านชาของคุณรึยัง?

การวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ ยิ่งยุคสมัยนี้ที่ร้านเครื่องดื่ม ขนม คาเฟ่ผุดขึ้นเยอะมาก การวาง Tactical Plan แคมเปญตลอดปีหน้าไว้ ว่าแต่ละช่วงเทศกาล แต่ละเดือนจะทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เตรียมการได้ทัน อย่างไรก็ตามการวางแผนนี้ไม่ใช่การโฟกัสแต่การออกเมนูใหม่รับเทศกาล แต่ต้องคำนึงถึง Target ลูกค้าที่ต้องการทำแคมเปญด้วย และ Budget รวมถึง Communication Channel ที่รวมถึงสื่อต่างๆ กิจกรรมการตลาดและการตกแต่งภายในร้านด้วย

จะเริ่มวาง Tactical Plan ให้ร้านชาได้ยังไง แนะนำให้เอา Sesonal ต่างๆมาเป็นจุดหลักของแพลน เพราะพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย จะซื้อง่ายจ่ายคล่องขึ้นเมื่อมีเทศกาลอะไรบางอย่าง

เริ่มจากเดือนมกราคม เป็นช่วงปีใหม่ เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ที่สดใสขึ้นด้วยเมนูเพื่อสุขภาพอย่างแพนเค้กชาเขียวแป้งโฮลวีต ท้อปปิ้งด้วยกล้วยหอมซินนาม่อน  ต่อด้วยวันเด็ก  เมนูที่ร้านจึงเหมาะกับการครีเอทให้น่ารัก ที่เด็กๆเห็นแล้วอยากทาน

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก เมนูหวานๆ รูปหัวใจ ที่ทำจากชาเขียวที่ร้านเป็นหลัก ทำให้วาเลนไทน์นี้พิเศษกว่าเดิม

เดือนมีนาคม เมษายน เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระเริ่มผลิบาน เมนูที่ทำจากซากุระ จึงเป็นที่นิยมมากที่ญี่ปุ่น ดังนั้น ร้านชาเขียวที่ใช้วัตถุดิบจากญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ไม่ควรพลาดที่จะอิงกระแสซากุระนี้ไปด้วย

ส่วนในวันแม่ วันพ่อที่ลูกๆหลายคนอยากจะทำขนมโฮมเมดให้ท่านเอง หรือเลือกหาขนมที่ดีต่อสุขภาพ หรือจะเป็น raw sweets ขนมสุขภาาพอีกแนว ก็น่าสนใจ

มัฟฟินชาเขียวแป้งโฮลวิต หรือ เค้กชาเขียวงาดำ รสชาติที่เหมาะกับผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้ร้านชาของคุณน่าแวะเวียนมาหาซื้อของขวัญในทุกเทศกาลอีกช่วงที่เหมาะกับการสร้างสรรค์ไอเดียให้เมนูชาเขียวคือฮาโลวีนแม้จะไม่เป็นที่นิยมมากนักสำหรับคนไทย แต่ก็มีหลายร้านที่ทำคุ้กกี้ชาเขียว หรือเค้กบอลชาเขียวลวดลายผีน่ารักๆ เสิร์ฟเป็นของแถมในวันที่ 31 ต.ค.

แล้วก็วนมาถึงสิ้นปี ช่วงเทศกาลแห่งความสุข คริสมาสต์ ปีใหม่ ที่เมนูน่ารักน่าทานลวดลายธีมคริสมาสต์ได้ออกมามากมาย เพื่อสร้างความสดใสและสนุกให้ที่ร้าน

จะเห็นว่า ตลอดทั้งปีจะมีช่วงเทศกาลที่ทำให้เราสามารถอิงกระแสเพื่อครีเอทเมนูใหม่ให้สอดคล้องกับช่วงนั้นๆได้ทำให้ลูกค้าสามารถแวะเวียนมาได้ทุกเทศกาล แต่ก่อนที่จะดูว่าจะออกเมนูอะไรใหม่ สิ่งที่ควรรู้คือ เราต้องเข้าใจต้องเข้าใจตลาดที่ตัวเองกำลังเล่นอย่างลึกซึ้งก่อน ทั้งฝั่งของร้านเราเองที่ต้องรู้จุดยืนของแบรนด์คุณ และรู้ความต้องการของลูกค้า พฤติกรรมของลูกค้าว่าเหมาะกับการทำสินค้าใหม่ตามเทศกาลจริงมั้ย รวมทั้งดูจุดอ่อน จุดแข็ง ของคู่แข่งแต่ละรายด้วยเพื่อที่จะได้มาอุดรอยรั่วของร้านเราเอง

หลังจากนั้น การวิเคราะห์เป้าหมายทางการตลาดจะต้องชัดเจนที่สุด ไม่คลุมเคลือ หรือ กว้างไป ต้องระบุว่าร้านอยากได้อะไรจากการวางแผนนี้ ช่วงระยะเวลาจัดแคมเปญที่ชัดเจน และการจะแคมเปญทุกครั้งที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วจะนำสู่การวัดผล ประเมินผลออกมาได้อย่างชัดเจน

หลังจากวิเคราะห์จุดประสงค์ เป้าหมายลูกค้าเรียบร้อยแล้ว การวางแผนจะต้องเอา Budget ทั้งปีมากางดูและแบ่งslot ไปก่อน เพื่อทำให้เจ้าของร้านรู้ได้ว่า ช่วงไหนควรลงทุนกับการจัดแคมเปญมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ Budget นั้นๆจะครอบคลุมถึงสื่อต่างๆทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การตกแต่งภายในร้าน ต้นทุนของ R&D ในการคิดค้นเมนูใหม่ๆให้สอดคล้องกับเทศกาล รวมถึงการหาแพคเกจให้สอดคล้องตามเทศกาลด้วยใหม่อื่นๆด้วย

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ร้นชาของคุณเป็นรูปเป็นร่างไม่ทำการตลาดที่สะเปะสะปะระหว่างปี คือการเขียน Tactical Plan ตลอดทั้งปีเพื่อให้มีเวลาในการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ครบถ้วนนั่นเอง

วันนี้คุณเตรียมแผนปีหน้าให้ที่ร้านคุณรึยัง?

ที่มา

https://sweetrusticbakes.com/gluten-free-halloween-cookies/

http://www.huffingtonpost.com/ken-leung/to-us-matcha-goma-mousse-_b_3786543.html?utm_hp_ref=baking

http://lifeinthesouth.co/raw-matcha-lime-tarts/

บทความจาก : Fuwafuwa

จัดแคมเปญร้านชายังไง ให้ส่งท้ายปีแบบปังๆ

เริ่มเข้าสู่สิ้นปี ช่วงที่ทุกคนชื่นชอบ ช่วงเวลาแห่งการจับจ่ายใช้สอย ให้รางวัลตัวเองและซื้อของฝากคนที่รัก ร้านค้า คาเฟ่ต่างๆหลังจากรีวิวผลประกอบการภาพรวมตรวจเช็คทุกไอเท็มในร้านชา( ดูเพิ่มได้ที่ shorturl.at/ckos8 ) แล้ว ก็เข้าสู่ช่วงโหมกระหน่ำจัดโปรโมชั่นลด แลก แจก แถม เพื่อเป็นการเพิ่มยอดขาย แต่นอกจากการทำโปรโมชั่นลดหนักๆแล้ว

ช่วงสิ้นปีแบบนี้ยังสามารถจัดกิจกรรมเพิ่มเติมให้ร้านชาของคุณมีสีสันได้มากขึ้นด้วยการ…..

1.เริ่มจากจัดตกแต่งร้าน นอกจากการเอาต้นคริสมาสต์มาวางและตกแต่งจุดอื่นๆให้มีกลิ่นอายความเป็นคริสมาต์ก็ถือว่าช่วยสร้างบรรยากาศการซื้อได้แล้ว แต่หากอยากให้เป็นภาพจำกับลูกค้าได้ง่ายขึ้น ควรวางคอนเซ็ปต์ตั้งแต่การตกแต่งแรกเลย เพื่อให้ทุกจุดในร้านมีความสอดคล้องกัน

ตกแต่งร้าน

การวางคอนเซ็ปต์ ต้องคำนึงถึงสีสัน ว่าจะเป็นคริสมาต์เน้นแดงเขียว หรือเน้นโทนสีทองสีเงิน เพื่อให้ภาพร้านเป็นไปในทิศทางเดียวกันรวมไปถึงป้ายตามจุดต่างๆด้วย เช่น ป้ายโปรโมชั่น ป้ายราคา รวมถึงแพ็คเกจจิ้งของสินค้า หากใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงสตาบัคส์ ที่มีการเปลี่ยนป้าย เพิ่มการตกแต่งและออกแพคเกจช่วงคริสมาสต์ทุกปี ให้ลูกค้าได้สนุกกับการรอลุ้นว่าปีนี้แก้วจะออกมาสีอะไร

แพ็คเกจจิ้ง แพ็คเกจจิ้ง

อย่างไรก็ตามการตกแต่งและทำทุกจุดในร้านให้เป็นธีมเดียวกัน อาจจะต้องใช้ Budget จำนวนหนึ่ง ซึ่งร้าน SME หรือธุรกิจเล็กๆ อาจจะยังมีงบไม่เพียงพอ ก็สามารถลดทอน แล้วเน้นเฉพาะการจัดตกแต่งบริเวณ Display จุดเดียวที่ร้านก็ได้

2.หลังจากบรรยากาศภายในร้านแล้ว ก็มาถึงตัวสินค้าที่ต้องคำนึงถึงว่า จะสร้างสีสันใหม่ๆ ครีเอทอะไรเพิ่มเติมเพื่อให้เมนูเดิมๆ กลายเป็นเมนูที่สร้างรอยยิ้มช่วงความสุขได้ เช่น มัทฉะลาเต้ร้อน จากเดิมที่เสิร์ฟเพียวๆ เพิ่มท้อปปิ้งด้วยมาชแมลโลว์ snowman น่ารักๆลงไป หรือออกรสชาติใหม่ไปเลย ที่เน้นการตกแต่งด้วยสีเขียวแดง เพราะชาเขียวสามารถเป็นของขวัญทุกเทศกาลได้อยู่แล้วตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นอ่านเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/dsGI8

Festive

การเพิ่มไอเท็มเล็กๆน้อยๆลงไปในเมนูเดิม ถือว่าประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทดลองเมนูใหม่ได้ดีทีเดียว และยังสร้างความแปลกใหม่ให้ลูกค้าได้สัมผัสและสนุกไปกับช่วงเวลาพิเศษแบบนี้

3.การจัดชุดของขวัญเป็นGift Setที่รวมอุปกรณ์ชงชา หรือจัดเซ็ตของขวัญผงชา หรือเครื่องดื่มเบเกอรี่ที่ร้าน ให้เป็นชุดเซ็ตที่เหมาะกับการส่งมอบให้ช่วงปีใหม่

Gift Set Gift Set

แต่จะเพิ่มความน่าสนใจ ทำให้ลูกค้าสนุกมากขึ้นนอกจากการซื้อชุดของขวัญปกติ คือ ปรับ Gift Set ให้เป็น ชุด Lucky bagตามแบบคนญี่ปุ่น ที่หลายๆร้นจะจัดเซ็ตถุงโชคดีนี้ขายในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าของจริงในถุง โดยที่จะไม่เห็นสินค้าภายในถุงว่ามีอะไรบ้าง เป็นการเสี่ยงโชคที่ได้รับของขวัญแน่นอนแต่ลุ้นแค่ว่า ได้อะไร

Lucky bag

4. จัดเวิร์คช็อปในธีมคริสมาสต์ เอาใจสาวๆที่ชอบการ D.I.Y. อยากทำของของขวัญ เช่น ทำคุ้กกี้คริสมาต์ชาเขียว  เป็นเมนูที่ทำไม่ยากและสามารถตัดแต่งคุ้กกี้ให้เป็นลวดลายสนุกได้ตามชอบ ยิ่งมีวัตถุดิบหลักเป็นผงชาเขียวด้วยแล้ว สีสันคุ้กกี้แบบต้นคริสมาต์ ยิ่งทำได้ไม่ยาก

workshop

5. ลุ้นรับของรางวัลด้วย Lucky Draw แน่นอนว่า การสุ่ม หรือเสี่ยงโชคเป็นสิ่งที่คนไทยชื่นชอบ ยิ่งแจกของช่วงสิ้นปีแบบนี้ ยิ่งเพิ่มความสนุกให้ลูกค้า เหมือนเป็นการคืนกำไรให้ลูกค้าได้ ทั้งนี้อาจจะต้องกำหนดยอดซื้อขั้นต่ำ และกฎเกณฑ์ในการจับฉลากเพื่อไม่ให้ที่ร้านขาดทุนจนเกินไป และของขวัญจากการจับฉลาก ควรเป็นสินค้า หรือบริการของที่ร้านเลย เช่น คูปองรับฟรีเครื่องดื่ม คูปองแลกซื้อผงชาเขียวไปชงเองที่บ้าน เป็นต้น

lucky draw

6. ทำการตลาดทั้ง 2 ช่องทาง ทั้ง online to offline และ offline to onlineเพราะในยุคนี้ ออนไลน์ถือเป็นสื่อแรกๆที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้วงกว้าง กล่าวคือ อาจจะมีการโพสต์แจกคูปองส่วนลดในเพจ เพื่อให้ลูกค้าที่ไม่เคยมที่ร้าน ได้กดรับสิทธิ์และแวะมาใช้ส่วนลดที่หน้าร้านได้ หรือจะเป็นกรณีที่ลูกค้ามาซื้อชาที่หน้าร้าน ให้โพสต์ในช่องทางออนไลน์ และติดแท็ก หรือ# กลับมาที่เพจของร้าน ก็ช่วยประชาสัมพันธ์ได้ดีทีเดียว ในราคาประหยัดด้วย เนื่องจากร้นเครื่องดื่มทุกวันนี้มีเยอะมาก บางร้านมาไวไปไวตามกระแส เพราะฉะนั้นการทำให้ลูกค้าใหม่เข้าถึงร้านชาของเราได้ง่าย มีส่วนลดตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าไป จะทำให้การตัดสินใจซื้อเป็นไปได้ง่ายขึ้น

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการจัดแคมเปญร้านชาให้ปัง คือ การมองเห็นภาพรวมในทุกๆจุด ให้เป็นแคมเปญที่มีภาพจำเดียวกัน มากกว่าการทำโปรโมชั่นแบบฉาบฉวย หลังจากจบแคมเปญสิ่งที่ขาดไม่ได้ของการจัดแคมเปญสิ้นปีแบบนี้ คือ การประเมินและวัดผล ว่ายอดขายที่เพิ่มขึ้นมาจากจุดไหนบ้างเพื่อรีวิวแคมเปญและต่อยอดสู้การทำแคมเปญต่อไปในปีหน้าๆได้

ที่มา

https://twitter.com/nopstudio/status/674596615391350787

www.paperandtea.com

thekitchenmccabe.com

rawpixel.com

Marthastewart.com

บทความจาก : Fuwafuwa

ตรวจเช็คไอเท็มร้านชา “ถึงเวลาเก่าไปใหม่มารึยัง”

สิ้นปีแบบนี้ หลายๆร้านโฟกัสไปที่แผนของปีถัดไป ว่าจะทำอะไรใหม่ๆให้ที่ร้านดี ซึ่งถือว่าเป็นการวางแผนที่มองการณ์ไกลที่สำคัญ แต่อย่าลืมที่จะมารีวิวสิ่งต่างๆภายในร้าน ไล่ตรวจเช็คทุกไอเท็มว่าถึงเวลาเปลี่ยนรึยัง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ แถมยังเป็นการจัดระเบียบร้านชาของคุณ ให้ใช้งานง่ายขึ้นไปอีกขั้น เริ่มจาก……..

1. สภาพวัตถุดิบภายในร้านตัวที่ค้างสต็อกมานาน ขายไม่ได้ หมดอายุรึยัง พวกนมสด ครีม หรือเนยที่เอาไว้ทำขนมในร้าน มักจะมีวันหมดอายุอยู่แล้ว แต่อย่างพวกผงมัทฉะ ผงชาโฮจิฉะ ที่ผลิตในญี่ปุ่น อาจจะดูแล้วไม่แน่ใจว่าวันหมดอายุคือตัวไหนแต่อาจจะสังเกตได้จากสีของผงชาที่เปลี่ยนไป เพราะความจริงแล้วในภาษาญี่ปุ่นคำว่าวันหมดอายุมี 2 แบบ คือ 1. วันหมดอายุควรบริโภค (消費期限)หมายถึง เราจะทานได้ถึงแค่วันที่ระบุไว้เท่านั้น เลยจากนั้นจะบูดเสีย และ 2. วันหมดอายุรสชาติ (賞味期限)หมายถึง สินค้าของเราจะอร่อยถึงแค่วันนี้เท่านั้น ต่อจากนั้นก็ไม่อร่อยแล้วนะ โดยมากผลิตภัณฑ์อาหารมักจะเขียนแบบที่ 2 เพื่อไม่ให้ลูกค้าติงได้ว่ากินก่อนวันหมดอายุควรบริโภคแล้วไม่อร่อย สำหรับผงชาทั้งหลายก็มักจะเป็นแบบที่ 2 กล่าวคือ ถึงจะเลยวันหมดอายุแล้วก็ยังชงดื่มได้อยู่นั่นเอง แต่รสชาติ กลิ่น จะหายไปเรื่อยๆนั่นเอง

Matcha

อย่างไรก็ตามวันหมดอายุดังกล่าว เป็นกรณีที่ ชานั้นถูกเก็บรักษาในอุณภูมิปกติโดยที่ยังไม่แกะซองนั่นเอง แปลว่า ถ้าเราแกะซองแล้วมันจะหมดอายุรสชาติเร็วขึ้นเนื่องจากสัมผัสกับอากาศและความชื้น ประกอบกับวิธีเก็บชาที่เปลี่ยนไปก็ทำให้อายุหดหรือยืดได้เช่นกัน ถ้าเก็บไว้ในที่อุณหภูมิสูงก็จะอายุสั้นลงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้ายังไม่เปิดซองใบชาให้จับแช่ตู้เย็นช่องแข็งจะยืดอายุใบชาได้ถึง 2 ปีทีเดียว ใบชาส่วนใหญ่มีอายุ 1 ปีนับจากบรรจุซองหรือก็คือถ้าแช่ช่องแข็งก็จะบวกอายุไปอีก 1 ปี แน่นอนว่าสามารถใส่ช่องเย็นธรรมดาก็ได้เหมือนกันแต่จะอยู่ได้ไม่นาน แนะนำให้แบ่งใส่ถุงหลายๆถุง เพื่อช่วยให้ยืดการเสื่อมของรสชาติได้เพราะหากเราเก็บชาไว้ในที่เดียว ทุกครั้งที่เปิดมาชง อากาศก็จะเข้าๆออกๆ ทุกครั้ง ทำให้รสชาติใบชาเสื่อมลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเราเก็บไว้หลายส่วน ชาส่วนที่แบ่งไว้จะสัมผัสอากาศน้อยครั้งกว่า พอชงที่แบ่งไว้ส่วนหนึ่งหมดแล้วไปเปิดอีกส่วนหนึ่ง ใบชาส่วนนั้นที่สัมผัสอากาศแค่ครั้งเดียว ย่อมจะคงรสชาติได้นานกว่าใบชาที่โดนอากาศหลายครั้ง สำหรับชาที่ใส่ไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดา ก่อนเปิดถุงควรเอามาตั้งทิ้งไว้ข้างนอกสักพักเพื่อให้อุณหภูมิในถุงเท่ากับอุณหภูมิห้อง

2. อุปกรณ์แตกพังบิ่นไปบ้างรึยัง ทั้งถ้วยชงชา ฉะเซน รีเช็คสภาพและวิธีการเก็บรักษาของพนักงานในร้าน โดยเฉพาะฉะเซ็นที่ทำจากไม้ไผ่จะกรอบและหักง่าย การเก็บรักษาที่ถูกต้องจะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานของอุปกรณ์นั้นๆ เพราะข้อควรระวังในการเก็บเพียงแค่ต้องไม่ชื้นและแห้งจนเกินไปครับ วางฉะเซ็นไว้ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทสะดวกก็พอส่วนถ้วยชงชา หากมีการแตกร้าว หรือยังพอซ่อมแซมได้ อาจจะลองใช้การทำคินสึงิ ที่คล้ายๆการลงรักทองของคนญี่ปุ่น ก็ช่วยเพิ่มกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นได้ แต่ถ้าหากใครไม่ถนัดงานฝีมือ แนะนำเป็นซื้อใบใหม่ ที่สร้างความแตกต่างจากใบเดิมไปเลยจะดีกว่า

อุปกรณฺ์

3. การตกแต่งภายในร้านโดยเฉพาะร้านที่เปิดมานานแล้ว สีสัน การตกแต่งต่างๆอาจจะหดความน่านใจหรือตกเทรนด์ไปแล้ว ลองปรับสไตล์ร้าน ปรับโทนสี หรือรีโนเวทบางส่วนของร้านรับเทรนด์ใหม่ๆที่กำลังมา

ร้านชา ร้านชา

นอกจากการตกแต่งร้านด้วยสี เราอาจจะเพิ่มความแปลกตาด้วยอุปกรณ์ชงเครื่องดื่มแบบใหม่ๆ ก็ช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้ลูกค้าขาประจำได้ทีเดียว

ร้านชา ร้านชา

4. ปรับผังเมนูที่ร้านและสื่อต่างๆ การปรับเมนูในที่นี่ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนดีไซน์ป้ายให้ดูใหม่ สวยงาม แต่เป็นการปรับผังทราเป็นเรื่องจำเป็นของทุกร้าน ที่ต้องเอาข้อมูลการขายของสินค้าแต่ละตัวมาดูว่า แต่ละเมนูขายดีแค่ไหนค่าเฉลี่ยว่าแต่ละวัน แต่ละเดือน เราขายแต่ละเมนูได้กี่แก้วใช้ข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 30 วัน หรืออาจจะเปรียบเทียบย้อนไป 3 เดือน หรือเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าด้วย เพื่อประกอบการตัดสินใจ นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงว่า แต่ละเมนูทำกำไรมากน้อยแค่ไหน เทียบกับต้นทุนวัตถุดิบแต่ละเมนูให้ชัดเจน เราจะเห็นอย่างชัดเจนดังนี้

  • เมนูที่ทำกำไรมาก และได้รับความนิยมมากสมควรเก็บไว้อย่างยิ่ง แล้วควรโปรโมทให้เป็นเมนูแนะนำ เชียร์ขายให้สุด
  • เมนูนั้นกำไรน้อย แต่ได้รับความนิยมมากอาจจะลองเพิ่มราคา แต่แน่นอนว่าลูกค้าบางรายย่อมไม่พอใจ และอาจทำให้เมนูนั้นราคาโดดสูงกว่าเมนูอื่นๆ มากเกินไป ดังนั้นจึงไม่ใช่วิธีที่แนะนำ หรือจะลองออกเมนูใหม่ที่ใกล้เคียงกัน แต่ได้กำไรมากกว่า แล้วเชียร์ขายเมนูใหม่ หรือจัดโปรโมชั่น เพื่อให้ลูกค้าสั่งเมนูเก่าน้อยลง หันมาสั่งเมนูใหม่แทน เมื่อลูกค้าติดเมนูใหม่ จึงค่อยๆ ถอดเมนูที่ไม่ทำกำไรออกไปในภายหลัง
  • เมนูนั้นกำไรมาก แต่ได้รับความนิยมน้อยต้องค้นหาให้เจอว่า เพราะอะไรลูกค้าจึงสั่งเมนูนี้น้อย เพราะพนักงานเชียร์ขายน้อย ตำแหน่งที่อยู่ในเมนูไม่โดดเด่นเตะตาลูกค้า รสชาติไม่ถูกปาก หรือเป็นเพราะเราตั้งราคาสูงเกินไปจริงๆ ลูกค้ารู้สึกว่าไม่คุ้มค่าที่จะสั่ง
  • เมนูนั้นกำไรน้อย และได้รับความนิยมน้อยหากลองเช็คในเมนูโดยภาพรวมแล้วเห็นว่าเมื่อตัดเมนูดังกล่าวทิ้ง ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อยอดขายโดยรวม หรือกระทบต่อลูกค้า ก็ตัดทิ้งได้

นอกจากการรีวิวเมนูเดิมแล้ว อย่าลืมที่จะเพิ่มเมนูใหม่ๆ ที่มีสีสันแปลกตา การจัดเสิร์ฟที่ไม่เหมือนเดิม อย่างเช่นการจัดเสิร์ฟซอฟท์ครีมชาเขียวในถ้วยปกติ อาจจะเปลี่ยนไปใส่ในปลาไทยากิ หรือการเอาเค้กชาเขียวไปทานคู่กับมูสซากุระ ก็สร้างสีสันให้กับขนมได้มากทีเดียว

Matcha Menu Matcha Menu

ธุรกิจเครื่องดื่ม และคาเฟ่ช่วงนี้มาไว้ไปไว้มาก ก่อนจะวางแผนให้ธุรกิจไปข้างหน้า อย่าลืมที่จะตรวจเช็คสิ่งเดิมๆที่มีอยู่แล้วเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้นไปพร้อมๆกับการประยุกต์สิ่งใหม่ๆเข้าไป

ที่มา

https://thietkenoithat.org.vn/blog/dich-vu-thiet-ke-va-thi-cong-quan-cafe-tron-goi-tai-quan-bac-tu-liem/

http://tendencee.com.br/2016/09/casquinhas-de-sorvete-em-formato-de-peixe/#_Uwg5wY

https://www.100-vegetal.com/2013/03/petits-gateaux-vert-cerise-battle-food.html

https://www.pinterest.com/pin/27092035248199711/

https://avantcha.com/product-category/iced-tea/

http://on.forbes.com/64968R2Ti

บทความจาก : Fuwafuwa