สีเขียวๆเหมือนกัน แต่ทำไมเป็นชาเขียวคนละแบบกัน

ทุกคนน่าจะเคยเห็นชาเขียว ที่สีไม่เขียว อย่างที่รู้จักกันในชื่อของ ชาโฮจิฉะ กันแล้ว แต่ก็อาจจะเคยเห็นชา ที่สีเขียวเหมือนกัน ต่างระดับเข้มอ่อน ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการแสดงรสชาติที่มีหลากรสชาติหลายระดับ สิ่งที่ทำให้ชาเขียวแตกต่างจากชาประเภทอื่นๆ อย่างชาแดง และชาอู่หลง คือการ “นึ่ง” ใบชา ที่สามารถช่วยไล่กลิ่นเหม็นเขียวไปพร้อมๆ กับหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้รักษาสีเขียวเอาไว้ได้นั่นเอง

สิ่งที่เรียกว่าชาเขียวเองก็ยังแบ่งได้ออกเป็นอีก 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

1.เกียวคุโระ (Gyokuro)ยอดใบชาเขียวชั้นดี ใบชาม้วนเป็นเกลียว สีเขียวเข้ม ปลูกโดยคลุมผ้ากันแสงให้อยู่ในสภาวะเหมาะสมจนเกิดเป็นสีเขียว ผ่านการนึ่ง นวด และทำให้แห้ง ได้ออกมาเป็นชารสไม่ฝาด หวานเล็กน้อย ซึ่งที่มาของรสชาติหวานกลมกล่อมนี้ มาจากการที่ให้ใบชาอยู่ในร่มก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งการป้องกันแสงแดดนี้จะทำให้สารเธียอะนินที่มีประโยชน์ (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย) ในใบชาเพิ่มขึ้น แต่ทำให้สาร catechin ที่มาของรสขมในใบชาลดลง ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติหวานกลมกล่อมนั่นเองกลิ่นหอม สีชาเกียวคุโระสีเขียวสด จัดเป็นชาเขียวชั้นสูง ผลิตได้ไม่มาก เก็บเกี่ยวได้ทีละน้อย ราคาจึงค่อนข้างแพง ส่วนมากใช้ในงานพิธีการ

2.มัทฉะ (Matcha) ชื่อที่หลายคนคุ้นเคยมากที่สุด ชาตัวนี้ผลิตจากมาจาก เท็นฉะ (Tencha) ซึ่งได้มาจากใบชาที่ปลูกในที่ร่มเหมือนชาเกียวคุโระก่อนจะนำไปบดเป็นผงด้วยหินอย่างพิถีพิถัน มักจะใช้ในพิธีชงชา เพราะมัทฉะรสชาติกลมกล่อมมัทฉะแบ่งเป็นหลายเกรด เช่น สำหรับทำขนม เครื่องดื่ม ชงในงานพิธีการ เป็นต้น สามารถสังเกตได้จากสีของมัทฉะ ยิ่งมัทฉะสีเข้มเท่าไหร่ คุณภาพก็ยิ่งดี ซึ่งในมัทฉะสารอาหารค่อนข้างมากที่สุด

3.เซ็นฉะ (Sencha) ชาเขียวส่วนใหญ่ หรือคิดเป็นกว่า 60% ของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นไม่ต้องเลี้ยงในร่ม เก็บเกี่ยวในช่วงแรก หรือช่วงที่สองของปี เมื่อเก็บใบมาแล้วต้องผ่านกระบวนการนึ่ง นวด และอบแห้งเหมือนกับเกียวคุโระ รสชาติค่อนข้างฝาด เนื่องจากการอบเลยทำให้ชาประเภทนี้ค่อนข้างมีกลิ่นหอม

4. บันฉะ (Bancha) คุณภาพรองลงมาจากชาเซนฉะ เพราะเก็บเกี่ยวในช่วงที่สามหรือสี่ของปี ใช้ดื่มทั่วไป เป็นใบชาที่เหลือจากยอดต้น ได้มาจากใบชาที่เก็บนอกฤดูกาล เช่น ก่อนต้นชาแตกยอด

ใหม่ หรือมีขนาดไม่ได้ตามมาตรฐาน รวบรวมมาผ่านกระบวนการต่างๆ จนได้เป็นชาราคาย่อมเยา มีรสชาติอ่อน สีออกไปทางเหลืองอมเขียวแทนที่จะเป็นสีเขียวสด รสฝาดกว่าชาชนิดอื่น อีกทั้งกลิ่นเฉพาะตัวของชาไม่หอมเท่าประเภทอื่น

ชาเขียว

ความอร่อยในการดื่มชาแต่ละประเภทอยู่ที่รสนิยม วิธีการปรุง รวมถึงอาหารที่รับประทานทานคู่กับชา แต่ชาเขียวทุกประเภทมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจำนวนมากน้อย ขึ้นอยู่กับประเภทของชานั้นๆ นั่นเอง

Matcha Matcha

ที่มา

6 Different Types of Tea: The Ultimate Guide

http://www.flickr.com/photos/nikosan-artwork/5445104938/in/set-72157625618496145/

Homemade Tea Blends | For Christmas

https://kinarino.jp/cat8/25451

บทความจาก : Fuwafuwa

โรยผงมัทฉะบนขนมยังไงให้ดูน่าทาน?

ตามปกติแล้วชาเขียวที่ใช้ทำเบเกอรี่นั้น ใช้ได้ทั้งชาเขียวแบบใบและแบบผง ถ้าใช้แบบใบต้องนำไปชงในน้ำร้อนแล้วกรองใบชาออกก่อนใช้ เราจึงนิยมใช้แบบผงมากกว่าเพราะใช้งานได้กว้างกว่า สามารถใช้ได้ทั้งแบบแห้งหรือนำไปชงแล้วใช้แบบน้ำได้ด้วย ซึ่งหลายคนที่เลือกใช้แบบผงมาทำขนมแล้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับการแต่งหน้าขนมที่ไม่เป็นตามที่คิดไว้

การโรยผงมัทฉะลงไปที่ขนมแล้วซึมลงไปในเนื้อเค้กนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะผงชามันจะดูดความชื้นเข้ามาจนเปียกเมื่อทิ้งไว้นานๆ นั้นเอง สีจึงอาจจะไม่เรียบเนียน

matcha cake matcha cake

ทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับการแต่งหน้าขนม คือ ให้โรยตอนที่จะเสิร์ฟ หรือใกล้ๆช่วงเวลาที่จะทานเพื่อให้สีเขียวเรียบเสมอกัน และแนะนำให้ก่อนโรยผงมัทฉะ พักหน้าเค้กไว้ในตู้เย็นไม่ต้องเอาอะไรคลุม ให้หน้าเค้กแห้งขึ้น สัก 2 ชม. จะทำให้ผงมัทฉะติดง่ายขึ้นไม่ละลายซึมลงไป หรือในกรณีที่ต้องการตกแต่งหน้าขนมเป็นลวดลาย หลังจากนำเค้กออกจากตู้เย็น วางกระดาษทาบไปบนหน้าเค้ก ไม่ต้องกด แล้วโรยผงมัทฉะด้วยกระชอนตาถี่ๆให้ทั่วตามรอยที่บุไว้ (ขั้นตอนนี้ต้องทำให้รวดเร็ว)

อย่างไรก็ตามบางคนก็นำผงมัทฉะผสมน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อย จะช่วยได้พอประมาณ เพราะในน้ำตาลไอซิ่งมีแป้งข้าวโพดจะช่วยกันความชื้นระดับหนึ่ง หรือใช้ผงมัทฉะเฉพาะสำหรับโรยหน้าขนม แต่ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าผงมัทฉะปกติ มีขายตามร้านทำขนมที่ญี่ปุ่

ส่วนใครที่ไม่มีน้ำตาลไอซิ่ง สามารถน้ำตาลไปป่นจนละเลียดและผสมแป้งข้าวโพดเข้าไปประมาณ 3% ก็จะมีลักษณะที่เป็นเหมือนน้ำตาลไอซิ่ง ใช้แทนกันได้

อีกข้อควรระวังในการโรยผงมัทฉะลงบนขนม คือ เรื่องสี รสชาติ และกลิ่น กล่าวคือ สีของผงมัทฉะ ยิ่งเขียวสดเข้ม จะยิ่งมีความขมน้อยมากๆเป็นมัทฉะที่ได้รับการดูแลอย่างดี สายพันธุ์ดี แต่ถ้าสีเขียวอ่อน คือผลิตจากใบชาที่เกรดรองลงมา ผลิตจากใบชาเขียวใบโตที่ได้รับแสงแดดมานาน ใครที่เป็นขั้นเทพเรื่องชาเขียวพอเห็นหน้าตาขนมเลยจะรู้ได้เลยว่าใช้ชาเขียวเกรดไหนในการทำขนม แต่วิธีเพิ่ม value ให้ขนมได้อีกทาง คือ การเขียนText สั้นๆ ว่าที่ร้านใช้ผงมัทฉะเกรดพรี่เมี่ยมจากที่ไหน ก็จะทำใ้ขนมมีมูลค่ามากขึ้น เพราะ บางคนไม่รู้ว่าสีเขียวเข้มๆที่เห็นเป็ฯผงชาเขียวแท้ๆ หรือเป็ฯการผสมสีผสมอาหารนั่นเอง

นอกจากนั้นรสของชาปกติจะมีความหวานในตัวนิดๆ ขมหน่อยๆ ฝาดพอรู้สึกได้ แต่ถ้าชาเกรดรองๆลงมา จะยิ่งขมและฝาดมากขึ้น เพราะฉะนั้น การเลือกผงชาเขียวที่ใช้โรยหน้าขนมก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

matcha

ที่มา

https://bit.ly/2S6UsG2

Tastykitchen.com

http://cookingwithjapanesegreentea.blogspot.com/

https://www.justonecookbook.com/

http://www.landsandflavors.com/vegan-matcha-mousse-cake/

บทความจาก : Fuwafuwa

น้ำแข็งแบบไหนเหมาะกับการทำเครื่องดื่มมากที่สุด

เคยเป็นมั้ยที่ชงเครื่องดื่มออกมาดื่มเพียวๆอร่อยมาก แต่พอเทน้ำแข็งลงไป รสชาติกลับไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้จะใช้วิธีในการคำนวณแบบง่ายๆที่หลายร้านใช้กันอย่างน้ำแข็งเต็มแก้ว 16 oz จะต้องใส่เครื่องดื่มที่ผสมส่วนผสมตามสูตรแล้วปริมาณ 6 oz หรือ 180 ml ถึงจะได้เครื่องดื่ม และ น้ำแข็ง ที่เต็มแก้วขนาด 16oz พอดิบพอดี แต่ก็กลับเจอปัญหาอีกที่ บางครั้งแค่เปลี่ยนแบบน้ำแข็งที่ใช้ในการชงเครื่องดื่มรสชาติก็เปลี่ยน เพราะหลายคนคิดไม่ถึงว่าน้ำแข็งแต่ละรูปทรงก็ส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำแข็ง วัตถุดิบธรรมดาที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จะทำให้ร้านคุณมีเอกลักษณ์ และทำให้ลูกค้าประทับใจได้มากขึ้นได้

ice

น้ำแข็งหลอดที่มีรูข้างในทำให้มีผิวสัมผัสเยอะ ก้อนใสไม่มีตะกอน หลายร้านมักซื้อเครื่องทำน้ำแข็งแบบนี้ไว้ที่ร้าน เพราะข้อดี คือ เย็นนานกว่า 3-4 ชม ขึ้นไป หลายๆร้านให้ความนิยมในการใช้ แต่ให้ความเย็นช้ากว่าเล็กน้อยice cube

น้ำแข็งสี่เหลี่ยมน้ำแข็งยอดนิยม มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคุณสมบัติการละลายช้ากว่าน้ำแข็งประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความหนาแน่นสูง สามารถรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้นาน แม้จะอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ก็อยู่ได้หลายชั่วโมง และเป็นน้ำแข็งที่มีความสวยงาม ทำให้เครื่องดื่มดู สวยงามน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะสำหรับเครื่องดื่มที่ไม่ต้องการให้น้ำแข็งทำลายรสชาติของเครื่องดื่ม เช่น ค็อกเทล, กาแฟเย็น, น้ำหวานชงดื่มชนิดต่างๆ

น้ำแข็งเกล็ดกรอบเป็นรูปทรงที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น มีขนาดเล็ก ไม่แข็งมาก ถือว่าเป็นน้ำแข็งที่เคี้ยวง่ายที่สุด กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องการให้เครื่องดื่มมีอุณหภูมิที่เย็นเร็ว ไม่ได้ซื้อกลับ จะนิยมใช้แบบนี้มากกว่า เพราะน้ำแข็งประเภทนี้จะละลายเร็วมากเช่นกัน ยิ่งถ้าอากาศร้อนๆ ไม่ถึง 30 นาทีละลายเกือบหมดแก้ว จึงไม่ค่อยนิยมใช้ แต่จะเหมาะสำหรับเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ชา, กาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มปั่น เช่น สมูทตี้, ค็อกเทลปั่น หรือน้ำแข็งใส เพราะจะได้เนื่อน้ำแข็งที่เนียนนุ่มทำให้เครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมดี

น้ำแข็งถ้วย ทรงสวยดูแปลกตา วิบวับเหมือนคริสตัล มีรูปทรงและขนาดที่แน่นอน เพราะผลิตจากบล็อคน้ำแข็งที่ได้มาตรฐาน ไม่มีรูตรงกลางเหมือนน้ำแข็งทั่วไป จึงเป็นคุณสมบัติพิเศษทำให้น้ำแข็งละลายช้า ไม่ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยน บวกกับความที่ก้อนน้ำแข็งมีขนาดใหญ่และหนา มีความแวววาว สวยงาม นิยมใส่น้ำแข็งถ้วยในเครื่องดื่มที่ดูดีมีระดับ เลิศหรู ราคาแพง เหมาะสำหรับเครื่องดื่มระดับ High-end เช่น Whisky on the rocks, บรั่นดี หรือ ค็อกเทล Old Fashioned

ice matcha ice matcha

เทคนิคที่บางร้านนิยมใช้กันสำหรับการทำเมนูเครื่องดื่มเย็น อย่างพวกชา กาแฟ คือการพยายามทำให้ชา กาแฟ เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเอาไปเทใส่น้ำแข็ง บางร้านก็ใช้วิธีการเอาเอสเฟรสโซ่ช็อตไปแช่ในถังน้ำแข็ง พวกนมที่ต้องใส่ในเครื่องดื่มแก้วนั้นก็แช่เย็นไว้ตลอด จะช่วยให้เวลาเทใส่น้ำแข็ง น้ำแข็งจะละลายช้าลง

อีกประเด็นควรรู้สำหรับผู้ประกอบการขายเครื่องดื่ม คือ การใส่น้ำแข็งก่อนหรือหลังเทเครื่องดื่มลงไป มีผลต่างกันยังไงนั่นเอง

ถ้าใส่น้ำแข็งก่อน ราดน้ำเครื่องดื่มที่ผสมแล้วตามลงไป ในกรณีที่น้ำเครื่องดื่มร้อน มันจะละลายเอาน้ำแข็งลงไปด้วย ทำให้รสชาติแก้วนั้นจืดลง เว้นแต่มีการน็อกเครื่องดื่มนั้นก่อนเทตามที่กล่าวมาข้างต้น (ซึ่งปกติไม่ทำกันเพราะมันช้า ลูกค้าหลายคนไม่สามารถรอได้ )

แต่ถ้าใส่เครื่องดื่มก่อน แล้วค่อยตักน้ำแข็งใส่ลงไป วิธีนี้อาจทำให้เครื่องดื่มบริเวณด้านล่างยังอุ่นอยู่ ซึ่งมักดูดเจอเพราะ หลอดกาแฟจุ่มอยู่ด้านล่าง ทำให้รู้สึกว่าไม่เย็นชื่นใจ น้ำแข็งจะลอยอยู่เหนือเครื่องดื่ม

บางร้านจึงใช้วิธีใส่น้ำแข็งลงไปส่วนนึงก่อน เติมเครื่องดื่มลงไป เอาช้อนคนกาแฟยาว คนเร็วๆสักสิบวินาที แล้วค่อยเติมน้ำแข็งให้เต็มแก้ว ปิดฝาเสิร์ฟ ผลที่ได้ คือ ดูดแรกที่ลูกค้าได้จะมีความเย็นทันที

ลองเอาไปปรับกับสูตรที่ร้านของแต่ละร้านดูนะคะ เพื่อความอร่อยเข้มข้น กับสูตรของที่ร้าน

ที่มา

https://bit.ly/2VbXVVD

https://bit.ly/2K7Yh9x

www.ohhowcivilized.com

http://www.buzzfeed.com/lucyh3/35-things-you-appreciate-about-america-after-livin-147h?sub=2337227_1274821

บทความจาก : Fuwafuwa

เคล็ดลับการเลือกดื่มชา เวลาไหนเกิดประโยชน์ที่สุด?

สำหรับผู้ที่ชอบดื่มชาอาจจะอยากทราบว่า หากต้องการดื่มชาให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรดื่มเวลาไหนดีนะ? เพราะเครื่องดื่มอย่างชา..หากดื่มถูกจังหวะเวลาก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายได้ด้วย แต่ถ้าดื่มมากไปก็อาจจะเกิดผลเสียได้เช่นกัน แล้วช่วงเวลาไหนคือ เวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่ม และเหมาะกับแต่ละคน

ชงมัทฉะ

แนะนำให้ดื่มชาทันที หลังชงเสร็จร้อนๆทันทีไม่ควรปล่อยไว้นานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น สีของน้ำชาจะคล้ำลง และมีรสชาติฝาด เพราะการดื่มแบบชงร้อนจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารในชามากกว่า เนื่องจากชามีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากคุณดื่มตอนที่มีรสฝาดจะส่งผลกระทบมายังกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งมันจะทำให้การดูดซึมสารอาหารไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการดูดซึมธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม

ในชายังมีสารสำคัญอย่างคาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ และสารธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำงานสัมพันธ์กันกับเส้นประสาท หากดื่มไปแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่งและสมองปลอดโปร่งมากขึ้น หากไม่ดื่มหลังชงร้อนๆเสร็จ ปล่อยน้ำชาไว้ให้เย็น จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง

อย่างไรก็ตามปกติเรามักจะได้ยินคนแนะนำว่าให้รับสิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์เข้าไปในตอนเช้า แต่ว่าอย่าดื่มชาเขียวตั้งแต่เช้าขณะท้องว่างเพราะว่าชาเขียวมีคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมา กลายเป็นอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผิวพรรณห่อเหี่ยวไม่สดชื่น สมองก็จะมึนงงได้ แถมชาเขียวยังกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมากไปจนเกิดแผลตามมาได้ ควรกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตามด้วยชาเขียวร้อนๆสัก 1 แก้วจะดีกว่า

ส่วนใครที่ชอบออกกำลังกายมีงานวิจัยทดลองว่าการดื่มชาเขียวก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้เราสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและออกกำลังกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ดังนั้นจึงเหมาะมากๆกับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักสลายไขมัน แต่ทั้งนี้ จะต้องเป็นชาเขียวเพียวๆที่ไม่ใส่น้ำตาลและนม

ชาเขียว

สำหรับคนที่ชอบจิบชาแทนน้ำเปล่า หรือคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบควรหันมาจิบน้ำชาอ่อนๆ ดีกว่า ไม่ควรจิบชาแก่ๆ เพราะจะยิ่งทำให้การหลั่งของกรดออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในกระเพาะอาหาร

ส่วนคนทั่วไปแนะนำให้ดื่มชาเข้มๆ หลังจากกินอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมา จะทำให้การย่อยอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ได้ดีขึ้น การจิบชาที่มีควาามเข้มข้นต่างกัน จะกระตุ้นการหลั่งกรดมากน้อยต่างกัน ซึ่งจะได้ไม่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหนักมากขึ้นไปกว่าเดิม และจะช่วยทำให้การดูดซึมสารอาหารเป็นไปได้ดี

ส่วนใครที่ต้องการดีท็อกซ์ร่างกาย วิธีที่ช่วยได้ก็คือ จิบชาเขียวที่ชงอ่อนๆ ตลอดทั้งวัน จิบทีละน้อยๆ หากดื่มไปรวดเดียวจนหมดแก้วจะช่วยเรื่องการล้างพิษไม่ได้ และกลายเป็นจะถูกขับออกไปอย่างรวดเร็วในรูปแบบปัสสาวะแทน

แม้จะไม่มีการระบุว่าการดื่มช่วงไหนคือเวลาที่ดีที่สุด แต่การดื่มให้เหมาะกับพฤติกรรมและช่วงเวลาที่แต่ละคนสะดวก ก็จะทำให้การจิบชาแต่ละครั้งก็จะทำให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วยมากขึ้น ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจ ^^

ที่มา

https://www.topteny.com/top-10-most-expensive-tea-in-the-world/

https://www.poetrysoup.com/poem/green_tea_cleans_your_thoughts_1124642

http://goop.com/the-best-green-lattes-thank-you-very-matcha/

บทความจาก : Fuwafuwa

สูตรเค้กชาเขียวญี่ปุ่น เหมาะกับคนแพ้ง่าย!

ถ้าพูดถึงวัตถุดิบหลักในการทำขนม หลายคนต้องนึกถึง นม ไข่ เนยที่เป็นวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอม และอร่อยล้ำ แต่ในทางตรงกันข้าม วัตถุดิบเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายทำงานหนักเพื่อย่อยสลาย บางคนอาจจะทานได้ในปริมาณที่จำกัด นอกจากนี้ในปัจจุบันมีเด็กที่แพ้อาหารดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก อาหารแมคโครไบโอติกส์ จึงเป็นอีกทางเลือกของคนกลุ่มนี้

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าจะเป็นขนมสุขภาพดีต้องใช้แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 100% ในการทำขนม  ซึ่งแป้งโฮลวีตนี้เป็นแป้งไม่ขัดขาว ที่มีส่วนผสมของรำข้าวอยู่ด้วย แต่เนื้อเค้กแบบนี้มักจะแข็งกระด้าง ไม่อร่อย ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้แป้งเค้กมาผสมครึ่งนึ่งของสูตรแป้ง เพื่อให้เนื้อเค้กนุ่มฟู ได้สัมผัสของความเป็นเค้ก

รอบนี้เอาใจคนไม่มีเตาอบด้วยสูตรเมนูเค้กปอนด์นุ่มฟูสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำไปนึ่งแทน เค้กปอนด์จะค่อยๆสุกด้วยไอร้อน เนื้อสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ ละมุนลิ้น รสขมนิดๆของชาเขียวที่เข้ากันกับรสหวานของถั่วดำ การทำสูตรนี้มือใหม่หัดทำขนมก็สามารถทำได้ เพราะเพียงแค่ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี โดยเฉพาะแป้งและของเหลวที่ควรคนให้เนียนเข้ากันดีโดยไม่หยุดมือ จากนั้นเทใส่พิมพ์แล้วอบโดยเร็ว มิฉะนั้นเค้กจะไม่นุ่มฟู แต่ถ้ากรณีที่บางสูตรของเค้กนึ่งมีส่วนผสมของน้ำมัน และแป้ง ให้คนส่วนผสมพอเข้ากันไม่ให้เห็นเม็ดแป้งก็พอ เพราะหากคนนานเกินไป ก็จะส่งผลให้เค้กไม่ฟูเช่นกัน

matcha cake

ส่วนผสม

1. แป้งเค้ก 100 กรัม

2. ส่วนผสม A

  • แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 50 กรัม
  • ผงฟู 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลเทนไซ หรือน้ำตาลสีรำ 40 กรัม ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการปรับสมดุลลำไส้ ทานแล้วระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าประเภทอื่น
  • เกลือป่นเล็กน้อย

3. ส่วนผสม B

  • ผงชาเขียว 2 ช้อนชา
  • นมถั่วเหลือง 1 ⅓ ช้อนโต๊ะ

4. ส่วนผสม C

  • แบะแซ หรือ Corn syrup 2 ช้อนโต๊ะ เป็นสารให้ความหวานที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก
  • เมเปิ้ลไซรัป 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • นมถั่วเหลือง 100 มิลลิลิตร

5. ถั่วดำ ¼ ถ้วย ต้มให้สุกแล้วพักไว้

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม ใส่ส่วนผสม A ลงไป พร้อมถั่วดำที่ต้มแล้วครึ่งนึง ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันแล้วพักไ2ว้

2. เทส่วนผสม C ลงในอ่างผสมใช้ตะกร้อมือคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทรวมลงในข้อ 1 ใช้พายยางคนให้พอเข้ากัน แต่อย่าคนนานเกินเอาแค่เป็นเนื้อเดียวกัน

3. คนส่วนผสม B ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทลง ข้อ 2 คนรวมๆกันด้วยความเร็ว เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ชาเขียวจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้การคนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันยาก

matcha cake

4. เทส่วนผสมลงพิมพ์ หรือถ้วยที่ต้องการ วางพิมพ์ลงบนหม้อนึ่งที่มีน้ำต้มเดือดแล้ว นึ่ง 30 นาที เมื่อสุกดี ยกลงจากเตา แกะออกจากกระดาษไข พ้อมเสิร์ฟ หรือถ้ายังไม่ทานเลย วางพักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิทก่อน

5. หลังเค้กเย็นแล้ว ให้ห่อเค้กปอนด์ด้วยพลาสติกใสถนอมอาหารให้มิด นำไปแช่เย็นไว้ จะเก็บได้นานถึง 3 วัน หรือถ้าวางไว้ที่อุณหภูมิห้องแนะนำให้ทานภายใน 1-2 วัน หรือถ้าต้องการทานแบบอุ่นๆสามารถนำเค้กไปนึ่งใหม่ได้ ประมาณ 40 วินาทีหลังน้ำเดือด

matcha cake matcha cake

ที่มา

https://cookingwithdog.com/recipe/matcha-mushipan/

www.roof-kitchen.jp

https://www.pinterest.com/pin/654359020846628778/

บทความจาก : Fuwafuwa

เทคนิคตั้งราคาขายให้ลูกค้าเข้าร้านง่ายขึ้น

ร้านชาหลายร้านที่ใช้ผงชานำเข้าจากญี่ปุ่น หรือใช้เกรดพรี่เมี่ยมในการทำเมนูเครื่องดื่มและขนมในร้าน อาจจะเกิดปัญหาที่ว่า ต้นทุนสูง ต้องตั้งราคาขายยังไงให้ไม่รู้สึกแพงจนเกินไปสำหรับลูกค้า และไม่ทำให้ร้านขาดทุนด้วย 5 วิธีง่ายๆช่วยให้ลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น

1. ขายเป็นเซต ขายง่ายกว่า นอกจากจะได้ความคุ้มค่าแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความต้องการให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เช่น ปกติขายแยกเมนูข้าว แยกของหวาน แต่เอามาจับเซ็ต โดยทำให้ราคาของสองอย่างเมื่อรวมกันแล้วถูกกว่าราคาที่ซื้อแยกกัน ลูกค้าจะรู้สึกได้ทานอาหารในราคาถูก ถึง 2 เมนู คุ้มค่า และทำให้อาหารในร้านขายออกได้เร็วขึ้นอีกด้วย ลดเวลาในการตัดสินใจเลือกเมนูของลูกค้า

บางร้านอาจจะจัดเซตเมนูที่ราคา สูง กลาง ต่ำ เพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่ามี Option และเห็นง่ายขึ้นว่าชุดไหนคุ้มค่าที่ควรสั่ง

matcha menu

2. ตั้งราคาให้โดดเด่นจากร้านอื่น เพื่อดึงดูดใจลูกค้าแล้ว ยังเป็นการกำหนด position ร้านอาหารของคุณให้ต่างจากคู่แข่ง หลักๆ มี 3 รูปแบบ คือ

  • ตั้งราคาขายให้น้อยกว่าคู่แข่ง เป็นวิธีที่ผู้ประกอบการหลายคนคิดว่าจะดึงลูกค้าเข้ามาที่ร้านได้ง่าย แต่การจะตั้งราคาให้ถูกกว่าคู่แข่งนั้น ต้องไม่ลืมที่จะคำนวนต้นทุนด้วย แต่ถ้าเป็นร้านที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อน้อย ลูกค้าใช้เกณฑ์ราคาในการตัดสินใจซื้อ และร้านเน้นปริมาณการขายเป็นหลัก ก็เป็นวิธีที่ดีทีเดียว
  • ตั้งราคาขายให้สูงกว่าคู่แข่งโดยเฉพาะร้านที่มีลูกค้าที่ต้องการคุณภาพ บริการ ที่ได้มาตรฐาน ที่ตั้ง การตกแต่ง บริการ และคุณภาพของวัตถุดิบที่พิเศษ เป็นเอกลักษณ์ วัตถุดิบพรีเมี่ยมจากต่างประเทศ หรือมี Story ที่เล่าถึงคุณค่าของสินค้านั้นๆ การตั้งราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง ก็สามารถทำได้ เช่น สตาร์บัคที่เกียวโตออกเมนูฉลองครบรอบ 20 ปี ในราคาสูงถึงแก้วละ 590 เยน แต่ด้วยการบริการ ความพิเศษของส่วนผสมในซีรีย์นี้ และpositionของแบรนด์เลยทำให้สามารถขายในราคาสูงได้

matcha menu

หรืออย่างร้านขนมแห่งหนี่งที่ญี่ปุ่น ขายขนมที่เน้นทำจากผงมัทฉะ ซึ่งที่ญี่ปุ่น เมนูขนมมัทฉะถือว่าหาทานได้ทั่วไป ราคาก็ไม่ได้ตั้งจากร้านอื่นนัก แต่ร้านนี้กลับใช้วิธี เพิ่มการบริการด้วยเครื่องดื่มเป็น Drink Bar ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกเครื่องดื่มดื่มเพิ่มเติม ได้เพียงบวกเงินเพียงเล็กน้อย เลยยิ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าและอยากเข้าร้านนี้มากกว่าร้านอื่น เพราะมี Drink Bar ให้ได้เลือกดื่มเอง

matcha menu

  • ตั้งราคาขายให้เท่ากับคู่แข่ง จุดแข็งที่ชัดเจน โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ เมนู รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของการบริการ แต่ถ้าลูกค้ารู้สึกพึงพอใจได้มากกว่า ลูกค้าก็คงตัดสินใจเลือกร้านคุณแน่นอน เช่น ร้านที่ขายชาเขียวเหมือนๆกัน แต่คุณเป็นร้านที่ใช้ผงชาจากเมืองอูจิ เกียวโต เมืองขึ้นชื่อ ว่าเป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี ย่อมทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเหมือนได้ทานชาจากญี่ปุ่นแท้ๆ

3. มีเมนูเริ่มต้นราคาไม่แรง ที่ลูกค้ารู้สึกว่าพอจ่ายได้ เพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านมาก่อน เช่น ขายพุดดิ้งชาเขียว ขนมที่ใช้ส่วนผสมน้อย ทำง่าย วางเรียงขายหน้าร้านให้ซื้อง่ายขายคล่อง เพราะชามีส่วนผสมของนม ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน จึงไม่ควรตั้งราคาสูงมาก พอดึงลูกค้าเข้าร้านแล้วยังสร้างการจดจำว่าเป็นร้านที่ไม่เน้นขายของแพง แต่คุณยังสามารถทำกำไรเพิ่มได้จากการขายเมนูอื่นๆของร้านเพิ่มเติมได้ เช่น เมนูเครื่องดื่ม หรือจัดวางขนมเบเกอรี่อื่นๆของร้านในราคาที่เพิ่มขึ้น หรือใช้รูปแบบการเพิ่มความพิเศษให้กับเมนูเริ่มต้น โดยการจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่บาท แล้วซื้อเมนูอื่นเพิ่มได้ในราคาที่ถูกลง

matcha menu

เช่น ร้านขนมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ออกเมนูรับฤดูใบไม้ผลิด้วยวัตถุดิบเกาลัด ผลไม้ตามฤดูกาล แต่ขายในราคา 430 เยน ซึ่งค่อนข้างสูง จึงมีการขายเมนูอื่นๆที่เริ่มเต้นในราคาเพียง 200 กว่าเยน ดึงให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้านก่อนนั้นเอง

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ระบบการขายดิลิเวอรี่กำลังมาแรงช่วงนี้ข้อควรระวัง คือ การตั้งราคาขายในระบบดิลิเวอรี่ที่ต้องมีการจ่ายค่า GP เพิ่มเติม ต้องคำนวนต้นทุนให้ดีว่า ราคาที่เคยขายหน้าร้าน เมื่อเอาเข้า Delivery Platform แล้วยังขายเท่าเดิมได้หรือไม่ เพราะมีความเสี่ยงที่หลังหัก GP แล้ว อาจจะขาดทุนได้  การเลือกเมนู และการตั้งราคาสำหรับระบบดิลิเวอรี่ จึงเป็นอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว โดยมาตรฐานแล้ว ต้นทุนของแต่ละเมนูไม่ควรเกิน 30%ของราคาขายแต่ถ้าต้องเกินจริงๆ ก็ควรมีบางเมนูฝนร้านที่ต้นทุนน้อยกว่า 30% เผื่อให้มาถัวเฉลี่ยกันนั้นเอง

ที่มา

http://www.skylark.co.jp/jonathan/menu/dessert.html

https://matcha-jp.com

http://www.komeda.co.jp/

บทความจาก : Fuwafuwa

ข้อควรระวังในการดื่มชา ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

หลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า การดื่มชามีประโยชน์มากมาย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าการดื่มชามากจนเกินไปจะมีผลเสียต่อร่างกายพอสมควรเลยทีเดียว

matcha benefits

1. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็นไม่ควรแต่งรสด้วยนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา ทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง นอกจากจะได้สารอาหารที่ครบถ้วนแล้วยังไม่อ้วนจากน้ำตาลที่ปรุงแต่งเข้าไปด้วย

2. ใบชายังมีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงและสูงกว่าปริมาณในน้ำประปา หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน (Osteofluorosis) โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก และยังทำให้ฟันเกิดคราบเหลืองได้ ยิ้มฟันขาวๆจะหายไป แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล

3. หลีกเลี่ยงชาที่มีส่วนผสมของคอมเฟรย์ (comfrey)ซึ่งมีสารไพโรลิซิดีน อัลคาลอยด์ อันอาจเป็นอันตรายต่อตับ ในบางประเทษดอกคอมเฟรย์เป็นเรื่องต้องห้ามเลย

matcha

4. สารออกซาเรท (oxalate) ในชาที่มีอยู่ในปริมาณน้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากจนเกินไปและดื่มบ่อยๆเป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ อาจส่งผลต่อการทำลายไตได้

5. ใบชามีคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะช่วยลดการดูดซึมของคาแฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมากคาเฟอีน แต่ก็ส่งผลต่อการนอนเช่นเดียวกับกาแฟ ดังนั้นไม่ควรดื่มภายในสามชั่วโมงก่อนเข้านอน

6. สารแทนนินที่มีอยู่ในชาเขียวซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องผูกเพราะสารตัวนี้ทำหน้าที่ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารสำคัญอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน เหล็กและโฟลิก เพราะฉะนั้น เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูกตามมา แนะนำให้คุณหันมาดื่มชาเขียวแต่เพียงในปริมาณพอดี โดยดื่มวันละไม่ควรเกินกว่า 5 แก้ว ร่วมกับการดื่มน้ำให้มากๆ และกินอาหารที่มีกากใยสูง ก็จะช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ทำงานคล่องตัวขึ้นได้แล้ว ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้

7. สารคาเทคชินส์ (Catechins) ที่อยู่ในชา จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการดื่มชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีน ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรซโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาชนิดใดก็ตาม ควรดื่มในปริมาณ และเวลาที่เหมาะสมเพื่อบำรุงร่างกายจะดีกว่าการดื่มที่มากเกินไป ^^

ที่มา

https://bit.ly/3a3MFi2

https://www.ful-filled.com/2018/01/23/all-about-matcha/

https://health.mthai.com/howto/health-care/12777.html

https://mommypotamus.com/comfrey/

บทความจาก : Fuwafuwa

รู้ไหมว่า…ชงชาเขียวใช้น้ำแบบไหน?

ปกติแล้วเรามักนิยมแช่ใบชากับน้ำร้อนนานๆ อยากดื่มเมื่อไหร่ก็เทออกมา ซึ่งความคุ้นเคยนี้ทำให้บางครั้งเราไม่ได้รับรสชาที่แท้จริง การชงชาแต่ละชนิดมีความแตกต่างจากหลักการเบื้องต้นไม่มากนัก แต่ก็มีความละเอียดอ่อนที่จะช่วยให้ได้รสอร่อยและประโยชน์ของชาอย่างแท้จริง

ใบชาแต่ละชนิด มีสารอาหารอยู่ในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต ซึ่งสารอาหารเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นตัวกำหนด “รสชาติ” ของชา เช่น ชาที่มีกรดอะมิโนเยอะ ก็จะมีรสกลมกล่อม ชาที่มีสารแคทิซินเยอะ ก็จะมีรสฝาด และขม

มัทฉะ มัทฉะ

ซึ่งนอกจากประเภทชาแล้ว “น้ำ”ที่ใช้สำหรับชงชา ดูเผินๆหลายคนคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันนัก เน้นไปที่เลือกผงชา ใบชา ที่คุณภาพดีไว้ก่อน แต่ความจริงแล้ว การชงชาให้อร่อยชนิดของน้ำที่ชง มีผลต่อรสชาติและกลิ่นของชา ที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะสารอาหารในชา นอกจากจะมีปริมาณที่ต่างกันแล้ว ยังมีคุณสมบัติละลายในน้ำอุณหภูมิที่ต่างกันอีกด้วย

อย่างชาเขียว คือ ชาที่ไม่ผ่านการหมักหากชงด้วยน้ำเดือด 100 องศา ใบชาจะเฉา เหี่ยว และขับสารแคทิซีนออกมาเป็นจำนวนมากส่งผลให้ชามีรสขม เวลาดื่มรสสัมผัสจะน้อยลง เพราะในชาเขียวเป็นชาที่มีปริมาณกรดอะมิโนสูง การจะชงชาให้ได้รสชาติดีที่สุดนั้น จะต้องดึงกรดอะมิโนออกมา โดยที่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้สารแคทิซิน ซึ่งเป็นสารให้ความขมและฝาดออกมา จึงต้องใช้น้ำที่อุณหภูมิระหว่าง 50-60 องศาเซลเซียส เพราะกรดอะมิโน จะเริ่มละลายออกมาในน้ำอุณหภูมิตั้งแต่ 50 องศา ในขณะที่สารแคทิซิน จะละลายออกมาที่น้ำอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศา เป็นต้น หรือสรุปง่ายๆคือการชงชาเขียว จึงต้องใช้น้ำร้อนอุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศา  แต่ถ้าเป็นมัทฉะและเซนฉะใช้น้ำร้อน ร้อนแค่85 องศาก็เพียงพอแล้ว

วิธีชงมัทฉะ

นอกจากนี้จริงๆแล้วที่ยุโรป มักจะใช้น้ำบรรจุขวดในการชงชา ไม่ใช้น้ำแร่ เพราะแร่ธาตุในน้ำแร่จะทำให้รสชาติของแร่ธาตุจะไปกลบรสชาติของชา ทำให้ไม่รู้รสชาติที่แท้จริง แต่น้ำแร่ในฝั่งเอเชีย กลับเป็นน้ำที่เหมาะสมในการใช้ชงชามากกว่า

หากจะชงชาเพื่อลิ้มรสของชาจริงๆแล้ว ไม่ควรใช้น้ำก๊อก แม้จะเป็นน้ำก๊อกที่สามารถดื่มได้ก็ตาม เพราะน้ำจากก๊อกอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หากนำมาชงชาก็อาจจะทำให้เสียอรรถรสในการดื่มชาได้เช่นกัน

ที่มา

https://www.morimatea.com/

https://bestceramics.cn/products/chinese-landscape-painting-stoves

บทความ : Fuwafuwa

ชาจีนต่างกับชาญี่ปุ่นอย่างไร

ไม่ว่าที่ประเทศจีน และที่ญี่ปุ่น ก็มีชาเป็นเครื่องดื่มหลักเหมือนกัน เพราะชา เป็นเครื่องดื่มที่อุดมด้วยสารอาหาร ดีต่อสุขภาพ เช่นเดียวกัน

เมื่อพูดถึงชาจีนเรามักเข้าใจว่าเป็นชาเขียวในความเป็นจริงแล้ว ชามีหลายประเภท ตามเวลาในการเก็บใบชา และสถานที่เก็บ โดยชาจีน จะแบ่งเป็น ชาขาว, ชาเขียว, ชาอู่หลง, ชาดำ

กรรมวิธีทำชาแต่ละประเภทแตกต่างกัน อย่างเช่นชาขาวและชาเขียว จะทำให้ได้รับความร้อน เพื่อรักษาสารต้านอนุมูลอิสระให้ยังคงอยู่ ส่วนชาอู่หลง ชาดำ พวกนี้ถูกเอาไปหมัก ชาอู่หลงจะหมักให้ถูกอ๊อกซิไดน์เพียงส่วนหนึ่ง ส่วนชาดำจะถูกอ๊อกซิไดน์ทั้งหมด

ชาจีน ชาจีน

ในทางกลับกันชาเขียวญี่ปุ่นเป็นชาที่เก็บสดๆ เอามา stream ด้วยไอน้ำ เพื่อหยุดออกซิไดซ์ ได้สีเขียวสวย และรสตามธรรมชาติ การที่ใบชาที่ได้นั้นไม่ผ่านขั้นตอนการหมัก จึงทำให้ใบชามีสารประกอบฟีนอล หลงเหลืออยู่มาก จึงทำให้ชาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาชนิดอื่น และเมื่อเอามาบดผ่านเครื่องจนเป็นผง จึงกลายเป็นผงมัทฉะ ที่เรานิยมใช้ในพิธีชงชา และการทำขนมนั่นเอง

มัทฉะญี่ปุ่น

นอกจากความต่างของกรรมวิธีการผลิตแล้ว การเสิร์ฟชาของชาจีนและชาญี่ปุ่นก็แตกต่างกัน ประเทศจีนส่วนมากจะใช้กาใหญ่ เมื่อมีแขกเข้าบ้าน ก็ใส่ใบชาในกาและเทน้ำร้อนใส่ลงไป เมื่อแช่ไว้จนได้กลิ่นและสีชาแล้วจึงรินใส่แก้วให้แขกดื่ม แต่ก็มีบางท้องถิ่นของจีนเช่นเมืองจางโจวของมณฑลฮกเกี้ยนจะมีอุปกรณ์กังฮูเต๊ โดยมีเครื่องถ้วยชากาชาเป็นชุดและมีวิธีการชงชาที่พิเศษ จึงทำให้กลาย เป็นศิลปะชาที่มีเอกลักษณ์ของพื้นเมือง

พิธีชงชา

ส่วนที่ญี่ปุ่น พิธีการชงชา จะมีลักษณะที่เป็นแบบแผนที่ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็น มีขั้นตอนและกรรมวิธีการชงที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนมากกว่าของจีน ทั้งการเลือกถ้วยชาม วิธีการนั่งชงชา การตักน้ำสำหรับชงชา นิยมเสิร์ฟคู่กับขนมวากาชิ ขนมชิ้นเล็กที่มีรสหวาน ทานคู่กันกับชาเพื่อตัดเลี่ยน ซึ่งจุดประสงค์สามารถอธิบายหัวใจแท้จริงของพิธีชงชาได้ด้วยหลัก 5 ประการ คือ 1.ความเรียบง่าย  (Simplicity) 2.ความบริสุทธิ์ (Purity) 3.ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติอย่างลงตัว (Harmony)  4.ความสงบของจิตใจ (Tranquillity) 5.ความสง่างาม (Beauty) อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://matchazuki.com/ซะโด-พิธีชงชาที่แฝงปรัช/ 

ไม่ว่าใครจะเป็นสายชาจีน หรือชาญี่ปุ่น แต่ชาทั้ง 2 ประเภทก็มีประโยชน์ไม่ต่างกันนัก ลดการดื่มน้ำหวาน แล้วมาดื่มชาเพื่อสุขภาพกันดีกว่า

มาสัมผัสรสชาติชาเขียวญี่ปุ่นแท้ๆได้ที่ https://matchazuki.com/shop/

ที่มา

http://dofire.bestnailideas.com/image.php?id=454524

https://www.chopstickchronicles.com/sanshoku-three-colour-dango/

http://neredennereye190696.weblobi.net/image.php?id=561147

http://tokyopic.com/

https://www.pinterest.com/pin/657033033123464205/

https://journal.pim.ac.th/uploads/content/2017/12/o_1c2bpm19o16itkenbpr6kn130ga.pdf

บทความจาก : Fuwafuwa

How to ใช้ฉะเซ็น ….ใช้ยังไงให้ใช้ได้นาน

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมการชงชามัทฉะ ไม่สามารถใช้ช้อนคนเหมือนเวลาเราชงกาแฟ หรือโกโก้??

คำตอบก็คือ มัทฉะ คือ ผงชาที่บดมาจากใบชา ไม่เหมือนสารละลายที่นำไปผ่านกระบวนการอบให้เป็นผงพร้อมชงอย่างโอวัลตินหรือน้ำตาลทราย จึงไม่มีคุณสมบัติละลายน้ำการใช้แปรงชงชา หรือที่เรียกว่า ฉะเซ็น ในการตีผงชาจะทำให้ผงชาละลายได้หมดและได้กลิ่นและรสชาติแบบต้นตำรับสไตล์ญี่ปุ่นมากกว่านั่นเอง

Chasen

แต่บางคนก็อาจจะใช้ตะกร้อที่ใช้ทำขนมมาตีผงชาแทน แต่มีข้อเสีย คือ ตีมัทฉะออกมาแล้วฟองจะใหญ่ไม่ละเอียด ทำให้มัทฉะดูไม่น่าทาน

ฉะเซ็น ปกติจะทำจากไม้ไผ่ มีจำนวนซี่ประมาณ 80 ซี่ หากน้อยกว่านี้ จะเป็นฉะเซ็นที่มีไว้สำหรับการชงโคอิฉะ หรือมัทฉะแบบเข้มข้น

chasen

ที่จำเป็นต้องใช้ฉะเซ็นในการนวดผงชาให้เป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำร้อน ต่างจากการชงอุสึฉะ หรือมัทฉะแบบบางที่จะใช้ฉะเซ็นตีผงชาให้ขึ้นฟอง แต่ฉะเซ็นบางรุ่นที่มีจำนวนซี่เยอะ อย่าง 100 ซี่ หรือ 120 ซี่ มีข้อดีคือตีมัทฉะให้ขึ้นฟองได้ง่ายและฟองละเอียดกว่าในสมัยก่อนฉะเซ็นที่จำนวนซี่เยอะๆ มีไว้สำหรับให้โชกุนหรือขุนนางผู้สูงศักดิ์ใช้เพียงเท่านั้น

chasen

การใช้งานฉะเซ็นครั้งแรก ควรแช่ฉะเซ็นในน้ำอุ่น 15-30 นาที เพื่อให้เนื้อไม้คลายตัวก่อน นอกจากนนั้น เพื่อยืดอายุการใช้งานฉะเซ็น ทุกๆครั้งก่อนใช้ควรแช่ฉะเซ็นในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้เนื้อไม้ยืดหยุ่นรับแรงจากการใช้งานโดยไม่แตกหัก และควรใช้งานฉะเซ็นกับถ้วยที่ก้นแบนกว้างทรงเตี้ย หลีกเลี่ยงการใช้กับถ้วยชาทรงสูงปากแคบก้นมีมุมเพราะอาจทำให้ปลายแปรงกระแทกมุมจนแตกหักได้ ที่สำคัญ คือไม่ควรกดแปรงฉะเซ็นกับก้นถ้วย แต่เน้นการสะบัดฉะเซ็นโดยการใช้ข้อมือโดยหลีกเลี่ยงการสะบัดแปรงแรงจนชนข้างถ้วย

หลังการใช้งานทุกครั้ง ควรนำไปแกว่งในน้ำอุ่น โดยแกว่งเฉพาะส่วนที่สัมผัสกับมัทฉะ ไม่ต้องล้างน้ำทั้งอัน พอแกว่งเสร็จสักสองน้ำก็นำมาตั้งไว้ให้แห้ง หรือถ้าใครมีเซรามิคที่เอาไว้สำหรับพักฉะเซ็น ก็เอาไปเสียบไว้ รอให้แห้งได้เลย

ทริคเพิ่มเติมเล็กน้อยภายหลังการใช้งานควรเก็บฉะเซ็นในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเทหลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในที่อับชื้นเช่น ภาชนะปิด หรือ กล่อง หรือ  ห้องปรับอากาศ เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดเชื้อ เพียงแค่เริ่มใช้อย่างถูกวิธี เก็บรักษาถูกวิธี ก็ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานของฉะเซ็นคูใจคนรักมัทฉะได้

ที่มา

https://www.tealyra.com/matcha-tea/matcha-accessories/japanese-matcha-bowl/?currency=USD&r=no&gclid=CMWlrODR1tECFVA6gQodV-0B4g

http://the189.com/design/making-a-bamboo-whisk-with-yamato-takayama/?utm_source=feedburner&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed:+the189/feedme+(OEN)&utm_content=Google+Reader

https://cooking.framethe.me/2019/11/tea-tasting-with-tamayura-tasting-of.html

บทความจาก : Fuwafuwa

ซะโด พิธีชงชาที่แฝงปรัชญาการใช้ชีวิต

พิธีชงชาญี่ปุ่นเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของประเทศญี่ปุ่นว่าด้วยการใช้เวลาอย่างสุนทรีย์ ซะโดมีลักษณะที่เป็นแบบแผน ได้พัฒนาภายใต้อิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซ็น จุดประสงค์ของพิธีนี้ คือ เพื่อทำวิญญาณให้บริสุทธิ์โดยการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ใช้แนวคิด ความงามในความเรียบง่ายและความสงบ อย่างอุปกรณ์ชงชาอย่างกาต้มน้ำ ถ้วยชา เป็นสิ่งเรียบง่าย นอกจากนี้เพื่อที่จะค้นหาความงามในความไม่สมบูรณ์ ของถ้วยชามที่ขรุขระ การชงชาแบบญี่ปุ่นจึงเป็นพิธีกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทรงคุณค่าฝั่งรากลึกมานาน

matcha

ซะโดยังมีบทบาทสำคัญในด้านศิลปะของชาวญี่ปุ่น เกี่ยวข้องกับการชื่นชมห้องที่ประกอบพิธี ส่วนที่ติดอยู่ในห้องนั้น เครื่องใช้ในการชงชา เครื่องประดับบริเวณพิธี เช่น ภาพแขวนหรือการจัดดอกไม้ สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น การจัดสวน เครื่องปั้นดินเผาเซรามิก สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากพิธีชงชา และความเป็นพิธีการที่ถือปฏิบัติในพิธีชงชาได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนามารยาทของชาวญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นพื้นฐาน

พระ Rikyu ถือเป็นอาจารย์แห่งพิธีชงชา ได้ทำให้ผู้คนรอบข้างประหลาดใจ ด้วยการเสนอไอเดียใหม่เกี่ยวกับการเลือกใช้ชามในพิธีชงชาที่เรียกว่า “koma”หรือความมืด ใช้ถ้วยชงชาสีดำอันเป็นงานฝีมือของช่างชาวญี่ปุ่น แทนที่จะใช้ภาชนะที่นำเข้าจากจีน เพื่อสื่อให้เห็นถึงความเรียบง่ายอันเป็นหัวใจของ“wabi-cha” วิถีแห่งความสงบเรียบง่ายแห่งชา

chado matcha chado matcha chado matcha

หลายคนอาจจะพอรู้ขั้นตอนพิธีการดื่มชาญี่ปุ่นอยู่แล้ว จะรู้สึกว่าเป็นพิธีที่ยุ่งยาก ขั้นตอนเยอะ ไหนจะต้องหมุนชาม ไหนจะต้องโค้งคำนับ แต่ถ้าใครมีโอกาสได้ภาพยนตร์ญี่ปุ่นเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาเรื่อง Every Day a Good Day หัวใจ ใบชา ความรัก จะได้ซึมซับถึงเสน่ห์ของศิลปะการชงชา และเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการชงชาเป็นเรื่องที่ไม่รีบร้อนและต้องใช้เวลาในการเข้าใจถึงแก่นแท้มีความเกี่ยวข้องผสานเข้ามาอยู่รวมกันกับอิคิไกความหมายของการมีชีวิตอยู่ เป็นนัยยะว่า พิธีชงชานั้นมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ให้ต้องฝึกฝนซ้ำๆ ทุกวันแบบเดิม ตั้งแต่

  1. การเริ่มต้นเล็กๆ : ในพิธีชงชา จะมีการจัดตกแต่งห้อง อย่างใส่ใจในรายละเอียด เช่นชนิดของดอกไม้ที่จะนำมาตกแต่งบนฝาหนัง การพับผ้าที่ใช้ในพิธีชงชา หรือแม้แต่ในแต่ละวันที่มีการเปลี่ยนป้ายวลีคันจิปรัชญาเพื่อให้เหมาะกับวันนั้นๆ ก็สอนให้คิด พิจารณาจิตใจตัวเองเช่นกัน
  2. การปลดปล่อยตัวเอง : จิตวิญญาณแห่งการถ่อมตัว คือ ภาพจำของผู้ทำพิธี และแขกที่มาร่วม แม้พวกเขาจะมีประสบการณ์หลายปีในการจัดงาน
  3. ความสอดคล้องและยั่งยืน : ภาชนะที่ใช้ในพิธีชงชาเก่าแก่เป็นทศวรรษ ถูกคัดเลือกมาให้เข้ากับภาชนะชิ้นอื่น
  4. ความสุขกับสิ่งเล็กๆ : เป้าหมายของพิธีชงชา ก็เพื่อให้ผ่อนคลาย หาความสุขจากรายละเอียดเล็กๆ เช่นการฟังเสียงน้ำที่รินลงถ้วยชาระหว่างเสียงของน้ำอุ่น กับน้ำเย็นนั้นแตกต่างกัน
  5. การอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ : คนหนึ่งจะนำพาสติภายในห้องชงชามาเข้าสู่จิตใจอีกคนหนึ่ง

ถ้าหากได้เรียนรู้ประเพณีตามแบบฉบับเหมือนในภาพยนตร์จริงๆ ก็คงไม่มีวันที่สามารถบอกว่าตัวเอง สมบูรณ์แบบ ได้ วิชาชงชานี้ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับชีวิต ชีวิตคนเรามันต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากระดับหนึ่ง จนเริ่มเข้าใจว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ไหน ……..คำตอบคือ อยู่ที่ใจของเราที่มองว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป จงปล่อยวาง และไหลไปตามจังหวะชีวิต เพราะฉะนั้นใครที่เสพย์ข่าว สื่ออนไลน์มากๆ หันมาทำอะไรช้าๆลง มีสติในการชงชาสักแก้วหนึ่งดู อาจจะช่วยเพิ่มรอยยิ้มให้ในเช้าวันใหม่ได้

chado matcha

บทความจาก : Fuwafuwa

ตามเทรนด์รักสุขภาพแบบสาย RAW SWEETS

ช่วงนี้โควิดกำลังระบาดหนัก หลายคนอาจจะเริ่มหันมาสนใจสุขภาพมากขึ้น แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่าการทานขนมหวานที่มีความหวานมัน ช่วยเติมเต็มความสุขในช่วงสถานการณ์เครียดๆแบบนี้ได้ แต่จริงๆแล้ว ยังมีขนมหวานอีกประเภทหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพมากๆ ได้วิตามิน เกลือแร่ และคุณค่าทางสารอาหารที่ครบถ้วน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการย่อยอาหาร และกระบวนการเผาผลาญเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ขนมหวานแบบนี้ เรียกกันว่า Raw Sweets

Raw Sweets เป็นขนมที่ทำจาก ผลไม้สด ผัดสด และวัตถุดิบทั้งหมดที่ผ่านกระบวนการปรุงแต่งด้วยความร้อน ไม่เกิน 46 องศา ไม่มีส่วนผสมของแป้ง และน้ำตาล แต่จะใช้ข้าวกล้องหรือธัญพืชไม่ขัดขาวที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนแทน นับว่าเป็นขนมที่ทำจากวัตถุดิบจากธรรมชาติจริงๆ

จุดเด่นของขนม Raw Sweets คือ ไม่ใช้ความร้อน ไม่ว่าจะการอบ นึ่ง ต้ม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนผสมหรือ การเตรียมใดๆ จะใช้แค่การผสมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน และนิยมใช้การแช่เย็นแทนการอบสุก หรือการตากแห้งของผลไม้ตามธรรมชาติแทน

ส่วนผสมหลักที่มักนิยมใช้สำหรับการทำ Raw Sweets ได้แก่

Almond Milk

1.นมอัลมอนด์มีรสชาติเข้มข้น เหมาะสำหรับเติมลงไปในไอศครีม หรือไส้เค้ก แทนครีมสดหรือนมสด ส่วนตัวกากอัลมอนด์ที่เหลือจากการนำมาคั้นนมอัลมอนด์ สามารถนำมากรุฐานเค้ก หรือทาร์ตได้อีกด้วย

Matcha Raw Sweets

2.ครีมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่ใช้อากาเว่ไซรัป และน้ำมันมะพร้าวในการผสม ได้รสชาติกลมกล่อมเหมือนครีมสดจากนม สามารถนำไปผสมทำไอศครีม ไส้เค้ก และทาร์ตได้เช่นกัน สามารถทำครีมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ครั้งแล้วแช่แข็งเก็บไว้ใช้ได้นาน

สำหรับร้านไหนที่มีเมนูขนมในร้านแบบไม่ลีน ไม่คลีนอยู่แล้ว ช่วงนี้ที่โรคกำลังระบาด การปรุงแต่งขนมด้วยวัตถุดิบชั้นดี ด้วยกรรมวิธีแบบ Raw Sweets จึงเป็นอีกไอเดียที่น่าเอามาปรับใช้กับเมนูที่ร้าน อย่างเช่น

Matcha Brownie

Raw Matcha Brownies บราวนี่เมนูที่หลายคนชื่นชอบทำได้ง่าย แต่ใครจะรู้ว่าสามารถทำแบบสูตร คลีนๆแบบนี้ได้ ส่วนผสมก็ไม่เยอะ ได้แก่

  1. อินทผาลัมตากแห้งสับหยาบ 30 กรัม
  2. วอลนัต 40 กรัม
  3. ผงอัลมอนด์ 40 กรัม
  4. ผงโกโก้ 2 ช้อนชา
  5. อากาเว่ไซรัป 2 ช้อนชา
  6. วานิลาสกัดชนิดน้ำ 1 ช้อนชา
  7. ผงชาเขียว 2 ช้อนชา

วิธีทำ

  1. ปั่นอินทผาลัมให้ละเอียด ใส่ผลอัลมอนด์ อากาเว่ไซรัป วานิลล่า ลงไป ผสมรวมกันให้เป็นเนื้อเดียว
  2. แบ่งส่วนผสมเป็น 2 ส่วนเเท่าๆกัน ส่วนแรก เอาวอลนัต และผงโกโก้มาผสมเข้าด้วยกัน ส่วนที่สองเอาผงชาเขียวมาผสมเข้าด้วยกัน
  3. นำส่วนที่ผสมโกโก้เทลงพิมพ์ เกลี้ยให้ทั่วจนแน่นพิมพ์ก่อน แล้วจึงเทส่วนที่เป็นชาเขียวทับด้านบน กดให้แน่นเข้าตู้เย็นประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้เซ็ตตัว ทานคู่นมอัลมอนด์อุ่นๆ หรือจะเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานก็อร่อยไปอีกแบบ

นอกจากเมนูบราวนี่ชาเขียวสูตร Raw sweets แล้ว ยังมีอีกหลายเมนูที่สามารถมาประยุกต์ได้ เช่น Pistachio Matcha Bars, Raw Matcha Cheesecake  เป็นต้น 

matcha  matcha ball

ที่มา

http://www.rebelrecipes.com/raw-matcha-cheesecake-vegan-gluten-free/

http://www.becomingness.com.au/blog/raw-matcha-brownies

https://intentionalhospitality.com/matcha-energy-balls/

http://traditional-japan.tumblr.com/post/174790242132/via-pinterest

https://www.ehow.com/how_2041161_make-almond-milk.html?utm_source=pinterest.com&utm_medium=referral&utm_content=freestyle&utm_campaign=fanpage&crlt.pid=camp.yqA17WPYpdOm

https://getinspiredeveryday.com/food/savory-vegan-cashew-cream-sauce/

บทความจาก : Fuwafuwa