คุณค่าทางสารอาหาร “เซนฉะ vs มัทฉะ”

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง แต่อย่างไรก็ตามชาเขียวก็มีหลายแบบ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงคิดว่า ผงมัทฉะ เป็นชาประเภทที่คุณประโยชน์น้อยมาก หากดื่มชา จึงมักจะเลือกดื่มที่เป็นชาใบมากกว่าผงชา แต่ในความเป็นจริงแล้วผงมัทฉะ ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้กัน เพราะผงมัทฉะ เป็นยอดชาที่ถูกนำเข้าสู่โรงอบไอน้ำโดยเร็วที่สุดเพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น เป็นการรักษาปริมาณสารคาเทซินในใบชาให้คงอยู่ไว้มากที่สุด แล้วนำใบชาแห้งจากการอบ เข้าสู่กระบวนการร่อนเพื่อคัดกิ่งและก้านออกจนหมด ก่อนจะนำไปบดด้วยเครื่องโม่ที่ทำจากหินชนิดพิเศษที่ทำเพื่อการบดมัทฉะโดยเฉพาะนั่นเอง

เดิมทีแล้วมัทฉะเป็นเครื่องดื่มล้ำค่าและมีคุณค่าสูง ซึ่งในอดีตมัทฉะจะถูกสงวนไว้เฉพาะสมเด็จพระจักรพรรดิ ราชวงศ์ และขุนนางชั้นสูงเท่านั้น แม้ในปัจจุบันการดื่มมัทฉะจะแพร่หลายไปทั้งประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก ความพิถีพิถันทุกขั้นตอนก็ยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย การเก็บมัทฉะเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น โดยคัดเลือกจากแปลงชาที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อใบชาเริ่มแตกยอด ก่อนจะเก็บเกี่ยว 1 เดือน จะต้องใช้ผ้าสีดำคลุมไว้ทั้งแปลง เพื่อให้สารอาหารที่รากถูกดูดซึมขึ้นมาเก็บกักไว้ที่ใบอ่อน 3 ใบแรก จากนั้นกระบวนการเก็บยอดชา ต้องเก็บด้วยมือโดยผู้ชำนาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น และเลือกเฉพาะยอดอ่อนที่สมบูรณ์ 3 ใบแรก ต้องไม่ปนเปื้อนกับส่วนอื่นการเก็บเกี่ยวต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนแสงแรกแห่งอรุณรุ่งจะมาเยือน

Matcha

เซนฉะแม้จะเกิดจากต้นชาชนิดเดียวกับมัทฉะ แตกต่างกันที่เซนฉะจะปลูกกลางแจ้งตลอดปี ไม่มีการคลุมด้วยผ้าสีดำ เซนฉะจะเก็บเกี่ยวได้ปีละ 4 ครั้ง โดยใช้กรรไกรตัดยอดต้นชา จากนั้นนำมาเป่าให้แห้ง สลับกับปั่นใบชาให้เป็นเกลียว จนได้ใบชาที่แห้งพอเหมาะพอดี ที่ให้รสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมกำลังดี ซึ่งการดื่มเซนฉะ จะนำใบชาแห้งใส่น้ำร้อน รอสักครู่จนน้ำชามีสีเข้มตามต้องการ จึงรินน้ำชามาดื่ม คุณค่าสารอาหารที่ได้จากเซนฉะจึงมาจากการที่ใบชาละลายในน้ำ ต่างจากมัทฉะที่เป็นการดื่มชาจากผงที่บดทั้งใบ ชาชนิดนี้จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีสารคาเทชิน (catechin) หรือสารต้านอนุมูลอิสระหลงเหลืออยู่มาก ซึ่งสารคาเทชินที่มีในเซนฉะจะช่วยลดระดับการดูดซึมไขมันและเป็นส่วนประกอบที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เซนฉะนั้นเป็นหนึ่งในชาที่นิยมดื่มกันในหมู่ผู้รักสุขภาพนั่นเอง

Gencha

ว่าด้วยเรื่องปริมาณคาเฟอีนของชาเขียวมัทฉะและเซนฉะ

เนื่องจากวิธีการปลูกของชาแต่ละชนิดแตกต่างกันจึงมีคาเฟอีนในระดับที่แตกต่างกัน ชามัทฉะที่ปลูกในสภาพที่ร่มรื่นจะมีคาเฟอีนมากกว่า แต่มัทฉะปกติหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนประมาณ 70 มก. ซึ่งต่ำกว่ากาแฟขนาดเดียวกันเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับเมล็ดกาแฟที่ใช้) ส่วนชาเซนฉะ มีคาเฟอีนระหว่าง 20-30 มก. ต่อถ้วยขึ้นอยู่กับคุณภาพของใบชาและระยะเวลาที่อนุญาตให้ชง หากใครที่ต้องการลดปริมาณคาเฟอีนในร่างกาย ชาเซนฉะจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนื่องจากมีคาเฟอีนน้อยกว่ามัทฉะประมาณ 40 มก.

Matcha

ชาเขียวมัทฉะและเซนฉะ สารต้านอนุมูลอิสระตัวไหนสูงกว่ากัน?

โดยทั่วไปชาเขียวถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ควรบริโภค ซึ่งทั้ง2 ชนิด อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่

โพลีฟีนอล :สารอาหารขนาดเล็กที่เชื่อว่าช่วยเรื่องการย่อยอาหารช่วยในการควบคุมน้ำหนักและช่วยปรับปรุงสภาวะต่างๆรวมถึงโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือด

Catechins:เป็นโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่งที่สุดที่พบในชาเขียวซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ งานวิจัยบางชิ้นรายงานว่าคาเทชินมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง

L-theanine: กรดอะมิโนที่ช่วยในการผ่อนคลาย ช่วยลดระดับความวิตกกังวลได้

แม้ว่าชาเซนฉะ ขึ้นชื่อว่าเป็นชาที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างมาก มีประโยชน์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลสูงและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต แต่ก็ยังถือว่ามีปริมาณที่น้อยกว่าผงมัทฉะ เนื่องจากการดื่มชาจากผงมัทฉะ คือ การที่บริโภคทั้งใบจึงได้รับสารอาหารมากที่สุด การดื่มเซนฉะในรูปแบบผงจะทำให้คุณได้รับสารอาหารมากขึ้นจากรูปใบเช่นกัน

นอกจากนี้เซนฉะยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเซนฉะยังมีปริมาณ vitamin C และ vitamin E ที่มากกว่าผงมัทฉะ

แต่ในทางกลับกัน ผงมัทฉะ มี vitamin B6 และ beta-carotene ที่มากกว่าชาเซนฉะ จะเห็นว่าทั้ง 2 ชนิดมีคุณค่าทางสารอาหารที่เหมือนกัน ต่างกันแค่ปริมาณที่ได้รับ ดังนั้นการดื่มชาชนิดใดก็ตามถือว่าดีต่อสุขภาพ

Matcha

ที่มา

http://inthemakingbybelen.com

http://www.skinnymetea.com.au

https://www.pinterest.com/pin/405605510171042632/

บทความจาก : Fuwafuwa

เพิ่มยอดขายร้านชาจากลูกค้าที่มาคนเดียว

4 เทคนิคนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยเพิ่มยอดขายโดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกอึดอัดใจกับการมาทานชาคนเดียวในร้าน อาจจะด้วยเหตุผลที่ต้องการความสงบจึงเลือกมาร้านชาคนเดียว อาจจะด้วยสภาพสังคมที่วุ่นวายทำให้มีคนบางกลุ่มต้องความสงบในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือเป็นเพราะโสด หรือด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การที่ลูกค้าเดินคนเดียวเข้าไปในร้าน อาจจะสร้างความหนักใจให้บางร้าน เพราะคงคิดว่าคงได้ยอดซื้อไม่เท่าไหร่ การที่จะเพิ่มยอดขายจากบิลของลูกค้ากลุ่มนี้ได้นั้นจริงๆแล้วไม่ใช่เรื่องยาก เริ่มจากแนะนำให้ลองใช้เทคนิค 4 ข้อดังนี้

1. แนะนำเมนูของว่างและของหวานทานคู่เครื่องดื่มชาที่เป็นเมนูหลักของที่ร้าน โดยอาศัยช่วงที่รับออร์เดอร์ เทรนด์ให้พนักงานเสนอเมนูของว่าง ขนม ให้ลูกค้ารับประทานเล่นระหว่างรอเครื่องดื่ม หรืออาหารที่ต้องใช้เวลานานในการทำ โดยเมนูที่ควรแนะนำ ควรเป็นเมนูที่ช่วยเสริมให้รสชาติเครื่องดื่มอร่อยยิ่งขึ้น เช่น การเสนอขนมไดฟุกุ ขนมที่ไม่ต้องใช้เวลาในการปรุง แค่หยิบเสิร์ฟได้เลย ประหยัดเวลารอ ให้ทานคู่กับชาเขียวร้อน เป็นต้น หรือลองสังเกตพฤติกรรมลูกค้า ตอนที่ลูกค้าใกล้รับประทานอาหารเสร็จ ให้เข้าไปพร้อมเสนอเมนูของหวานและเครื่องดื่มตบท้าย ก็เป็นวิธีง่ายๆที่ช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลได้โดยเฉพาะสาวๆ

Matcha Order

2. จัดเซ็ตเมนูสุดคุ้มควบเมนูคาวหวานและเครื่องดื่ม เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ทำให้ได้ยอดซื้อต่อบิลมากขึ้นจากลูกค้าที่มาคนเดียว ใช้กลยุทธ์นี้ได้ทุกเพศทุกวัย เพียงแค่จับเซ็ตเมนูที่ได้ครอบคลุมทุกอย่าง หรือใช้แค่การเพิ่มเงิน 10-50 บาทแล้วได้อีกเมนูไปทานด้วย จะทำให้ลูกค้ารู้สึกครบ จบ ประหยัดได้ในชุดเดียว การจัดเซ็ตเมนูจึงถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่า และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นโดยไม่รู้สึกอึดอัดใจ เช่น แทนที่คุณจะนำเสนอเมนูเดี่ยวๆ เช่น โซบะชาเขียวเย็น ก็เพิ่มการจัดเซ็ตสุดคุ้ม เสิร์ฟคู่โยคังชาเขียวถั่วแดง และชาร้อนๆสักแก้วพร้อมเครื่องเคียงที่ไว้ทานคู่กับโซบะอีกเล็กน้อย รับรองว่าไม่ว่าใครเห็นก็ต้องรู้สึกว่าคุ้ม หรือลองศึกษาวิธีว่าทำยังไงให้ลูกค้ารู้สึกว่าชาที่ร้านคุ้มค่าสมราคาเพิ่มเติมเป็นไอเดีย ก็ช่วยได้ทีเดียว

Matcha Order

3. ปรับปริมาณให้น้อยลงเพื่อให้สั่งได้หลากหลาย เพราะการจัดเซ็ตสุดคุ้ม อาจจะเป็นปริมาณที่ดูคุ้มจริงแต่เยอะไปสำหรับลูกค้าบางคน โดยเฉพาะสาวๆที่กลัวอ้วนหากทานเยอะไป ลูกค้าจึงเลือกที่จะสั่งอาหารจานเดียวแทน ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะพยายามเสนอขาย หรือทำเมนูอร่อยเด็ดขนาดไหน เขาก็สั่งแค่จานเดียว ทางแก้ง่ายๆ คือ ปรับไซส์ของเมนูให้น้อยลง ทำเมนูเฉพาะ size s เช่น จากขนมเค้กชิ้นโต อาจจะทำขนาดมินิลง ระบุว่าเป็นไซส์ S ปรับปริมาณน้อย แล้วมาจับชุดเป็นเซ็ตสุดคุ้มเฉพาะคน size s นั่นเอง เพราะหากขายแต่เมนูเดี่ยวๆสำหรับ size s อาจจะทำให้ลูกค้าบางคนรู้สึกว่าน้อยเกินไปก็เป็นได้

Matcha Order Matcha Order

4. มีสินค้า Grab & Go มากขึ้นตั้งบริเวณหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าที่มาคนเดียวหยิบซื้อได้โดยไม่เคอะเขิน ยิ่งมีสินค้าที่ราคาไม่แพงมาก ดูแล้วแพคเกจสวยน่าทาน หรืออาจจะมีตัวชิมวางเล็กน้อย ยิ่งง่ายต่อการเพิ่มยอดซื้อต่อบิลได้ แต่ถ้าร้านไหนมีพื้นที่เพียงพอ อาจจะจัดชั้น Display เป็นมุมให้ลูกค้าาแวะซื้อก่อนกลับ ก็ช่วยเพิ่มยอดต่อบิลได้ไม่มากก็น้อย

Matcha Order Matcha Order

ข้อควรระวังอย่างมาก ลูกค้าที่มาคนเดียวบางคน อาจจะต้องการความสงบในร้าน และไม่ต้องการให้พนักงานมาเชียร์ขายสินค้ามากนัก โดยเฉพาะคนที่มร้านเครื่องดื่มคนเดียว เป็นไปได้ว่าอาจจะต้องการสมาธิ ในการคิดงานหรือ อ่านหนังสือสักเล่มพร้อมเครื่องดื่มดีๆ ดังนั้นการสังเกตพฤติกรรมลูกค้าจึงสำคัญอย่างยิ่งกับการให้บริการลูกค้าทุกกลุ่ม

ที่มา

https://www.facebook.com/paperandtea/photos/2223036527737529/

บทความจาก : Fuwafuwa

Touch point ลูกค้าร้านชา ด้วยการออก Limited Collection

การพัฒนาหรือปรับปรุงให้ลูกค้ามีความพึงพอใจในสินค้าหรือบริการ เป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกร้านต้องดูแลลูกค้าไปตลอดทั้งกระบวนการตั้งแต่ก่อนการขาย ระหว่างการขาย รวมไปถึงหลังการขาย เพราะการให้ความสำคัญกับ Customer Touchpoint จะทำให้คุณมองเห็นแนวทางในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ได้ครบทุกจุดเพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีต่อลูกค้า ซึ่ง Customer Touchpoint จริงๆแล้วเริ่มตั้งแต่ลูกค้าค้นหาร้านชาผ่านออนไลน์ โฆษณา การเข้ามาที่ร้าน และจนจบการขาย ซึ่งการที่เราจะTouch Point ที่ดีที่สุดเป็นการที่เราทำให้ลูกค้าสามารถสัมผัสประสบการณ์กับการเป็นส่วนหนึงของร้านเราทุกที่-ทุกเวลาไม่จำกัดแค่ที่หน้าร้านได้นั้น  นั่นคือ การออก Merchandise Limited Collection สินค้าแบรนด์ของร้านตัวเองนั่นเอง ที่ช่วยค่อยๆแทรกซึมไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคนี้ ในทุกโอกาส ทุกโมเมนต์ของการบริโภค ไม่ว่าจะในร้าน – นอกร้าน นั่นเอง เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจของร้านเครื่องดื่มปกติในแขนงอื่นๆโดยไม่ต้องรอแต่ลูกค้าที่เดินเข้ามาใช้บริการที่ร้านอย่างเดียว โดยสินค้า Limited Collection ถ้ายกตัวอย่างให้เห็นได้ชัดที่สุด คงหนีไม่พ้น “Starbucks” ที่ไม่ว่าจะเทศกาลไหนๆก็สามารถออกสินค้ามาดึงความสนใจได้ตลอด

Merchandise Limited Collection Merchandise Limited Collection

จะสังเกตได้ว่าใครที่เป็นลูกค้า Starbucks ก็จะมีทั้งแก้วเครื่องดื่มร้อน และแก้วเครื่องดื่มเย็น ที่พกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย และแก้วสำหรับใช้ที่บ้านโดยเฉพาะ ทำให้แบรนด์เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน และแทบจะอยู่ในทุกโมเมนต์ของกิจกรรมประจำวัน ตั้งแต่เช้า – เดินทางไปทำงาน/ไปเรียน ไปจนถึงกลับบ้านการออกคอลเลคชั่นใหม่อย่างต่อเนื่องของ starbucks นี่เองที่ทำให้สร้างสีสันให้เหล่าลูกค้าได้รู้สึกอยากมีส่วนร่วมกับเทศกาลนั้นๆ

อย่างไรก็ตาม Limited Collection ไม่ได้จำกัดแค่แก้ว ยังสามารถครีเอทลายบนเสื้อ หรือสมุดอื่นๆได้อีกมากมาย ซึ่งสินค้านี่เองยังเป็นตัวสะท้อนวิสัยทัศน์ของร้านได้อีก อย่างร้านชาที่ควรออกสินค้า Limited Collection นี้เพื่อสะท้อนถึงการสร้างพฤติกรรมลูกค้าให้หันมาใช้ “แก้วส่วนตัว” มาซื้อเครื่องดื่มที่ร้านเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม และยังนำไปต่อยอดทำโปรโมชั่นที่ร้านได้อีกด้วย

Limited Collection Limited Collection

ส่วนลวดลายที่นำมาใช้กับสินค้า Limited Collection นี้ สามารถทำได้ง่ายๆตั้งแต่ การใช้โลโก้เลย หรือออกกลุ่มกราฟฟิคขึ้นมาอีกชุดเพื่อใช้กับสินค้านี้โดยเฉพาะ เพราะสินค้า Limited Collection นี้เป็นเหมือน“Silent Salesman” ที่ทรงพลัง ทั้งในการสร้าง Brand Visibility จากการที่คนถือแก้วไปมา หรือตั้งอยู่บนโต๊ะ ทำให้แก้วเป็นสื่อ หรือ Touch Point หนึ่งที่ปะทะสายตาของผู้ที่พบเห็นได้อีกด้วย

Limited Collection

ถึงแม้ Core Business ของร้านชา คือ เครื่องดื่มและอาหาร แต่ Merchandise เป็นอีกขาหนึ่งของการสร้างรายได้ และช่วยสร้าง Engagement ระหว่างแบรนด์ กับลูกค้า และเป็นอีก Touch Point การสื่อสารแบรนด์ได้เป็นอย่างดี ที่ไม่ว่าใครถือแก้ว หรือใช้สิ่งของต่างๆ ของ Starbucks ใครเห็นแล้วย่อมเห็นโลโก้ และชื่อแบรนด์ที่จดจำได้ ขณะเดียวกันทำให้แบรนด์อยู่ในบทสนทนาของลูกค้า ยิ่งคอลเลคชั่น Limited Edition วางจำหน่ายเฉพาะช่วงเวลาหนึ่งๆ เพื่อให้แฟนคลับได้สะสม จะเกิดการพูดถึง และบอกต่อ หากร้านไหนที่มีสินค้า Merchandise Limited Collection แบบนี้อยู่แล้ว อย่าลืมที่จะจัด Display และจัดเรียงสินค้าให้หาง่าย และเข้าถึงได้ง่าย อย่างที่ร้าน Starbucks เอง เลือกที่จะวางใน Shelf ใกล้ๆแคชเชียร์ และใกล้ประตูทางเข้าออก เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าสนใจสินค้านี้ตั้งแต่แว่บแรกที่เห็นนั่นเอง

กลุ่มสินค้า Merchandise นี้ยังมีประโยชน์มากในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะสามารถซื้อฝากใครๆก็ได้ หรือจะนำมาจับชุดของขวัญให้คู่กับเมนูขนมที่ร้านก็ยิ่งทำให้ผู้รับรู้สึกไก้สัมผัสประสบการณ์ เหมือนได้ไปทานที่ร้านเองเลย หากใครที่ไม่รู้จะครีเอทสินค้าอะไร อาจจะเริ่มจากการไป Collaboration กับศิลปิน Artist ก่อนเพื่อให้ลูกค้ารู้จักเราได้ง่ายขึ้น แล้วค่อยเลือกสินค้าออกตามซีซั่นก็ย่อมได้

Limited Collection Limited Collection

ที่มา

https://www.marketingoops.com

https://www.carousell.sg

https://jw-webmagazine.com/

https://chachanoma-shop.jp/SHOP/0301-1008.html

https://www.facebook.com/paperandtea/photos

บทความจาก : Fuwafuwa

ไอเดีย Easy Matcha Snacks พกไว้ไม่มีหิว

ช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ หลายคนคงออกเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัดกัน แต่เวลาเดินทางแต่ละที ต้องฝ่ารถติด คนเยอะ บางทีถึงร้านอาหารแล้วก็ยังทานไม่ได้เพราะคิวเต็มก็มี เพื่อให้ท้องไม่ว่าง แนะนำให้พก snack สั่งชิ้นสองชิ้นติดกระเป๋าไว้ หิวเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาทนได้เลย ไม่ต้องหัวเสียหิวจนพาลหงุดหงิด หรือรอนานจนทริปหมดสนุก มาดูไอเดียสำหรับ Easy snacks สไตล์คนรักชาเขียวกันว่ามีเมนูอะไรน่าสนใจบ้าง เป็นไอเดียให้ทั้งคนที่รักการเข้าครัวทำเอง และเป็นไอเดียให้ร้านชา ร้านคาเฟ่ที่เน้นขายเมนูชาเขียว เพื่อให้มีขนมแบบ Grab&Go หยิบแล้วจ่ายเงินได้เลยไม่ต้องรอนาน

Matcha Granola Bars

เมนูแรกMatcha Granola Bars ขนมที่ได้คุณค่าทางสารอาหารแบบเต็มๆ ทำไม่ยากเพียงแค่นำ ข้าวโอ้ต 250 g. + อัลมอนด์สับ 80 g. +  เมล็ดฟักทอง 40 g + โกจิเบอรี่ 50 g แผ่ลงบนถาดอบ อบ 170°C 10 นาที

หลังจากอุ่นเมเปิ้ลไซรัป 180 g กับเนยอัลมอนด์ 180 g ในอุณหภูมิต่ำละลายเข้ากันนำไปคลุกกับผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ และส่วนผสมที่เข้าเตาอบเมื่อสักครู่แล้วนำมาแผ่บนถาดนำเข้าตู้เย็นเพื่อให้เซ็ตตัวประมาณ 10 นาที แล้วนำออกมาหั่นเป็นชิ้นๆตามขนาดที่ต้องการ

Cranberry Almond Matcha Macaroons

มาดูตัวที่สองที่น่าทานไม่แพ้กันCranberry Almond Matcha Macaroons ที่พลิกโฉมความคลาสสิกของมาการูนมะพร้าวแบบดั้งเดิม ด้วยการปรุงแต่งด้วยผงมัทฉะ แครนเบอร์รี่อบแห้งและอัลมอนด์ รสชาติเข้ากันได้ดี เริ่มจากใส่มะพร้าวขูด ประมาณ 2 ¼ ถ้วย น้ำตาลทราย ¼  ถ้วย ผงมัทฉะ 2 ช้อนชา

และเกลือป่น ⅛ ช้อนชา ลงในชามผสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวและกลิ่นอัลมอนด์ คนให้เข้ากันจนส่วนผสมเข้ากันดี เติมแครนเบอร์รี่อบแห้งสับ ½ ถ้วย และอัลมอนด์สับ ¼ ถ้วยลงไป แล้วใช้ที่ตักไอศครีมตักส่วนผสมออกมาเป็นสกู๊ป วางบนถาดอบ เว้นระยะระหว่างชิ้นเล็กน้อยเพื่อให้เวลาอบไม่ติดกัน นำเข้าอบ 160 องศา 24-30 นาที หรือจนขอบด้านล่างและด้านบนของมาการูนเป็นสีน้ำตาลทอง นำออกจากเตาอบและปล่อยให้เย็นบนแผ่นประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะย้ายไปที่ตะแกรงเพื่อให้เย็นสนิท เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

อีกเมนูแสนง่ายคือMatcha Energy Ball โดยใส่อัลมอนด์ 1 ถ้วย + อินทผาลัมสับ ½  ถ้วย + เมล็ดเจีย 2 ช้อนโต๊ะ + ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา และเกลือหยิบมือ ลงในเครื่องปั่นความเร็วสูง ปั่นจนส่วนผสมจะเริ่มติดกัน ปั่นเป็นก้อนกลม ทิ้งไว้ในช่องแช่แข็งอย่างน้อย 30 นาที ก็จะได้เพลิดเพลินกับมัทฉะบอลได้ ซึ่งมัทฉะบอลนี้จะเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 1 สัปดาห์

Matcha Snack

อีกเมนูที่คนฝรั่งจะเรียกว่า Nougat ที่เกิดจากการนำ น้ำตาล  น้ำผึ้ง ถั่วต่างๆ และผลไม้แห้งหลากชนิดมาคั่วและกวนจนแห้ง เหนียวและแข็งคล้ายกับ “ตังเม” ในไทยนั้นเอง สามารถเติมผงมัทฉะลงไปเพื่อเพิ่มความขมตัดกับรสหวานและเพิ่มTexture ของการเคี้ยวด้วยงาดำ

Nougat Nougat

อีกเมนูที่เชื่อว่าหลายคนคิดไม่ถึงว่าป็อปคอร์นจะสามารถทำรสชาเขียวได้ อย่งป็อปคอร์นชาเขียวหรือเป็นพวกถั่วอัลมินด์ เม็ดมะม่วงหิมพาานต์คลุกกับผงมัทฉะ ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มมีหลายร้นที่แพ็คถั่วรสชาติต่างๆขาย เป็นการต่อยอดเมนูเดิมๆให้ดูสร้างสรรค์ขึ้น แถมยังแบ่งบรรจุใส่แพ็คเล็กให้พกพาไปทานที่ไหนก็ได้

ที่มา

https://www.mysequinedlife.com/cranberry-almond-matcha-macaroons/

https://www.snixykitchen.com/matcha-black-sesame-nougat-chews/

https://foodaciously.com/recipe/matcha-granola-bars

บทความจาก : Fuwafuwa

รับลมหนาว กับไอเดียเมนูชาอุ่นๆ

ลมเย็นๆเริ่มพัดมา การได้ดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆสักแก้ว จะยิ่งช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น แต่เมนูชาเขียวแบบเดิมๆอย่างมัทฉะลาเต้ ก็คงน่าเบื่อไปสำหรับช่วงสิ้นปีที่ทุกคนจะสนุกสนานกับการทานของอร่อยๆ มาดูเมนูชาอุ่นๆ สไตล์คนเลิฟมัทฉะกันว่ามีเมนูไหนน่าลองไปทำที่ร้านบ้าง

Hot Cinnamon Buttered Matcha

Hot Cinnamon Buttered Matcha เมนูที่คิดไม่ถึงว่าการเติมผงซินนาม่อนลงไปในชาเขียวจะเข้ากันอย่างเหลือเชื่อ เพียงนำผงชาเขียว ½ ช้อนชา + ผงซินนาม่อน ½ ช้อนชา + เนย 2 ช้อนชา เติมความหวานด้วยน้ำตาลมะพร้าว2 ช้อนชา ปั่นรวมกันในน้ำอุ่น 8 ออนซ์ เพียงเท่นี้ก็ได้เครื่องดื่มหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของซินนาม่อนไว้ทานรับเช้าวันใหม่

Matcha-Honey Hot Chocolate

Matcha-Honey Hot Chocolate เริ่มจากอุ่นนม 2 ถ้วยก่อน แล้วใส่ไวท์ช็อคโกแลตสับลงไป ½ ถ้วย พอไวท์ช็อคโกแลตละลายให้เติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + เกลือ 1 ช้อนชาคนให้เข้ากัน สามารถเพิ่มท้อปปิ้งด้วยมาชแมลโลว์ได้

Matcha Latte

Lavender Matcha Latte ที่นำลาเวนเดอร์อบแห้งมาต้มในน้ำก่อนประมาณ 5 นาที แล้วช้อนตัวดอกลาเวนเดอร์ออก เติมน้ำผึ่ง2 ช้อนชา +ผงมัทฉะ 2 ช้อนชา ลงไปในน้ำต้มข้างต้น ตีผงมัทฉะให้ละลาย หลังจากนั้น เติมนมอุ่นลงไป 2 ถ้วย คนให้เข้ากัน แล้วตกแต่งก่อนเสิร์ฟด้วยดอกลาเวนเดอร์อบแห้งเล็กน้อย ช่างเป็นเครื่องดื่มที่ได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่จริงๆ

อีกเมนูชาดอกไม้ที่สาวๆชื่นชอบอย่างMatcha Rose Latte ที่เปลี่ยนจากดอกลาเวนเดอร์ เป็นดอกกุหลายแทน ก็จะช่วยให้ได้กลิ่นที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็เพิ่มรสชาติปลยลิ้นด้วยการโรยผงซินนาม่อนเล็กน้อยบนชาเขียวกุหลายก่อนเสิร์ฟ

Matcha Latte

Earl Grey Matcha Latte เมนูชาอุ่นๆที่ได้จากชาเอิร์ลเกรย์ 2 ถุงต้มในน้ำประมาณ 5-8 นาที แล้วเติมผงมัทฉะลงไป ½ ช้อนชา + ผงซินนาม่อนอีก เล็กน้อย +ครีมเทียม 1 ช้อนโต๊ะ ผสมรวมให้เข้ากัน เป็นอันเรียบร้อย ได้ชาเขียวสไตล์ใหม่ ที่มีกลิ่นอายแบบอังกฤษ

Matcha Cocoa Matcha Cocoa

อีกเมนูชาอุ่นๆที่ได้ส่วนผสมหลักอย่างผงโกโก้ มาช่วยเสริมรสชาติ อย่งเมนู Matcha Cocoa ที่นำผงมัทฉะ 1 ½ ช้อนชา ผสมรวมกันกับ ผงโกโก้ 1 ช้อนชา ในน้ำอุณหภูมิประมาณ 70 องศา 5 ช้อนชาตีผสมให้เข้ากัน แล้วเติมเกลือเล็กน้อย กับเมเปิ้ลไซรัป 1 ช้อนชา กลิ่นวานิลลาเล็กน้อย จึงค่อยเติมนม ¾ ถ้วย ที่อุ่นร้อน ลงไป เป็นอันเรียบร้อย บางคนก็จะเสิร์ฟพร้อมวิปครีม เพื่อสร้างรสชาติมันๆให้ชาเขียวโกโก้แก้วนี้อีกเสต็ป

Lemon Matcha Latte Lemon Matcha Latte

ยังมีอีกหลากหลายเมนูอุ่นๆที่ใช้ผงมัทฉะมารังสรรค์ความอร่อยที่ไม่ซ้ำใครได้ เช่นCaramel Apple Matcha Latte หรือจะเป็น Lemon Matcha Latte หรือถ้าใครชอบแบบเครื่องดื่มเย็นๆ แนะนำให้ลองทำดื่มกันนะค้า^^

ที่มา

https://tealish.com/blogs/blog/caramel-apple-matcha-latte-recipe

https://www.butteredsideupblog.com/

https://foodbymars.com/matcha-rose-latte-dairy-free-refined-sugar-free/

https://awhiskandtwowands.com/matcha-mocha/

https://mylifecookbook.com

https://www.ohhowcivilized.com

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Latte Art ศิลปะบนชาเขียว

Latte Art ที่คุ้นชินกันบนเมนูกาแฟ แรกเริ่มเดิมทีแล้วถูกสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความโด่งดังในเรื่องการชงกาแฟเป็นอย่างมาก ศิลปะบนแก้วกาแฟนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเริ่มถูกแพร่หลายมาบนเมนูมัทฉะลาเต้ แม้จะยังไม่เป็นที่นิมมากนัก แต่ลาเต้อาร์ต นับเป็นศิลปะที่น่าสนใจอย่างมาก ที่ช่วยช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ชาเขียวถ้วยโปรดของคุณน่าหลงใหลยิ่งขึ้นอีกด้วย

Matcha Latte Art

ความสวยงามของลาเต้อาร์ต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟองนมที่ตีจนแตกฟองสวย เนื้อละเอียด หรือที่เรียกกันว่าไมโครโฟม-microfoam โดยลาเต้อาร์ตที่ดีต้องมีความคมชัด, ความบาลานซ์ และรูปแบบการดีไซน์ที่พลิ้วไหวสร้างสรรค์ ซึ่งการทำลาเต้อาร์ตออกมาสวยงามในแต่ละแก้ว สะท้อนความใส่ใจและความทุ่มเทของคนทำ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างแน่นอน

การลาเต้อาร์ตทำได้อยู่ 3 วิธีหลักๆ คือ

1. Free Hand คือ การราดฟองนมลงไปบนชาเขียว แล้วขยับถ้วยให้เป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งลวดลายนั้นเกิดจากการแทรกตัวระหว่างโฟมนมกับน้ำกาแฟ กำหนดน้ำหนักและทิศทางของฟองนมให้เลื่อนไหลไป โดยมากแล้ววิธีนี้จะทำให้ได้รูปที่เป็นหัวใจ รูปแอปเปิ้ล และรูปใบไม้ บางคนยังสามารถทำเป็นรูปใบไม้คู่ รูปปลา รูปหงส์ หรือดอกไม้ไฟได้ด้วย ถ้าเทโฟมนมในปริมาณที่แตกต่างกัน อัตราความช้า-เร็วในการเทต่างกัน การขยับหรือเอียงถ้วยกาแฟในลักษณะที่ต่างกันก็ล้วนทำให้ภาพที่ออกมาแตกต่างกันทั้งสิ้น เช่น ถ้าจะทำรูปหัวใจจะต้องใช้ปริมาณฟองนมที่มากกว่าการทำลายใบไม้ เพราะลายหัวใจจะมีโครงสร้างที่กว้างและมน ขณะที่ลายใบจะมีโครงสร้างที่เล็กเรียว ถ้าทำลายใบไม้แต่ฟองนมมากเกินไปลายของใบก็จะไม่คมและฟองนมอาจจะไปกลบลายริ้วของกลีบใบ

Matcha Latte Art

2. Draggingเป็นการทำลาเต้ อาร์ตโดยใช้ช้อนตักโฟมนมลงไปบนน้ำกาแฟเอสเปรสโซซึ่งถูกราดทับด้วยน้ำนมประมาณ 3 ใน 4 ของถ้วย โดยโฟมนมด้านบนอยู่ในระดับที่เสมอกับขอบถ้วย จากนั้นจึงหยอดซอสที่ใช้ในการแต่งหน้า เช่น ช็อกโกแลตซอส คาราเมลซอส ราสเบอรี่ซอส ให้เป็นลายเรขาคณิตต่างๆ เช่น เป็นวงแบบก้นหอย , ลากเส้นแบ่งวงกลมเป็น 8 ส่วน แล้วใช้วัสดุปลายแหลมลากระหว่างโฟมนมกับซอสเพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย ซึ่งลายที่นิยมได้แก่ ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกเฟื่องฟ้า ดอกกุหลาบ ลายปลาดาว และลายอมยิ้ม

Matcha Latte Art

3. ส่วนเทคนิคผสมระหว่าง Free Hand Pour และ Draggingนั้นนิยมใช้กับการทำรูปสัตว์หรือการ์ตูนต่างๆ โดยจะใช้วิธีเทโฟมนมลงบนชาเขียวให้โฟมนมเป็นวงขนาดใหญ่ตรงกลางถ้วยและเหลือแนวรอบถ้วยประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นใช้ช้อนขนาดเล็กตักโฟมนมหยอดลงไปเพื่อสร้างโครงของรูปที่ทำ เช่น หู เขา หรือมือของสัตว์ แล้วใช้ก้านไม้จุ่มชาเขียวซึ่งอยู่รอบนอกมาแต้มเป็นหน้าตา จมูก ปาก หรือลายละเอียดต่างๆ เช่น หนวด เส้นขน นิ้วมือ

การทำลาเต้อาร์ตที่สวยงามต้องอาศัยความเร็วด้วย เมื่อได้ชาเขียวอุ่นๆมาแล้ว ต้องเตรียมสตรีมนมให้พร้อมกัน หากปล่อยทิ้งไว้ โฟมจะลอยตัวและเสียทรง ซึ่งสีของชาเขียวก็มีผลต่อลาย และสีบนลาเต้อาร์ตเช่นกัน นอกจากนั้นเวลาขึ้นลาย ให้เทนมอย่างต่อเนื่องจนจบลาย ถ้าหกก็เทต่อ อย่าหยุดพร้อมกับค่อยๆ พลิกข้อมือขึ้นลงช้าๆ ให้ลายในแก้วเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเวลาเท แนะนำให้เอียง Pitcher รับกับตัวแก้วประมาณ 45 องศา ยก Pitcher ให้สูงขึ้น วนนมให้เข้ากับชาเขียว ระวังไม่ให้นมที่เทลงไปโดนขอบแก้ว

ส่วนการสตรีมนม ก็คือ  การใช้เครื่องตีน้ำนมให้เกิดฟอง ซึ่งการสตรีมที่สมบูรณ์นั้นจะทำให้ได้ฟองนมที่เนียนนุ่ม โดยความร้อนที่ใช้ในการสตรีมนมควรอยู่ที่ 60-70 องศาเซลเซียส และจังหวะและน้ำหนักในการตีน้ำนมต้องเหมาะสม เคล็ดลับเพิ่มความอร่อยนี้คือการใช้ฟองนมที่เป็นนมโคแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีปริมาณไขมันและโปรตีนสูง จึงให้รสชาติหอมมันมากกว่านมผสม เมื่อนำมาสตรีมจะให้เนื้อที่มีความเนียนละเอียด ไม่หยาบกระด้างเป็นฟองขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด แต่ถ้าใครเคยได้ยินว่าชาเขียวใส่นมดื่มแล้วไม่ดี ควรดื่มแต่ชาเขียวเพียวๆ ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เรื่องชาเขียว กับนม ดูเพื่อความสบายใจในการดื่มชาเขียวแก้วโปรดของคุณ ^^

Matcha Latte Art Matcha Latte Art

นอกจากการทำลาเต้อาร์ตแบบปกติแล้ว จะเห็นว่าตามร้านคาเฟ่ช่วงหลังๆมานี้ ก็มีไอเดียน่ารักๆ สร้างสรรค์ฟองนมขึ้นมาแบบลาเต้อาร์ต 3 มิติ คือ การสร้างสรรค์ฟองนมให้เป็นรูปร่างที่นูนขึ้นเป็นมุมมอง 3 ด้าน หรือสูงเกินปากแก้วขึ้นมา เทคนิคในการทำอยู่ที่การทำฟองนมให้เนียนและมีความคงตัว สามารถตักมาปั้นและเขียนหน้าตาให้เป็นรูปแบบที่ต้องการ ไม่มีแบบตายตัว แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของผู้ทำ สัดส่วนในการทำเหมือนลาเต้อาร์ต แต่ใช้ฟองนมที่มากกว่านั้นเอง

ส่วนร้านไหนที่ยังไม่สามารถทำลาเต้อาร์ตบนชาเขียวได้เอง แนะนำให้เพิ่มความสวยงามบนเมนูชาเขียวด้วยกาใส่ฟองนมธรรมดาแล้วโรยผงชาเขียวแต่งหน้าเบาๆอีกที ก็ทำให้ชาเขียวลาเต้มีมิติขึ้น

Matcha Latte Art

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/452330356316089320/

weheartit.com

https://www.shutterstock.com/blog/instagram-worthy-photos-cafes

บทความจาก : Fuwafuwa

3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าชาเขียวอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ และยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แม้จะมีหลายกระแสของการดื่มชาเขียว ทั้งเรื่องเวลาที่ควรดื่มชา หรือ การดื่มชาร้อนหรือเย็น แบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามชาเขียวก็ยังมีประโยชน์มากกว่าโทษอยู่ดี ซึ่ง 3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart นั้นมาจาก

1. EGCG  สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว

EGCG เป็นคำย่อของโพลีฟีนอลที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate ซึ่งมีความสำคัญในชาเขียว เพราะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และช่วยต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านริ้วรอย เนื่องจาก EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงสามารถทำลายอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดความชราและโรคภายในสมองของคุณได้ เนื่องจากสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่อุดมไปด้วยออกซิเจน การรักษาความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นให้น้อยที่สุดจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง ซึ่ง EGCG นอกจากจะช่วยเพิ่มความจำของคุณแล้ว ยังช่วยเรื่องของการรับรู้ ทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น กล่าวคือ เมื่ออนุมูลอิสระโจมตีสมองอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในสมองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรค EGCG ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบก็จะหยุดกระบวนการทำลายล้างภายในสมองเพื่อให้สมองของคุณแข็งแรงและทำงานได้ดีที่สุดนั่นเอง

smart

2.  L.Thenine (แอลธีอะนีน) มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองโดยรวม เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะทำให้คุณทำงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เพิ่มโดปามีนและเซโรโทนินและช่วยเพิ่มความจำ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจังหวัดชิกะ ยังแสดงให้เห็นว่า L.Thenine ยังเพิ่มความสามารถในการให้ความสนใจของบุคคลด้วยการเพิ่มการทำงานของคลื่นอัลฟาในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการตายของเซลล์สมองลดความวิตกกังวลและความเครียดและช่วยป้องกันภาวะเสื่อมเช่นพาร์คินสันและอัลไซเมอร์ เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะช่วยปกป้องสมองของคุณจากอันตรายและปรับเปลี่ยนคลื่นสมองเพื่อให้สมองของคุณตื่นตัวและมีสมาธิ แต่ไม่เครียด เพราะการทำงานของสมองที่ไม่ดีอย่างมากเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากโภชนาการที่ไม่ดีและการเครียดและวิตกกังวลมากเกินไป L.Thenine ในชาเขียวช่วยควบคุมสมองเพื่อให้มีเวลาเติมพลังในการนอนหลับอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อนและช่วยลดความเครียดหรือความวิตกกังวลลงได้อย่างรวดเร็วทำให้จิตใจผ่อนคลายและสงบ เมื่อสมองของคุณสงบ แต่มีสมาธิคุณจะรับมือกับความท้าทายได้มากขึ้นและคิดได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่รู้สึกหนักใจ

smart

3. สารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดอยู่ในชาเขียว จากการศึกษาเกี่ยวกับชาเขียวแสดงให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว ช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์ซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดในชาเขียวนอกเหนือจาก EGCG ซึ่งช่วยเพิ่มระดับโดพามีนในสมองและป้องกันสารพิษต่อระบบประสาท ยังมีการวิจัยทั่วโลกเพื่อจำแนกและทำการศึกษาอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของสารต้านอนุมูลอิสระแต่ละชนิด อย่าวโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยควบคุมระดับกลูโคสในสมองซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แทนนินในชาเขียวช่วยในการซ่อมแซมดีเอ็นเอ นอกเหนือจากการป้องกันการตายของเซลล์ประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว จึงควรเลือกชาที่มีคุณภาพสูงและคำนึงถึงขั้นตอนการชงที่ผ่านกรรมวิธีในระดับที่สูงกว่าชาอื่น ๆ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในชาเย็นกับชาร้อนและพบว่าจริงๆแล้วชาเย็นมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าโดยสรุปว่าอุณหภูมิที่ร้อนจะทำลายคาเทชินบางส่วนในชา

smart

เคล็ดลับในการใช้ประโยชน์จากชาให้มากที่สุดสำหรับสมองคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรคำนึงถึงในการดื่มชาเขียว กล่าวคือ การเลือกชาที่มีคุณภาพสูงสุด ชาที่มีคุณภาพสูงกว่าจะเก็บสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากกว่าให้รสชาติดีขึ้นและควรปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง พยายามดื่มชาเขียวอย่างน้อยทุกวันเพื่อให้สมองได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีค่า ถ้าเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวที่มีน้ำตาลเนื่องจากน้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แต่ชาเขียวมีสารประกอบตามธรรมชาติซึ่งจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวตลอดระยะเวลาที่ยาวนานและผ่อนคลายมากกว่าการเติมพลังให้สมองของคุณด้วยการเร่งน้ำตาลนั่นเอง

smart

ที่มา

shorturl.at/dkKQT

https://www.pinterest.com/pin/407435097543999856/

บทความจาก : Fuwafuwa

เริ่มวาง Tactical Plan ปีหน้าให้ร้านชาของคุณรึยัง?

การวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกธุรกิจ ยิ่งยุคสมัยนี้ที่ร้านเครื่องดื่ม ขนม คาเฟ่ผุดขึ้นเยอะมาก การวาง Tactical Plan แคมเปญตลอดปีหน้าไว้ ว่าแต่ละช่วงเทศกาล แต่ละเดือนจะทำอะไรบ้าง จะช่วยให้เตรียมการได้ทัน อย่างไรก็ตามการวางแผนนี้ไม่ใช่การโฟกัสแต่การออกเมนูใหม่รับเทศกาล แต่ต้องคำนึงถึง Target ลูกค้าที่ต้องการทำแคมเปญด้วย และ Budget รวมถึง Communication Channel ที่รวมถึงสื่อต่างๆ กิจกรรมการตลาดและการตกแต่งภายในร้านด้วย

จะเริ่มวาง Tactical Plan ให้ร้านชาได้ยังไง แนะนำให้เอา Sesonal ต่างๆมาเป็นจุดหลักของแพลน เพราะพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของคนไทย จะซื้อง่ายจ่ายคล่องขึ้นเมื่อมีเทศกาลอะไรบางอย่าง

เริ่มจากเดือนมกราคม เป็นช่วงปีใหม่ เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ที่สดใสขึ้นด้วยเมนูเพื่อสุขภาพอย่างแพนเค้กชาเขียวแป้งโฮลวีต ท้อปปิ้งด้วยกล้วยหอมซินนาม่อน  ต่อด้วยวันเด็ก  เมนูที่ร้านจึงเหมาะกับการครีเอทให้น่ารัก ที่เด็กๆเห็นแล้วอยากทาน

เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก เมนูหวานๆ รูปหัวใจ ที่ทำจากชาเขียวที่ร้านเป็นหลัก ทำให้วาเลนไทน์นี้พิเศษกว่าเดิม

เดือนมีนาคม เมษายน เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่ซากุระเริ่มผลิบาน เมนูที่ทำจากซากุระ จึงเป็นที่นิยมมากที่ญี่ปุ่น ดังนั้น ร้านชาเขียวที่ใช้วัตถุดิบจากญี่ปุ่นแท้ๆ ก็ไม่ควรพลาดที่จะอิงกระแสซากุระนี้ไปด้วย

ส่วนในวันแม่ วันพ่อที่ลูกๆหลายคนอยากจะทำขนมโฮมเมดให้ท่านเอง หรือเลือกหาขนมที่ดีต่อสุขภาพ หรือจะเป็น raw sweets ขนมสุขภาาพอีกแนว ก็น่าสนใจ

มัฟฟินชาเขียวแป้งโฮลวิต หรือ เค้กชาเขียวงาดำ รสชาติที่เหมาะกับผู้ใหญ่ ก็จะช่วยให้ร้านชาของคุณน่าแวะเวียนมาหาซื้อของขวัญในทุกเทศกาลอีกช่วงที่เหมาะกับการสร้างสรรค์ไอเดียให้เมนูชาเขียวคือฮาโลวีนแม้จะไม่เป็นที่นิยมมากนักสำหรับคนไทย แต่ก็มีหลายร้านที่ทำคุ้กกี้ชาเขียว หรือเค้กบอลชาเขียวลวดลายผีน่ารักๆ เสิร์ฟเป็นของแถมในวันที่ 31 ต.ค.

แล้วก็วนมาถึงสิ้นปี ช่วงเทศกาลแห่งความสุข คริสมาสต์ ปีใหม่ ที่เมนูน่ารักน่าทานลวดลายธีมคริสมาสต์ได้ออกมามากมาย เพื่อสร้างความสดใสและสนุกให้ที่ร้าน

จะเห็นว่า ตลอดทั้งปีจะมีช่วงเทศกาลที่ทำให้เราสามารถอิงกระแสเพื่อครีเอทเมนูใหม่ให้สอดคล้องกับช่วงนั้นๆได้ทำให้ลูกค้าสามารถแวะเวียนมาได้ทุกเทศกาล แต่ก่อนที่จะดูว่าจะออกเมนูอะไรใหม่ สิ่งที่ควรรู้คือ เราต้องเข้าใจต้องเข้าใจตลาดที่ตัวเองกำลังเล่นอย่างลึกซึ้งก่อน ทั้งฝั่งของร้านเราเองที่ต้องรู้จุดยืนของแบรนด์คุณ และรู้ความต้องการของลูกค้า พฤติกรรมของลูกค้าว่าเหมาะกับการทำสินค้าใหม่ตามเทศกาลจริงมั้ย รวมทั้งดูจุดอ่อน จุดแข็ง ของคู่แข่งแต่ละรายด้วยเพื่อที่จะได้มาอุดรอยรั่วของร้านเราเอง

หลังจากนั้น การวิเคราะห์เป้าหมายทางการตลาดจะต้องชัดเจนที่สุด ไม่คลุมเคลือ หรือ กว้างไป ต้องระบุว่าร้านอยากได้อะไรจากการวางแผนนี้ ช่วงระยะเวลาจัดแคมเปญที่ชัดเจน และการจะแคมเปญทุกครั้งที่มีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วจะนำสู่การวัดผล ประเมินผลออกมาได้อย่างชัดเจน

หลังจากวิเคราะห์จุดประสงค์ เป้าหมายลูกค้าเรียบร้อยแล้ว การวางแผนจะต้องเอา Budget ทั้งปีมากางดูและแบ่งslot ไปก่อน เพื่อทำให้เจ้าของร้านรู้ได้ว่า ช่วงไหนควรลงทุนกับการจัดแคมเปญมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ Budget นั้นๆจะครอบคลุมถึงสื่อต่างๆทั้งออฟไลน์และออนไลน์ การตกแต่งภายในร้าน ต้นทุนของ R&D ในการคิดค้นเมนูใหม่ๆให้สอดคล้องกับเทศกาล รวมถึงการหาแพคเกจให้สอดคล้องตามเทศกาลด้วยใหม่อื่นๆด้วย

วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ร้นชาของคุณเป็นรูปเป็นร่างไม่ทำการตลาดที่สะเปะสะปะระหว่างปี คือการเขียน Tactical Plan ตลอดทั้งปีเพื่อให้มีเวลาในการดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้ครบถ้วนนั่นเอง

วันนี้คุณเตรียมแผนปีหน้าให้ที่ร้านคุณรึยัง?

ที่มา

https://sweetrusticbakes.com/gluten-free-halloween-cookies/

http://www.huffingtonpost.com/ken-leung/to-us-matcha-goma-mousse-_b_3786543.html?utm_hp_ref=baking

http://lifeinthesouth.co/raw-matcha-lime-tarts/

บทความจาก : Fuwafuwa

เปลี่ยนสวนที่บ้านให้เป็นต้นชาเขียวได้มั้ย?

เอาใจคนรักชาเขียว กับการทดลองเปลี่ยนสวนที่บ้านให้เป็นต้นชาเขียว เริ่มด้วยการเพาะเมล็ดในถุงพลาสติก ขนาด 6×8 นิ้ว ใส่ดินผสมไว้ในถุง วางเมล็ดชาที่ดี ไว้กลางถุงให้ด้านตาควํ่าลง แล้วกลบเมล็ดด้วยถ่านแกลบหรือทรายผสมขุยมะพร้าวหนาประมาณ 1 นิ้ว ควรมีการพรางแสงให้ร่มเงา และรดนํ้าอย่างสม่ำเสมอในระหว่างเพาะ ที่ต้องเลือกวิธีการเพาะเมล็ดเพราะไม่กินพื้นที่มากสำหรับสวนบ้าน และการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด เป็นวิธีการที่นิยมใช้กันมากในประเทศไทยด้วย ต้นชาที่เพาะจากเมล็ดจะมีระบบรากแข็งแรง มีรากแก้วสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้ดีนั่นเอง

matcha lover

ปัจจัยที่สำคัญในการปลูกชา  คือ สามารถเจริญได้ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาว ยกเว้นในพื้นที่ที่มีนํ้าแข็ง แะยังมีปัจจัยอื่นๆอีก นั่นคือ

  1. ดินชาจะเจริญงอกงามในดินร่วนที่มีการระบายนํ้าได้ดี เป็นกรดเล็กน้อย มี PH 4.5-6.0 ความลาดชันไม่ควรเกิน 45 องศา
  2. ความชื้นและปริมาณนํ้าฝนควรเป็นพื้นทีที่มีฝนตกสม่ำเสมอตลอดปี ปริมาณนํ้าฝนอย่างตํ่า ควรอยู่ในช่วง 1,140-1,270 มิลลิเมตร/ปี เพราะถ้าขาดนํ้าจะทำ ให้ต้นชาชะงักการเจริญเติบโต ไม่แตกยอด ทำ ให้ผลผลิตลดลงนั่นเอง
  1. อุณหภูมิ ชาสามารถเจริญได้ในอุณหภูมิที่แตกต่างกัน โดยชาจะเจริญเติบโตดีในช่วงอุณหภูมิระหว่าง 25-30 องศาเซลเซียสและอุณหภูมิค่อนข้างคงที่ตลอดปี ทำให้ชาสร้างยอดใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง
  1. ความสูงจากระดับนํ้าทะเลชาที่ปลูกในพื้นที่สูงตั้งแต่ 1,000 เมตรขึ้นไป มีอากาศเย็นจะทำ ให้ผลผลิตใบชาที่ได้มีคุณภาพสูง ใบชามีกลิ่นและรสชาติดี แต่ปริมาณผลผลิตที่ได้จะตํ่า ส่วนการปลูกชาในที่ตํ่า อากาศค่อนข้างร้อน ชาจะให้ผลผลิตสูงแต่คุณภาพตํ่ากว่าชาที่ปลูกในที่สูง

หลังจากเช็คปัจจัยต่างๆเหล่านี้ครบแล้ว ในทางตรงกันข้ามที่จะเห็นได้ชัดว่า ปัจจัยที่ไม่เหมาะสมในการปลูกชา คือ

  1. ดินชั้นล่างเป็นหิน หรือลูกรัง ทำ ให้ชาหยั่งรากลงไปหาอาหารได้ตื้น
  2. เป็นพื้นที่ที่ไม่มีการระบายนํ้า และ มีหินปูนและมี pH เกินกว่า 6
  3. พื้นที่มีความลาดชันมากเกิน
  4. ดินที่มีอินทรีย์วัตถุน้อย และไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้
  5. บริเวณที่มีลมแรง จนไม่สามารถทำ ที่บังลมได้ เพราะต้นชา เป็นพืชที่ต้องการร่มเงาไม้เพื่อบังร่ม และบังลม ช่วยลดอุณหภูมิในช่วงกลางวันลง ลดปริมาณของแสงแดดที่ส่องยังต้นชาโดยตรง ทำ ให้ใบชาสามารถสังเคราะห์แสงได้ดีขึ้น เพราะถ้าต้นชาได้รับแสงแดดจัดเต็มที่โดยตรงจะทำ ให้ใบมีขนาดเล็ก เหลือง หรือทำ ให้เกิดใบไหม้ ใบชาไม่มีการปรุงอาหาร ต้นจะโทรมและตายในที่สุด

การเก็บเกี่ยวชา

การเก็บเกี่ยวชาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการผลิตชาให้ได้คุณภาพดีนั้น ต้องเริ่มจากใบชาสดที่มีคุณภาพ ใบชาสดที่มีคุณภาพดีที่สุดคือ ใบชาที่เก็บจากยอดชาที่ประกอบด้วย 1 ยอด กับ 2 ใบ การเก็บชาจะเริ่มเก็บยอดชาที่ระดับ 60 เซนติเมตร ในช่วงเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉลี่ยจะเก็บยอดชา 10 วันต่อครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวยอดชาจะอยู่ประมาณ 05.00-14.00 น. การเก็บยอดชาจะต้องไม่อัดแน่นในตะกร้า หรือกระสอบเพราะจะทำ ให้ยอดชาชํ้าและคุณภาพใบชาเสียได้ เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหายใจของใบชานั่นเอง

ส่วนเมล็ดชาที่ดีที่เหมาะกับการปลูก ควรเก็บจากผลชาที่แก่จัดเต็มที่มีสีนํ้าตาล และยังติดบนต้น ไม่ควรเก็บเมล็ดชาที่ร่วงใต้ต้น หลังจากเก็บผลชาที่แก่เต็มที่จากต้นแล้วนำ มากระเทาะเปลือกออกหรือนำ มาใส่กระด้งหรือกระจาด ผึ่งทิ้งไว้ในที่ร่ม ผลชาจะแห้งและแตกเองภายใน 2-3 วัน จากนั้นรีบนำ เมล็ดชาที่ได้ไปเพาะ เนื่องจากเมล็ดชามีปริมาณนํ้ามันภายในเมล็ดสูง ทำ ให้มีอัตราการสูญเสียความงอกเร็วมากก่อนเพาะเมล็ดชาควรนำ เมล็ดที่ได้แช่นํ้าไว้ 12-24 ชั่วโมง เมล็ดชาที่เสียจะลอยนํ้าให้ตัดทิ้งไว้ใช้แต่เมล็ดที่จมนํ้านำไปเพาะต่อไป

หลังจากที่บ้านไหนได้ลองปลูกชาดูเองแล้ว อยากทำเป็นไร่ชาออร์แกนิค ให้ได้ชาที่ปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว ไม่มีสารเคมีตกค้าง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ทำความรู้จักการปลูกชาเขียวแบบออร์แกนิค

ที่มา https://www.japanesegreenteain.com

https://i.pinimg.com/originals/72/ea/da/72eada1447275ef65d7ab82ff6cd381e.jpg

https://www.morimatea.com/

https://www.freepik.com

http://technology-farmmer.blogspot.com/2015/02/blog-post_20.html

บทความจาก : Fuwafuwa

ผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซได้มั้ย ??

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการตั้งผงมัทฉะไว้เฉยๆบนเคาน์เตอร์ครัว เมื่อผงมัทฉะสัมผัสกับองค์ประกอบต่างๆ เช่น ความร้อนและอากาศ มันก็จะสูญเสียรสชาติความสดใหม่และสารต้านอนุมูลอิสระได้

ความร้อนและความชื้น เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผงมัทฉะเหม็นอับได้ บางคนหลีกเลี่ยงความร้อนด้วยการนำเข้าตู้เย็นหลังใช้เสร็จ ซึ่งหากนำเข้าตู้เย็นเลยโดยไม่ทันระวัง ผงมัทฉะจะสามารถดูดซับกลิ่นที่รุนแรงได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นอาหารที่อยู่ในตู้เย็นจะถูกผงมัทฉะดูดมา แล้วชาเขียวแก้วโปรดของคุณก็จะรสชาติและกลิ่นเสียไป เพราะในชาเขียวจะมีสาร Catechins เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งภัยคุกคามอันดับหนึ่งของผงมัทฉะ คือ ออกซิเจน การออกซิไดซ์ทำให้สาร Catechins แย่ลง ดังนั้นผงมัทฉะจะต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทนั่นเอง ภาชนะที่ปิดสนิทก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในถุงซิปล็อค หรือถุงสุญญากาศก่อนเพื่อลดการเกิดออกซิไดซ์ให้มากที่สุด

นอกจากการหลีกเลี่ยงออกซิเจนแล้ว ควรเก็บผงมัทฉะในที่มืดเนื่องจากผงมัทฉะมาจากชาเขียวที่ปลูกในร่มชนิดพิเศษจึงต้องใช้เวลานานกว่ามากในการเจริญเติบโต ใบชาจึงผลิตคลอโรฟิลล์ในระดับที่สูงขึ้น แต่เนื่องจากแสงจะทำลายคลอโรฟิลล์เมื่อผ่านกระบวนการผลิตผงมัทฉะด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในที่มืดหรือภาชนะที่มืด (ไม่ใส) เพราะถ้าสัมผัสกับแสงมากๆ ผงมัทฉะอาจทำให้ชาที่ชงออกมามีรสชาติที่ไม่กลมกล่อม ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่แนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในภาชนะใสหรือโปร่งแสง หรือถ้าจำเป็นให้วางภาชนะใสไว้ในตู้สีเข้มที่ไม่ได้เปิดบ่อย และเมื่อหลังจากนำออกจากตู้เย็น ให้นำภาชนะเก็บชาตั้งไว้แบบปิดฝาและปล่อยให้อุ่นก่อนนำมาชง ก็จะได้มัทฉะแสนอร่อยตามเดิม

Freeze matcha

ส่วนบางคนนิยมยืดอายุอาหารด้วยการนำเข้าช่องฟรีซ จึงอาจเกิดความคิดที่ว่าหากนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซก็คงยืดอายุการใช้งานได้เช่นกัน

……คำตอบ คือจริง สามารถเข้าช่องฟรีซได้โดยเฉพาะคนที่นานๆเอามาชงสักที สามรถนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซไว้ก่อนได้ ทั้งนี้ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันกลิ่นจากอาหารคาวในตู้เย็น

แต่หากเป็นใบชาเขียวไม่แนะนำให้แช่ฟรีซ แต่สามารถแช่เย็นปกติได้ เพราะการแช่แข็งใบชา จะทำให้ชาไม่มีรสชาติ เพราะ ใบชามีความชื้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในแง่ของรสชาติและสารอาหาร การแช่แข็งชาจะทำให้ความชื้นกลายเป็นผลึกและทำลายโครงสร้างของเซลล์ใบทำให้รสชาติเปลี่ยนไป นอกจากนี้อุณหภูมิที่ต่ำจะลดกลิ่นหอมของชาลงไปอีกด้วย ซึ่งการแช่แข็งใบชา หากเราจัดเก็บไม่ดียิ่งทำให้เกิด freeze burn ขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเมื่อใบชาถูกจัดเก็บโดยไม่มีการปิดผนึกที่ดี จึงเกิดการคายน้ำและออกซิเดชั่นจากอาหาร ใบชาที่แช่แข็งจึงได้รับความเสียหาย

ดังนั้นการเก็บรักษาใบชา หากมีใบชาปริมาณมากเกินไปให้ใส่ไว้ในถุงกระดาษที่สะอาด จากนั้นนำมาห่อให้แน่นวางไว้บนจาน แล้ววางถ่านรอบๆห่อชาให้เต็ม นำมาเก็บไว้ในที่ที่ไม่โดนแสงแดด หรือหากใบชามีปริมาณน้อยให้ใส่ไว้ในกระป๋องเหล็ก แล้วใส่ซองกันชื้นลงไป หรือใช้ภาชนะดินเผาหรือภาชนะโลหะขนาดพอเหมาะมีฝาสองชั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อากาศเข้า หรืออาจจะใช้ภาชนะทึบแสงเพื่อนำไปเก็บในตู้ที่ทึบแสง ซึ่งการเก็บใบชาควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชาสูง

Freeze matcha

ข้อควรรู้เพิ่มเติมคือ ใบชาแต่ละชนิดอาจจะต้องใช้วิธีเก็บในอุณหภูมิที่เก็บรักษาต่างกัน หากเป็น ชาเขียว โดยเฉพาะถ้าเป็นชาใหม่จะต้องเก็บในที่แห้งและอุณหภูมิต่ำ และอาจจะเก็บใส่กระป๋องที่ปิดมิดชิด หรือไว้ในตู้เย็น ไม่ควรเก็บ ชาเขียวไว้ชงดื่มนานเกิน 12-18 เดือน ส่วน ชาอูหลงหรือชาดำสามารถเก็บใบชาไว้ได้ในอุณหภูมิปกติแต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดด และหลีกเลี่ยงการนำใบชาออกตากแดดเพราะแสงแดดจะทำลายคุณภาพของใบชา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความชื้นและรักษาอุณหภูมิของใบชาให้คงที่ ที่สำคัญควรเก็บใบชาไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดีนั่นเอง

ใบชาโดยปกติแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ซื้อ (ทางที่ดีควรดูจากวันหมดอายุด้วย) หากเกินนั้นรสของชาจะค่อย ๆ จางไปจนไม่เหลือกลิ่น อย่างไรก็ตามหากเก็บไม่ถูกวิธี กลิ่นของชาก็อาจจางลงได้ในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ซึ่งสิ่งสำคัญในการเก็บรักษาใบชาคือจะต้องหาทางทำให้กลิ่นของชาคงอยู่ได้นานที่สุดภายใต้สภาพที่แห้งและไม่โดนแสงนั่นเอง

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บผงมัทฉะและใบชาเขียว จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่เหมือนกันคือต้องการเก็บไว้ในที่เย็นและมืดห่างจากออกซิเจน เพราะถ้าผงมัทฉะเสื่อมคุณภาพ ก่อนเวลาที่หมดอายุ ก็เป็นปัจจัยให้ตีชาเขียวแล้วไม่เกิดฟองได้ ดูเพิ่มเติมที่ shorturl.at/zS148

ที่มา

https://gracematcha.com/blogs/blog

http://zengreentea.com.au/

บทความจาก : Fuwafuwa

เพิ่มสีสันให้เมนูชา รับเทศกาลคริสมาสต์

ใกล้ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลากหลายร้านเริ่มออกเมนูใหม่ต้อนรับเทศกาลความสุข ทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี่ แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะสร้างสรรค์เมนูยังไง MATCHAZUKI ได้รวบรวมไอเดียและสูตรเครื่องดื่มและขนมชาเขียว ให้คอชาเขียวได้ลองปรับเปลี่ยนเมนูที่ร้านให้สนุกขึ้น

คริสมาสต์

เริ่มจาก มัทฉะลาเต้ร้อน เมนูแนะนำของหลายๆร้านที่เพิ่มสีสันรับเทศกาล คริสมาสต์ง่ายๆเพียงใส่มาชแมลโลว์ snowman น่ารักๆลงไปทานคู่กัน วิธีทำไม่ยากมากเพราะเริ่มจากทำมาร์ชแมลโลว์ทรงสี่เหลี่ยมตามสูตรมาชแมลโลว์ที่ร้านชื่นชอบ ให้มีขนาดใหญ่พอที่จะตัดเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมด้านใดด้านหนึ่งหักออกแล้วจุ่มไม้จิ้มฟันลงในไวท์ช็อคโกแลตสีส้มที่ละลายแล้วและวาดจมูกลงบนมาร์ชแมลโลว์ ส่วนตาใส่ดาร์กช็อกโกแลตชิพ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันมะพร้าว 1/4 ช้อนชาลงในจานเล็ก ๆ และไมโครเวฟทีละ 20 วินาทีกวนทีละน้อยจนดาร์กช็อกโกแลตละลายอย่างสมบูรณ์และเนียน ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมจุ่มลงในดาร์กช็อกโกแลตที่ละลายแล้วตบที่ตาและปากของ snowman แล้วปล่อยให้ช็อคโกแลตหน้ามนุษย์หิมะตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนเสิร์ฟคู่มัทฉะลาเต้ร้อนแก้วโปรด

Matcha Cookie Christmas Tree

ต่อด้วย Matcha Cookie Christmas Tree เริ่มจากตีเนยจืด 1 ถ้วย ผงมัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาล  1 ½  ถ้วยจนฟู ใส่ไข่แดง 1 ฟอง และวานิลลา 1 ช้อนชาลงไปแล้วผสมจนเข้ากัน แล้วร่อนแป้ง เบกกิ้งโซดาและเกลือเข้าด้วยกันพักไว้อีกชาม ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในชามแล้วผสมให้เข้ากัน ปิดฝาแป้งและแช่เย็น 30 นาที เปิดเตาอบที่ 180 องศา วางกระดาษรองอบลงในถาดอบ

หั่นแป้งเป็นครึ่ง ๆ หรือสี่ส่วนแล้วรีดให้มีความหนาประมาณ 1/6 – 1/4 นิ้ว ใช้พิมพ์ต้นคริสมาสต์ตัดลงไปแล้ววางบนกระดาษรองอบที่เตรียมไว้ อบแต่ละชุดเป็นเวลา 7-9 นาที ตกแต่งลวดลายด้วยไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายด้วยไมโครเวฟ 20 วินาที หรือผสมสีแดงเล็กน้อยเพื่อให้ได้ลวดลายที่แตกต่างไป

ความเข้มอ่อนขอสีต้นคริสมาต์ขึ้นอยู่กับปริมาณผงมัทฉะที่ใส่ลงไป เพิ่มความน่ารักด้วยการผูกโบว์ หรือแพ็คใส่ถุงแก้วใสๆเพื่อโชว์ลวดลายคุ้กกี้ก็ได้

เทคนิคเพิ่มความน่ารักให้คุ้กก้คริสมาสต์คือ ตอนกดแป้งเป็นรูปต้นคริสต์มาสต์ สามารถกดเป็นรูปดาว หลายๆขนาดได้ เพื่อหลังจากอบเสร็จ มาวางเรียงสลับชั้นกัน โดยแต่ละชั้นเชื่อมด้วยไวท์ช็อคโกแลตเล็กน้อย ปักดาวด้านบนด้วยเมล็ดอัลมอนด์ แล้วโรยไอซิ่งเล็กน้อย ก็ได้เมนูคุ้กกี้ชาเขียวรับเทศกาลคริสมาต์นี้แล้ว

Matcha Mont Blanc

อีกเมนูที่แค่เห็นก็นึกถึงต้นคริสมาต์เลย คือ Matcha Mont Blanc สามารถใช้สูตรมองบลังค์ปกติที่ทำได้เลยเพียงแต่เปลี่ยนส่วนผสมครีมเกาลัดที่บีบด้านบนเป็นครีมชาเขียว แล้วประดับตกแต่งด้วยคุ้กกี้ไอซิ่งสีสันสดใส ก็กลายเป็นมองบลังค์ชาเขียวที่ใครได้ทานต้องประทับใจ

Matcha Mont Blanc

นอกจากเมนูชาด้านบนที่เป็นตัวอย่างให้ร้านชาของคุณได้เห็นไอเดียเบื้องต้นสำหรับดัดแปลงเมนูแล้ว ยังมีเมนูชาเขียวอีกหลายหลายเมนูที่สามารถทำขายช่วงคริสมาสต์ได้ เช่น Matcha Hot Chocolate หรือ Matcha Macaron หรือจะเป็น Matcha Cake ที่เน้นการเติมสีแดงด้วยสตรอเบอร์รี่

Matcha Macaron Matcha Macaron

แต่ถ้าใครไม่ถนัดทำขนมที่ต้องใช้เทคนิคเยอะๆ ลองเอาเมนูขนมชาเขียวแบบไม่อบ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/dpDS7 ) มาปรับให้เป็นสไตล์คริสมาต์ดูก็เป็นอีกไอเดียที่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามีเมนูใหม่ๆออกมาพร้อมกับจัดแคมเปญส่งท้ายปีด้วยโปรโมชั่นหรือกิจกรรมที่น่าสนใจ ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากมาที่ร้านได้มากขึ้น ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/ceqKP ) เพราะไม่จำเป็นว่าช่วงเทศกาลแบบนี้ทุกร้านจะต้องมีเมนูใหม่ๆออกมา มันอาจจะเป็นการยากไปสำหรับบางร้านที่ต้องคิดเมนูใหม่ๆตลอด เพราะตามควมเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้น แค่ซื้อชาเขียวมอบให้กันในเทศกาลต่างๆก็ถือว่าเป็นการอวยพรให้มีสุขภาพที่ดีแล้ว ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/bcCHK )

ที่มา

https://encha.com/pages/matcha-recipes

https://www.stephaniesuen.com/2018/12/08/mini-matcha-christmas-tree-sugar-cookies/

https://steemit.com/food/@alwayssmile/elegant-noble-french-dessert-mont-blanc

https://hostthetoast.com/matcha-cookie-christmas-tree-stacks/

บทความจาก : Fuwafuwa

ชงมัทฉะลาเต้ ด้วยครีมเทียมให้ไม่เสียรสชาติ

การดื่มชาเขียวเพียวๆไม่ผสมนม น้ำตาล เป็นการดื่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด แต่สำหรับบางคนการดื่มแบบเพียวๆ อาจจะรสชาติไม่ถูกปากนัก จึงใส่นมลงไปเพื่อเพิ่มความกลมกล่อมมากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าการดื่มชาเขียวใส่นม จะไม่ได้ประโยชน์เลย เพียงแค่ได้ประโยชน์ที่น้อยลง( อ่านเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/lpsFG )  แต่บางร้านก็ประหยัดต้นทุนไปอีกด้วยการเปลี่ยนมาใช้ครีมเทียมในการชงชาไปเลยเพื่อให้ถูกปากคนไทยมากขึ้น เพราะครีมเทียมสะดวกในการใช้ และเป็นของแห้งทำให้เก็บรักษาไว้ได้นาน

ครีมเทียมโดยทั่วไปจะมีบัตเตอร์ไขมัน 18-30% ในขณะที่นมธรรมดามี  1-2% ครีมเทียมเป็นผลิตภัณฑ์เลียนแบบครีมจากน้ำนมโคที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ในบางคนที่ไม่มีเอนไซม์ย่อยน้ำตาลแล็กโทส เมื่อดื่มน้ำนมจึงมีอาการท้องอืดเฟ้อ การใช้ครีมเทียมแทนนมในการชงชาเลยเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ครีมเทียมทำเลียนแบบครีมแท้โดยมาก เกิดจากไขมันจากน้ำมันปาล์ม โปรตีนนมที่แยกออกจากน้ำนมโค น้ำตาลทรายและน้ำ กลับมาผสมรวมกัน แล้วจึงนำไปทำให้แห้งเป็นผงละเอียดส่วนประกอบของครีมเทียม ไขมันจากปาล์มเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุด โดยทำให้ครีมเทียมมีสีขาวเมื่อกระจายตัวในน้ำ ให้ความข้น ความมัน ไม่มีคอเลสเตอรอลแต่มีกรดไขมันชนิดอิ่มตัวสูง

ในการเลือกครีมเทียมที่จะมาเติมเต็มชาแก้วโปรดของคุณ แนะนำให้พิจารณาจาก

  1. เข้ากับชาได้ดีใช่มั้ย 2. รสชาติ อร่อยกลมกล่อมไม่เหม็น

ครีมเทียม

เพราะ ครีมเทียมสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดผงและชนิดเหลว ส่วนประกอบหลักของครีมเทียมชนิดผงจะได้มาจากการแยกส่วนประกอบมาจากน้ำนมดิบโดยตรง จึงทำให้ได้รสชาติของนมที่เข้มข้น กลมกล่อม และหอมหวานอย่างลงตัวเมื่อนำไปผสมกับชา

สำหรับครีมเทียมชนิดเหลวจะไม่ใช่ครีมเทียมในรูปแบบที่มาจากนมแท้ๆ แต่เป็นการผสมสารปรุงแต่งอาหารอย่าง “อิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifier)” ลงในน้ำมันพืช ทำให้ได้ความหนืดและคุณลักษณะใกล้เคียงกับครีมจริง ๆ แทน และแน่นอนว่า ครีมเทียมชนิดเหลวที่ทำจากน้ำมันพืชเพียงอย่างเดียวนี้ ย่อมสัมผัสไม่ได้ถึงรสชาติที่เข้มข้นเท่ากับการใช้ครีมเทียมแบบที่ทำจากน้ำนมดิบจริงๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในกรชงชานัก เพราะจะทำให้เสียรสชาติความเข้มข้นของชาเขียว

แม้ว่าครีมเทียมชนิดเหลวบางยี่ห้อก็มีการผสมน้ำนมดิบเข้าไปด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะผสมลงในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก แต่ถ้าต้องการผลิตภัณฑ์ตัวอื่นที่ทำจากน้ำนมแท้ๆ มาใช้แทนครีมเทียม ก็สามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อย่างครีมสด นมข้นหวาน หรือนมถั่วเหลืองมาแทนได้ หากใครอยากใช้นมข้นหวานแทนครีมเทียม เพื่อให้ได้รสชาตติชาที่กลมกล่อม แต่เป็นการใช้วัตถุดิบนมแท้ๆ แนะนำเป็นทำนมข้นหวานโฮมเมดแทนการซื้อแบบกระป๋องสำเร็จรูปมา ก็จะช่วยให้ลูกค้าได้บริโภคเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพดียิ่งขึ้น สามารถทำง่ายๆโดยการ ใช้นมสด 2 ถ้วยตวง ต้มกับน้ำตาลทราย 2/3 ถ้วยตวง ไฟอ่อนปานกลาง จนน้ำตาลละลายแล้วหยุดคนน้ำนมทันที หลังจากนั้นเบาไฟลงใช้ไฟอ่อน ๆ เปิดฝาหม้อไว้ เพื่อให้น้ำระเหยออก ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที จึงคนน้ำนมอีก 1 ครั้ง คนให้ทั่ว แล้วตั้งไฟทิ้งไว้นิ่ง ๆ อีก 20 นาที และยังคงเปิดฝาหม้อไว้

หลังจาก 20 นาที เพิ่มไฟขึ้นเป็นความร้อนปานกลาง คนให้ทั่วอีกรอบ ขั้นตอนนี้จะเห็นได้ว่าน้ำนมเริ่มมีสีที่เข้มขึ้นและมีความข้นมากขึ้น เติมเบกกิ้งโซดาลงไปในน้ำนมแล้วก็คนอย่างรวดเร็ว คนต่อไป และเบาไฟลง คนต่ออีกประมาณ 5 นาที แล้วก็ปิดไฟเตา คนต่อจนกระทั่งฟองยุบตัวหมด เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สามารถเก็บใส่ขวดโหลอยู่ได้ 2 สัปดาห์

creamer creamer

สิ่งที่ควรระวังในการชงเมนูชาเขียวลาเต้ไม่ให้มีรสฝาด ที่บางคนคาดเดาว่ามาจากกระบวนการการผลิตครีมเทียมที่ไม่ดีนัก หรือเป็นเพราะใช้ไขมันไม่ได้คุณภาพมาทำเลยทำให้มีรสชาติไม่กลมกล่อม แต่จริงๆแล้วรสฝาดดังกล่าวเกิดได้ตั้งแต่ขั้นตอนการสกัดชา ควรใช้น้ำร้อนเดือดจัดกรองชาสลับไป-มา 4 ครั้ง  เมื่อกรองชาเสร็จแล้ว ไม่ควรแช่ผงชาไว้ในน้ำ ให้รีบบีบน้ำชาออกจากน้ำ แต่ก็ควรบีบพอประมาณ ไม่ควรเค้น เมื่อกรองกากชาออกแล้ว ควรรีบใส่ครีมเทียม ในขณะน้ำยังร้อน เพื่อให้ครีมเทียมละลายเข้ากันดีนั่นเอง

ที่มา

https://www.znaturalfoods.com/whole-milk-powder

https://www.wifemamafoodie.com/homemade-oat-milk/

shorturl.at/opyY9

Bromabakery.com

บทความจาก : Fuwafuwa