เพิ่มสีสันให้เมนูชา รับเทศกาลคริสมาสต์

ใกล้ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลากหลายร้านเริ่มออกเมนูใหม่ต้อนรับเทศกาลความสุข ทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี่ แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะสร้างสรรค์เมนูยังไง Matchazui ได้รวบรวมไอเดียและสูตรเครื่องดื่มและขนมชาเขียว ให้คอชาเขียวได้ลองปรับเปลี่ยนเมนูที่ร้านให้สนุกขึ้น

เริ่มจากมัทฉะลาเต้ร้อน เมนูแนะนำของหลายๆร้าน ที่เพิ่มสีสันรับเทศกาล คริสมาสต์ง่ายๆเพียงใส่มาชแมลโลว์ snowman น่ารักๆลงไปทานคู่กัน วิธีทำไม่ยากมากเพราะเริ่มจากทำมาร์ชแมลโลว์ทรงสี่เหลี่ยมตามสูตรมาชแมลโลว์ที่ร้านชื่นชอบ ให้มีขนาดใหญ่พอที่จะตัดเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ  ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมด้านใดด้านหนึ่งหักออกแล้วจุ่มไม้จิ้มฟันลงในไวท์ช็อคโกแลตสีส้มที่ละลายแล้วและวาดจมูกลงบนมาร์ชแมลโลว์ ส่วนตาใส่ดาร์กช็อกโกแลตชิพ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันมะพร้าว 1/4 ช้อนชาลงในจานเล็ก ๆ และไมโครเวฟทีละ 20 วินาทีกวนทีละน้อยจนดาร์กช็อกโกแลตละลายอย่างสมบูรณ์และเนียน ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมจุ่มลงในดาร์กช็อกโกแลตที่ละลายแล้วตบที่ตาและปากของ snowman แล้วปล่อยให้ช็อคโกแลตหน้ามนุษย์หิมะตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนเสิร์ฟคู่มัทฉะลาเต้ร้อนแก้วโปรด

เมนูชาเขียว

ต่อด้วย Matcha Cookie Christmas Tree เริ่มจากตีเนยจืด 1 ถ้วย ผงมัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาล  1 ½  ถ้วยจนฟู ใส่ไข่แดง 1 ฟอง และวานิลลา 1 ช้อนชาลงไปแล้วผสมจนเข้ากัน แล้วร่อนแป้ง เบกกิ้งโซดาและเกลือเข้าด้วยกันพักไว้อีกชาม ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในชามแล้วผสมให้เข้ากัน ปิดฝาแป้งและแช่เย็น 30 นาที เปิดเตาอบที่ 180 องศา วางกระดาษรองอบลงในถาดอบ

หั่นแป้งเป็นครึ่ง ๆ หรือสี่ส่วนแล้วรีดให้มีความหนาประมาณ 1/6 – 1/4 นิ้ว ใช้พิมพ์ต้นคริสมาสต์ตัดลงไปแล้ววางบนกระดาษรองอบที่เตรียมไว้ อบแต่ละชุดเป็นเวลา 7-9 นาที  ตกแต่งลวดลายด้วยไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายด้วยไมโครเวฟ 20 วินาที หรือผสมสีแดงเล็กน้อยเพื่อให้ได้ลวดลายที่แตกต่างไป

ความเข้มอ่อนขอสีต้นคริสมาต์ขึ้นอยู่กับปริมาณผงมัทฉะที่ใส่ลงไป เพิ่มความน่ารักด้วยการผูกโบว์ หรือแพ็คใส่ถุงแก้วใสๆเพื่อโชว์ลวดลายคุ้กกี้ก็ได้

เทคนิคเพิ่มความน่ารักให้คุ้กก้คริสมาสต์คือ ตอนกดแป้งเป็นรูปต้นคริสต์มาสต์ สามารถกดเป็นรูปดาว หลายๆขนาดได้ เพื่อหลังจากอบเสร็จ มาวางเรียงสลับชั้นกัน โดยแต่ละชั้นเชื่อมด้วยไวท์ช็อคโกแลตเล็กน้อย ปักดาวด้านบนด้วยเมล็ดอัลมอนด์ แล้วโรยไอซิ่งเล็กน้อย ก็ได้เมนูคุ้กกี้ชาเขียวรับเทศกาลคริสมาต์นี้แล้ว

เมนูชาเขียว

อีกเมนูที่แค่เห็นก็นึกถึงต้นคริสมาต์เลย คือ Matcha Mont Blanc สามารถใช้สูตรมองบลังค์ปกติที่ทำได้เลยเพียงแต่เปลี่ยนส่วนผสมครีมเกาลัดที่บีบด้านบนเป็นครีมชาเขียว แล้วประดับตกแต่งด้วยคุ้กกี้ไอซิ่งสีสันสดใส ก็กลายเป็นมองบลังค์ชาเขียวที่ใครได้ทานต้องประทับใจ

นอกจากเมนูชาด้านบนที่เป็นตัวอย่างให้ร้านชาของคุณได้เห็นไอเดียเบื้องต้นสำหรับดัดแปลงเมนูแล้ว ยังมีเมนูชาเขียวอีกหลายหลายเมนูที่สามารถทำขายช่วงคริสมาสต์ได้ เช่น Matcha Hot Chocolate หรือ Matcha Macaron หรือจะเป็น Matcha Cake ที่เน้นการเติมสีแดงด้วยสตอเบอรี่ 

เมนูชาเขียว เมนูชาเขียว  

แต่ถ้าใครไม่ถนัดทำขนมที่ต้องใช้เทคนิคเยอะๆ ลองเอาเมนูขนมชาเขียวแบบไม่อบ ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/dpDS7 ) มาปรับให้เป็นสไตล์คริสมาต์ดูก็เป็นอีกไอเดียที่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามีเมนูใหม่ๆออกมาพร้อมกับจัดแคมเปญส่งท้ายปีด้วยโปรโมชั่นหรือกิจกรรมที่น่าสนใจ ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากมาที่ร้านได้มากขึ้น ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/ceqKP ) เพราะไม่จำเป็นว่าช่วงเทศกาลแบบนี้ทุกร้านจะต้องมีเมนูใหม่ๆออกมา มันอาจจะเป็นการยากไปสำหรับบางร้านที่ต้องคิดเมนูใหม่ๆตลอด เพราะตามควมเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้น แค่ซื้อชาเขียวมอบให้กันในเทศกาลต่างๆ ก็ถือว่าเป็นการอวยพรให้มีสุขภาพที่ดีแล้ว ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/bcCHK )

ที่มา 

https://encha.com/pages/matcha-recipes

https://www.stephaniesuen.com/2018/12/08/mini-matcha-christmas-tree-sugar-cookies/

https://steemit.com/food/@alwayssmile/elegant-noble-french-dessert-mont-blanc

https://hostthetoast.com/matcha-cookie-christmas-tree-stacks/

ประโยชน์ของชาเขียว กับสุขภาพช่องปาก

เคยได้ยินว่า การดื่มชา กาแฟ จะทำให้ฟันเหลือง หลายคนเลยเลี่ยงที่จะดื่มชา ซึ่งการที่จะช่วยลดการเกิดคราบฟันเหลืองนั้น ทำได้โดยการพยายามกลั้วปากหลังดิ่มชา หรือแปรงฟัน เพื่อให้ลดปัญหากรเกิดครบดังกล่าว แต่จริงๆแล้ว ชาเขียวยังมีประโยชน์กับสุขภาพในช่องปากมากกว่าที่คุณคิด เพราะชาเขียวญี่ปุ่นไม่เพียงแต่ให้รสชาติที่อร่อยและสดชื่นโดยเฉพาะหลังมื้ออาหาร แต่ยังช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ส่งเสริมสุขภาพช่องปากที่ดีในระยะยาวและอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระสารสกัดจากชาเขียวจะช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยกำจัดจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ภายในช่องปากได้ เช่น ป้องกันฟันผุ ป้องกันอาหารเป็นพิษ ช่วยลดสาเหตุการเกิดมะเร็งในช่องปากและยังช่วยฆ่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบในช่องปากได้อีกด้วยเพราะสารโพลีฟีนอล (Polyphenols) ในชาเขียวมีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันคราบฟัน ลดการเกิดฟันผุให้น้อยลง ช่วยลดอาการเหงือกอักเสบได้นั่นเอง

นอกจากนี้ ยังมีสารช่วยต่อต้านการอักเสบของเหงือก มีรายงานวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีสุขภาพเหงือกดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มนอกจากนี้ยังพบว่าบุคคลดังกล่าวมีโอกาสน้อยที่จะประสบปัญหาฟันหลุดและมีเลือดออกที่เหงือก

ชาเขียว แม้จะมีรสฝาด  แต่ก็ช่วยทำความสะอาดช่องปากตามธรรมชาติได้ เพราะชาเขียวมีส่วนช่วยฆ่าจุลินทรีย์แบคทีเรียที่นำไปสู่ลมหายใจที่มีกลิ่นเหม็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการศึกษาวิจัย ของคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียพบว่า กลุ่มผู้เข้าร่วมการศึกษาที่บริโภคผงชาเขียวมีกลิ่นปากลดลงในอัตราที่สูงกว่าผู้ที่เคี้ยวหมากฝรั่งรสมิ้นต์อีก

นอกจากนี้ชาเขียวมีสารช่วยเคลือบฟันให้แข็งแรง ช่วยให้เวลาทานเครื่องดื่มที่ร้อนจัดหรือเย็นจัด หรืออาหารเครื่องดื่มที่มีกรดเยอะ ฟันจะไม่โดนกัดกร่อนมาก เพราะชาเขียวมีประสิทธิภาพอย่างมากในการช่วยรักษาระดับ pH ในปาก และช่วยควบคุมระดับแบคทีเรียที่นำไปสู่การติดเชื้อด้วย นอกจากนี้ ชาเขียวเป็นสารต้านการอักเสบตามธรรมชาติและช่วยให้เหงือกแข็งแรง ลดการเลือดออกตามเหงือกได้อย่างธรรมชาติ

ที่มา

https://www.japanesegreenteain.com/blogs/green-tea-and-health

https://carriemcguire.com/

https://www.davidstea.com/

https://matchazuki.com/category

บทความจาก : Fuwafuwa

ทำความรู้จักการชงชาแบบ Steeping

Steeping

      มาทำความรู้จัก รู้จักการชงชาแบบ Steeping กัน หากพูดถึงการชงชาเขียวจากผงมัทฉะ ภาพที่แต่ละคนคิดก็จะชงด้วยฉะเซน ตีผงชาให้ละลาย ส่วนการชงชาใบนั้น ไม่ใช่แค่การเทน้ำผ่านใบชาแล้วจะดื่มได้เลย แต่หากเป็นการ Steeping ชา หรือการแช่ชาไว้ในกาตลอดการดื่ม มีขั้นตอนการชงที่ง่าย ใช้อุปกรณ์น้อย และได้รสชาค่อนข้างคงที่ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก และต้องการทานเพื่อประโยชน์โดยเฉพาะ ซึ่งการ  Steeping ชาเป็นกระบวนการสกัดกลิ่นและรสชาติของชาออกมาอย่างเรียบง่ายด้วยการแช่ใบชาไว้ในน้ำที่มีอุณหภูมิและระยะเวลาที่แตกต่างกันออกไปตามประเภทใบชา ข้อสำคัญในการชงแบบนี้คือการหมั่นเติมน้ำเดือด เพื่อรักษาระดับน้ำไม่ให้ต่ำกว่าครึ่งกาหรือเมื่อรู้สึกว่าชานั้นเริ่มจะเข้มเกินไป 

การแช่ชาที่สมบูรณ์แบบต้องมี 2 สิ่ง คือ น้ำ และเวลาในการแช่ที่ถูกต้อง โดยทั่วไป การชงชาแบบจีน จะใช้ชาราว 4-5 กรัม ต่อน้ำ 100 มล. ส่วนการชงชาฝรั่ง หรือชาเบลนด์ จะใช้ชาราว 3 กรัม ต่อน้ำ 200-250 มล.ใช้ระยะเวลาในการแช่ใบชานาน คือ 2.5-3 นาทีขึ้นไป

Steeping

สำหรับชาที่นิยมชงแบบ Steeping เป็นชาตะวันออก ชาธรรมชาติ ที่ไม่ได้เบลนด์ และไม่ได้แต่งกลิ่น ในกรณีที่ชงชาขาว หรือ ชาเขียว  เป็นชาสด จะใช้น้ำที่ไม่เดือดมากในการชง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะถ้าใช้น้ำเดือดในการชง บางครั้งจะได้กลิ่นสาบเขียวของใบชา คล้ายผักต้ม จึงควรใช้น้ำอุณหภูมิไม่สูงประมาณ 80 องศา จะกำลังพอดี จะไม่นิยมดื่มน้ำแรก เพราะถือว่าเป็นน้ำกระตุ้นใบชา ให้เททิ้งก่อน จะเริ่มดื่มตั้งแต่น้ำที่สองเป็นต้นไป

การชงชาปกติจะใช้เวลา steeping หรือแช่ชาประมาณ 3-5 นาที ยกเว้นการชงชาขาวที่จะใช้เวลาชงแค่ 2-3 นาที ส่วนชาผลไม้ ชาดอกไม้ หรือชาสมุนไพร จะชงนานประมาณ 5-7 นาที แต่ถ้าเป็นชาเซนฉะจะแช่เพียง 30 วินาที – 1 นาที เท่านั้น หากแช่นานเกินกว่านี้จะขม

Steeping Steeping

ส่วนของชาอู่หลง และชาดำควรใช้น้ำเดือดในการชง แต่ถ้าหากเป็นชาดีๆ ควรรอให้อุณหภูมิของน้ำลดลงสักครู่นึง คือ สัก 90 องศา แล้วจึงชง เพื่อหลีกเลี่ยงความขมฝาดที่อาจเกิดขึ้น เพราะความขมต่างๆ มักจะถูกดึงออกมาเมื่ออุณหภูมิของน้ำสูงมากกว่า 90 องศานั่นเอง อย่างไรก็ตามปัจจัยอื่นๆประกอบการชงชาด้วยวิธีการแช่ใบชานั้นยังมีเรื่องของประเภทน้ำที่ควรใช้ในการชงชา เป็นต้น

จะเห็นว่าเทคนิค ปัจจัยในการชงชาแบบ steeping หรือการแช่ชานั้นแตกต่างกันออกไป การทดลองด้วยตัวเองเพื่อให้ได้รถชาติที่ถูกปากที่สุดจึงเป็นเรื่องที่คนรักชาเขียวควรลองศึกษาทดลองเพื่อให้ได้สูตรชาในแบบฉบับของคุณเอง

ที่มา

https://www.thespruceeats.com/tea-brewing-temperature-guide-766367

https://the.republicoftea.com/tea-library/tea-101/how-to-steep-tea/

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Latte Art ศิลปะบนชาเขียว

Latte Art ที่คุ้นชินกันบนเมนูกาแฟ แรกเริ่มเดิมทีแล้วถูกสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรกในประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความโด่งดังในเรื่องการชงกาแฟเป็นอย่างมาก ศิลปะบนแก้วกาแฟนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก จนเริ่มถูกแพร่หลายมาบนเมนูมัทฉะลาเต้ แม้จะยังไม่เป็นที่นิมมากนัก แต่ลาเต้อาร์ต นับเป็นศิลปะที่น่าสนใจอย่างมาก ที่ช่วยช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ชาเขียวถ้วยโปรดของคุณน่าหลงใหลยิ่งขึ้นอีกด้วย

Matcha Latte Art

ความสวยงามของลาเต้อาร์ต ขึ้นอยู่กับคุณภาพของฟองนมที่ตีจนแตกฟองสวย เนื้อละเอียด หรือที่เรียกกันว่าไมโครโฟม-microfoam โดยลาเต้อาร์ตที่ดีต้องมีความคมชัด, ความบาลานซ์ และรูปแบบการดีไซน์ที่พลิ้วไหวสร้างสรรค์ ซึ่งการทำลาเต้อาร์ตออกมาสวยงามในแต่ละแก้ว สะท้อนความใส่ใจและความทุ่มเทของคนทำ ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอย่างแน่นอน

การลาเต้อาร์ตทำได้อยู่ 3 วิธีหลักๆ คือ

1. Free Hand คือ การราดฟองนมลงไปบนชาเขียว แล้วขยับถ้วยให้เป็นลวดลายต่างๆ ซึ่งลวดลายนั้นเกิดจากการแทรกตัวระหว่างโฟมนมกับน้ำกาแฟ กำหนดน้ำหนักและทิศทางของฟองนมให้เลื่อนไหลไป โดยมากแล้ววิธีนี้จะทำให้ได้รูปที่เป็นหัวใจ รูปแอปเปิ้ล และรูปใบไม้ บางคนยังสามารถทำเป็นรูปใบไม้คู่ รูปปลา รูปหงส์ หรือดอกไม้ไฟได้ด้วย ถ้าเทโฟมนมในปริมาณที่แตกต่างกัน อัตราความช้า-เร็วในการเทต่างกัน การขยับหรือเอียงถ้วยกาแฟในลักษณะที่ต่างกันก็ล้วนทำให้ภาพที่ออกมาแตกต่างกันทั้งสิ้น เช่น ถ้าจะทำรูปหัวใจจะต้องใช้ปริมาณฟองนมที่มากกว่าการทำลายใบไม้ เพราะลายหัวใจจะมีโครงสร้างที่กว้างและมน ขณะที่ลายใบจะมีโครงสร้างที่เล็กเรียว ถ้าทำลายใบไม้แต่ฟองนมมากเกินไปลายของใบก็จะไม่คมและฟองนมอาจจะไปกลบลายริ้วของกลีบใบ

Matcha Latte Art

2. Draggingเป็นการทำลาเต้ อาร์ตโดยใช้ช้อนตักโฟมนมลงไปบนน้ำกาแฟเอสเปรสโซซึ่งถูกราดทับด้วยน้ำนมประมาณ 3 ใน 4 ของถ้วย โดยโฟมนมด้านบนอยู่ในระดับที่เสมอกับขอบถ้วย จากนั้นจึงหยอดซอสที่ใช้ในการแต่งหน้า เช่น ช็อกโกแลตซอส คาราเมลซอส ราสเบอรี่ซอส ให้เป็นลายเรขาคณิตต่างๆ เช่น เป็นวงแบบก้นหอย , ลากเส้นแบ่งวงกลมเป็น 8 ส่วน แล้วใช้วัสดุปลายแหลมลากระหว่างโฟมนมกับซอสเพื่อให้เกิดเป็นลวดลาย ซึ่งลายที่นิยมได้แก่ ลายดอกไม้ต่างๆ เช่น ดอกเบญจมาศ ดอกเฟื่องฟ้า ดอกกุหลาบ ลายปลาดาว และลายอมยิ้ม

Matcha Latte Art

3. ส่วนเทคนิคผสมระหว่าง Free Hand Pour และ Draggingนั้นนิยมใช้กับการทำรูปสัตว์หรือการ์ตูนต่างๆ โดยจะใช้วิธีเทโฟมนมลงบนชาเขียวให้โฟมนมเป็นวงขนาดใหญ่ตรงกลางถ้วยและเหลือแนวรอบถ้วยประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นใช้ช้อนขนาดเล็กตักโฟมนมหยอดลงไปเพื่อสร้างโครงของรูปที่ทำ เช่น หู เขา หรือมือของสัตว์ แล้วใช้ก้านไม้จุ่มชาเขียวซึ่งอยู่รอบนอกมาแต้มเป็นหน้าตา จมูก ปาก หรือลายละเอียดต่างๆ เช่น หนวด เส้นขน นิ้วมือ

การทำลาเต้อาร์ตที่สวยงามต้องอาศัยความเร็วด้วย เมื่อได้ชาเขียวอุ่นๆมาแล้ว ต้องเตรียมสตรีมนมให้พร้อมกัน หากปล่อยทิ้งไว้ โฟมจะลอยตัวและเสียทรง ซึ่งสีของชาเขียวก็มีผลต่อลาย และสีบนลาเต้อาร์ตเช่นกัน นอกจากนั้นเวลาขึ้นลาย ให้เทนมอย่างต่อเนื่องจนจบลาย ถ้าหกก็เทต่อ อย่าหยุดพร้อมกับค่อยๆ พลิกข้อมือขึ้นลงช้าๆ ให้ลายในแก้วเสียหายน้อยที่สุด ซึ่งเวลาเท แนะนำให้เอียง Pitcher รับกับตัวแก้วประมาณ 45 องศา ยก Pitcher ให้สูงขึ้น วนนมให้เข้ากับชาเขียว ระวังไม่ให้นมที่เทลงไปโดนขอบแก้ว

ส่วนการสตรีมนม ก็คือ  การใช้เครื่องตีน้ำนมให้เกิดฟอง ซึ่งการสตรีมที่สมบูรณ์นั้นจะทำให้ได้ฟองนมที่เนียนนุ่ม โดยความร้อนที่ใช้ในการสตรีมนมควรอยู่ที่ 60-70 องศาเซลเซียส และจังหวะและน้ำหนักในการตีน้ำนมต้องเหมาะสม เคล็ดลับเพิ่มความอร่อยนี้คือการใช้ฟองนมที่เป็นนมโคแท้ๆ 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีปริมาณไขมันและโปรตีนสูง จึงให้รสชาติหอมมันมากกว่านมผสม เมื่อนำมาสตรีมจะให้เนื้อที่มีความเนียนละเอียด ไม่หยาบกระด้างเป็นฟองขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัด แต่ถ้าใครเคยได้ยินว่าชาเขียวใส่นมดื่มแล้วไม่ดี ควรดื่มแต่ชาเขียวเพียวๆ ลองศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ เรื่องชาเขียว กับนม ดูเพื่อความสบายใจในการดื่มชาเขียวแก้วโปรดของคุณ ^^

Matcha Latte Art Matcha Latte Art

นอกจากการทำลาเต้อาร์ตแบบปกติแล้ว จะเห็นว่าตามร้านคาเฟ่ช่วงหลังๆมานี้ ก็มีไอเดียน่ารักๆ สร้างสรรค์ฟองนมขึ้นมาแบบลาเต้อาร์ต 3 มิติ คือ การสร้างสรรค์ฟองนมให้เป็นรูปร่างที่นูนขึ้นเป็นมุมมอง 3 ด้าน หรือสูงเกินปากแก้วขึ้นมา เทคนิคในการทำอยู่ที่การทำฟองนมให้เนียนและมีความคงตัว สามารถตักมาปั้นและเขียนหน้าตาให้เป็นรูปแบบที่ต้องการ ไม่มีแบบตายตัว แล้วแต่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของผู้ทำ สัดส่วนในการทำเหมือนลาเต้อาร์ต แต่ใช้ฟองนมที่มากกว่านั้นเอง

ส่วนร้านไหนที่ยังไม่สามารถทำลาเต้อาร์ตบนชาเขียวได้เอง แนะนำให้เพิ่มความสวยงามบนเมนูชาเขียวด้วยกาใส่ฟองนมธรรมดาแล้วโรยผงชาเขียวแต่งหน้าเบาๆอีกที ก็ทำให้ชาเขียวลาเต้มีมิติขึ้น

Matcha Latte Art

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/452330356316089320/

weheartit.com

https://www.shutterstock.com/blog/instagram-worthy-photos-cafes

บทความจาก : Fuwafuwa

3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าชาเขียวอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ และยังมีส่วนช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ แม้จะมีหลายกระแสของการดื่มชาเขียว ทั้งเรื่องเวลาที่ควรดื่มชา หรือ การดื่มชาร้อนหรือเย็น แบบไหนได้ประโยชน์กว่ากัน ก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามชาเขียวก็ยังมีประโยชน์มากกว่าโทษอยู่ดี ซึ่ง 3 เหตุผลที่การดื่มชาเขียวทำให้คุณดู smart นั้นมาจาก

1. EGCG  สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว

EGCG เป็นคำย่อของโพลีฟีนอลที่เรียกว่า epigallocatechin-3-gallate ซึ่งมีความสำคัญในชาเขียว เพราะมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ และช่วยต้านอนุมูลอิสระและต่อต้านริ้วรอย เนื่องจาก EGCG เป็นสารต้านอนุมูลอิสระจึงสามารถทำลายอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดความชราและโรคภายในสมองของคุณได้ เนื่องจากสมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่อุดมไปด้วยออกซิเจน การรักษาความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นให้น้อยที่สุดจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง ซึ่ง EGCG นอกจากจะช่วยเพิ่มความจำของคุณแล้ว ยังช่วยเรื่องของการรับรู้ ทำให้คุณอยู่ในสภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น กล่าวคือ เมื่ออนุมูลอิสระโจมตีสมองอาจทำให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อในสมองซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโรค EGCG ที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบก็จะหยุดกระบวนการทำลายล้างภายในสมองเพื่อให้สมองของคุณแข็งแรงและทำงานได้ดีที่สุดนั่นเอง

smart

2.  L.Thenine (แอลธีอะนีน) มีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสมองโดยรวม เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะทำให้คุณทำงานที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น เพิ่มโดปามีนและเซโรโทนินและช่วยเพิ่มความจำ การศึกษาจากมหาวิทยาลัยจังหวัดชิกะ ยังแสดงให้เห็นว่า L.Thenine ยังเพิ่มความสามารถในการให้ความสนใจของบุคคลด้วยการเพิ่มการทำงานของคลื่นอัลฟาในสมองได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการตายของเซลล์สมองลดความวิตกกังวลและความเครียดและช่วยป้องกันภาวะเสื่อมเช่นพาร์คินสันและอัลไซเมอร์ เมื่อดื่มชาเขียว L.Thenine จะช่วยปกป้องสมองของคุณจากอันตรายและปรับเปลี่ยนคลื่นสมองเพื่อให้สมองของคุณตื่นตัวและมีสมาธิ แต่ไม่เครียด เพราะการทำงานของสมองที่ไม่ดีอย่างมากเกิดจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือจากโภชนาการที่ไม่ดีและการเครียดและวิตกกังวลมากเกินไป L.Thenine ในชาเขียวช่วยควบคุมสมองเพื่อให้มีเวลาเติมพลังในการนอนหลับอย่างเหมาะสม ส่งเสริมการนอนหลับพักผ่อนและช่วยลดความเครียดหรือความวิตกกังวลลงได้อย่างรวดเร็วทำให้จิตใจผ่อนคลายและสงบ เมื่อสมองของคุณสงบ แต่มีสมาธิคุณจะรับมือกับความท้าทายได้มากขึ้นและคิดได้ชัดเจนขึ้นโดยไม่รู้สึกหนักใจ

smart

3. สารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดอยู่ในชาเขียว จากการศึกษาเกี่ยวกับชาเขียวแสดงให้เห็นว่าสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว ช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเซลล์ซึ่งช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายร้อยชนิดในชาเขียวนอกเหนือจาก EGCG ซึ่งช่วยเพิ่มระดับโดพามีนในสมองและป้องกันสารพิษต่อระบบประสาท ยังมีการวิจัยทั่วโลกเพื่อจำแนกและทำการศึกษาอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับคุณลักษณะของสารต้านอนุมูลอิสระแต่ละชนิด อย่าวโพลีฟีนอลในชาเขียวช่วยควบคุมระดับกลูโคสในสมองซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แทนนินในชาเขียวช่วยในการซ่อมแซมดีเอ็นเอ นอกเหนือจากการป้องกันการตายของเซลล์ประสาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง และเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียว จึงควรเลือกชาที่มีคุณภาพสูงและคำนึงถึงขั้นตอนการชงที่ผ่านกรรมวิธีในระดับที่สูงกว่าชาอื่น ๆ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาลีเปรียบเทียบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในชาเย็นกับชาร้อนและพบว่าจริงๆแล้วชาเย็นมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าโดยสรุปว่าอุณหภูมิที่ร้อนจะทำลายคาเทชินบางส่วนในชา

smart

เคล็ดลับในการใช้ประโยชน์จากชาให้มากที่สุดสำหรับสมองคือ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ควรคำนึงถึงในการดื่มชาเขียว กล่าวคือ การเลือกชาที่มีคุณภาพสูงสุด ชาที่มีคุณภาพสูงกว่าจะเก็บสารต้านอนุมูลอิสระไว้ได้มากกว่าให้รสชาติดีขึ้นและควรปราศจากสารเคมีหรือยาฆ่าแมลง พยายามดื่มชาเขียวอย่างน้อยทุกวันเพื่อให้สมองได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระที่มีค่า ถ้าเป็นไปได้คุณควรหลีกเลี่ยงการบริโภคชาเขียวที่มีน้ำตาลเนื่องจากน้ำตาลจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แต่ชาเขียวมีสารประกอบตามธรรมชาติซึ่งจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัวตลอดระยะเวลาที่ยาวนานและผ่อนคลายมากกว่าการเติมพลังให้สมองของคุณด้วยการเร่งน้ำตาลนั่นเอง

smart

ที่มา

shorturl.at/dkKQT

https://www.pinterest.com/pin/407435097543999856/

บทความจาก : Fuwafuwa

ผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซได้มั้ย ??

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการตั้งผงมัทฉะไว้เฉยๆบนเคาน์เตอร์ครัว เมื่อผงมัทฉะสัมผัสกับองค์ประกอบต่างๆ เช่น ความร้อนและอากาศ มันก็จะสูญเสียรสชาติความสดใหม่และสารต้านอนุมูลอิสระได้

ความร้อนและความชื้น เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผงมัทฉะเหม็นอับได้ บางคนหลีกเลี่ยงความร้อนด้วยการนำเข้าตู้เย็นหลังใช้เสร็จ ซึ่งหากนำเข้าตู้เย็นเลยโดยไม่ทันระวัง ผงมัทฉะจะสามารถดูดซับกลิ่นที่รุนแรงได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นอาหารที่อยู่ในตู้เย็นจะถูกผงมัทฉะดูดมา แล้วชาเขียวแก้วโปรดของคุณก็จะรสชาติและกลิ่นเสียไป เพราะในชาเขียวจะมีสาร Catechins เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งภัยคุกคามอันดับหนึ่งของผงมัทฉะ คือ ออกซิเจน การออกซิไดซ์ทำให้สาร Catechins แย่ลง ดังนั้นผงมัทฉะจะต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทนั่นเอง ภาชนะที่ปิดสนิทก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในถุงซิปล็อค หรือถุงสุญญากาศก่อนเพื่อลดการเกิดออกซิไดซ์ให้มากที่สุด

นอกจากการหลีกเลี่ยงออกซิเจนแล้ว ควรเก็บผงมัทฉะในที่มืดเนื่องจากผงมัทฉะมาจากชาเขียวที่ปลูกในร่มชนิดพิเศษจึงต้องใช้เวลานานกว่ามากในการเจริญเติบโต ใบชาจึงผลิตคลอโรฟิลล์ในระดับที่สูงขึ้น แต่เนื่องจากแสงจะทำลายคลอโรฟิลล์เมื่อผ่านกระบวนการผลิตผงมัทฉะด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในที่มืดหรือภาชนะที่มืด (ไม่ใส) เพราะถ้าสัมผัสกับแสงมากๆ ผงมัทฉะอาจทำให้ชาที่ชงออกมามีรสชาติที่ไม่กลมกล่อม ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่แนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในภาชนะใสหรือโปร่งแสง หรือถ้าจำเป็นให้วางภาชนะใสไว้ในตู้สีเข้มที่ไม่ได้เปิดบ่อย และเมื่อหลังจากนำออกจากตู้เย็น ให้นำภาชนะเก็บชาตั้งไว้แบบปิดฝาและปล่อยให้อุ่นก่อนนำมาชง ก็จะได้มัทฉะแสนอร่อยตามเดิม

Freeze matcha

ส่วนบางคนนิยมยืดอายุอาหารด้วยการนำเข้าช่องฟรีซ จึงอาจเกิดความคิดที่ว่าหากนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซก็คงยืดอายุการใช้งานได้เช่นกัน

……คำตอบ คือจริง สามารถเข้าช่องฟรีซได้โดยเฉพาะคนที่นานๆเอามาชงสักที สามรถนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซไว้ก่อนได้ ทั้งนี้ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันกลิ่นจากอาหารคาวในตู้เย็น

แต่หากเป็นใบชาเขียวไม่แนะนำให้แช่ฟรีซ แต่สามารถแช่เย็นปกติได้ เพราะการแช่แข็งใบชา จะทำให้ชาไม่มีรสชาติ เพราะ ใบชามีความชื้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในแง่ของรสชาติและสารอาหาร การแช่แข็งชาจะทำให้ความชื้นกลายเป็นผลึกและทำลายโครงสร้างของเซลล์ใบทำให้รสชาติเปลี่ยนไป นอกจากนี้อุณหภูมิที่ต่ำจะลดกลิ่นหอมของชาลงไปอีกด้วย ซึ่งการแช่แข็งใบชา หากเราจัดเก็บไม่ดียิ่งทำให้เกิด freeze burn ขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเมื่อใบชาถูกจัดเก็บโดยไม่มีการปิดผนึกที่ดี จึงเกิดการคายน้ำและออกซิเดชั่นจากอาหาร ใบชาที่แช่แข็งจึงได้รับความเสียหาย

ดังนั้นการเก็บรักษาใบชา หากมีใบชาปริมาณมากเกินไปให้ใส่ไว้ในถุงกระดาษที่สะอาด จากนั้นนำมาห่อให้แน่นวางไว้บนจาน แล้ววางถ่านรอบๆห่อชาให้เต็ม นำมาเก็บไว้ในที่ที่ไม่โดนแสงแดด หรือหากใบชามีปริมาณน้อยให้ใส่ไว้ในกระป๋องเหล็ก แล้วใส่ซองกันชื้นลงไป หรือใช้ภาชนะดินเผาหรือภาชนะโลหะขนาดพอเหมาะมีฝาสองชั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อากาศเข้า หรืออาจจะใช้ภาชนะทึบแสงเพื่อนำไปเก็บในตู้ที่ทึบแสง ซึ่งการเก็บใบชาควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชาสูง

Freeze matcha

ข้อควรรู้เพิ่มเติมคือ ใบชาแต่ละชนิดอาจจะต้องใช้วิธีเก็บในอุณหภูมิที่เก็บรักษาต่างกัน หากเป็น ชาเขียว โดยเฉพาะถ้าเป็นชาใหม่จะต้องเก็บในที่แห้งและอุณหภูมิต่ำ และอาจจะเก็บใส่กระป๋องที่ปิดมิดชิด หรือไว้ในตู้เย็น ไม่ควรเก็บ ชาเขียวไว้ชงดื่มนานเกิน 12-18 เดือน ส่วน ชาอูหลงหรือชาดำสามารถเก็บใบชาไว้ได้ในอุณหภูมิปกติแต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดด และหลีกเลี่ยงการนำใบชาออกตากแดดเพราะแสงแดดจะทำลายคุณภาพของใบชา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความชื้นและรักษาอุณหภูมิของใบชาให้คงที่ ที่สำคัญควรเก็บใบชาไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดีนั่นเอง

ใบชาโดยปกติแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ซื้อ (ทางที่ดีควรดูจากวันหมดอายุด้วย) หากเกินนั้นรสของชาจะค่อย ๆ จางไปจนไม่เหลือกลิ่น อย่างไรก็ตามหากเก็บไม่ถูกวิธี กลิ่นของชาก็อาจจางลงได้ในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ซึ่งสิ่งสำคัญในการเก็บรักษาใบชาคือจะต้องหาทางทำให้กลิ่นของชาคงอยู่ได้นานที่สุดภายใต้สภาพที่แห้งและไม่โดนแสงนั่นเอง

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บผงมัทฉะและใบชาเขียว จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่เหมือนกันคือต้องการเก็บไว้ในที่เย็นและมืดห่างจากออกซิเจน เพราะถ้าผงมัทฉะเสื่อมคุณภาพ ก่อนเวลาที่หมดอายุ ก็เป็นปัจจัยให้ตีชาเขียวแล้วไม่เกิดฟองได้ ดูเพิ่มเติมที่ shorturl.at/zS148

ที่มา

https://gracematcha.com/blogs/blog

http://zengreentea.com.au/

บทความจาก : Fuwafuwa

How to เบลนด์ชาเขียวเองได้ด้วยตัวเอง

“ชาที่ดี ใบชาตั้งต้นต้องดี”  หัวใจสำคัญแรกเริ่มเลย ก่อนจะรู้จักการเบลนด์ชาเอง ใบชาตั้งตั้นที่กล่าวถึงนี้ ก็คือชาดำ ชาเขียว และชาอู่หลง พอได้ใบชาตั้งต้นดีแล้ว จะเอามาเบลนด์กับอะไร รสชาก็จะอร่อย หอมตามไปด้วย กล่าวคือ ชาเขียวที่เหมาะกับการนำมาเบลนด์เองได้นั้น ควรเป็นชาที่ปลูกในที่ภูเขาสูง อากาศเย็น อย่างที่ญี่ปุ่น ที่นั่นเขาจะดื่มชากันสดมากๆ เพราะผลิตผลเขาดีมาก ชาที่ดี จึงมักมีจุดตัดกันที่ แหล่งที่มาของชา การปลูก ดิน แหล่งชาไหนจะสร้างชามาได้เลิศกว่ากัน

แหล่งชา แหล่งชา แหล่งชา

เมื่อเราได้ชาตั้งต้นที่ดี ความสนุกและซับซ้อนของชายังอยู่ที่การเบลนด์ส่วนผสมอื่นเข้าไปเพื่อให้มีกลิ่นและรสที่มีมิติน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสมุนไพรที่นอกจากจะมีกลิ่นรสเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณดีๆ ที่ช่วยเรื่องสุขภาพอีกด้วย เช่น หากเลือก ดอกลาเวนเดอร์และกุหลาบตากแห้งดอกจิ๋วๆ ที่เติมความน่ารักให้ชา จะช่วยบำรุงระบบหมุนเวียนโลหิต พร้อมทั้งคลายเครียด ดอกคำฝอยช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แถมยังช่วยให้ชาสีสวย หากใครหลับยาก ถ้าเป็น ดอกคาโมมายล์และดอกหอมหมื่นลี้ช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นดอกเก๊กฮวยแก้ร้อนใน ดีต่อหัวใจ หรือถ้าเลือกผสม ดอกอัญชันแห้งก็จะช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายใบเตยแห้งช่วยลดไข้ บำรุงผิว และแก้ท้องผูก ตะไคร้แห้งช่วยขับลมและแก้คลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมตัวอื่นๆที่น่าลอง เช่น หญ้าหวาน ข้าวเหนียวดำ ขิง มะม่วง กระเจี๊ยบ ซินนาม่อน

การเบลนด์ชา การเบลนด์ชา

พอรู้จักสรรพคุณของชาแล้ว มาลองเริ่มเบลนด์ชากันเองดีกว่า หลักการง่ายๆ ของการเบลนด์ชาเบื้องต้น เริ่มต้นง่ายๆ จากการเลือกชาและสมุนไพรที่ชอบก่อน ต้องออกแบบรส และกลิ่นไว้คร่าวๆ ก่อนว่าต้องการรสแบบไหน ประมาณไหน อยากได้รสหลักเป็นอะไร แล้วค่อยๆ ใส่ลูกเล่นเข้าไปเพิ่ม หลักการง่ายๆ คือการค่อยๆ ปรับแก้จนได้รสที่ใกล้เคียงสิ่งที่คิดไว้ สัดส่วนใบชาและสมุนไพรที่แนะนำคือ ใบชา 3 ส่วน ต่อสมุนไพร 1 ส่วนใส่ลงถุงชา หรือที่กรองชา โดยลองสกัดชาที่เบลนด์แล้วด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 95 องศาเซลเซียส เทน้ำลงไปชาเหมือนเวลาชงชาปกติ เพราะจะได้ชาที่มีรสชาติพอดิบพอดี

สิ่งที่ต้องดูนอกจากรสชาติ คือ ดูสีสัน และกลิ่นที่เข้ากันได้ เช่น ไม่ควรใส่ดอกไม้ที่กลิ่นหอมทั้งคู่ กลิ่นจะตีกัน เช่น กุหลาบ กับ ลาเวนเดอร์ หรือควรจับคู่กลิ่นรสที่เสริมกัน เช่น ใบเตยกับตะไคร้ จะยิ่งให้ความสดชื่นในตอนดื่ม หากไม่แน่ใจ จะลองชงดื่มดูก่อนก็ได้ว่าได้กลิ่น สี และรสอย่างที่ต้องการหรือไม่

แต่การเบลนด์ชาก็ไม่ใช่ว่าจับอันนั้นผสมอันนี้ก็เสร็จ เพราะเรื่องสัดส่วนเป็นเรื่องสำคัญ สมุนไพร ดอกไม้บางชนิดกว่าจะแช่ในน้ำร้อนให้กลิ่นและสี ชาเขียวก็อาจจะถูกแช่จนขมไปหมด ส่วนที่ยากของการเบลนด์ชาคือ ไม่มีทางตัดสินได้ว่ารสชานั้นจะออกมาเป็นอย่างไรในการผสมของแห้ง สุดท้ายชาต้องถูกแช่ในน้ำร้อน กลิ่นและรสก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีกจากที่เราชอบ กว่าจะได้ชา 1 เบลนด์ต้องผ่านการลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้ง จนได้จุดที่สมดุลที่สุด

ส่วนร้านที่เริ่มเบลนด์ชาเองได้จนเชี่ยวชาญแล้ว สามารถต่อยอดชุดชาเบลนด์ เป็นชุดของขวัญ รวมชาสรรพคุณดีๆ กลิ่นหอมๆ ใส่โหลผูกโบ หรือแพ็คลงกล่องอย่างสวยงาม แทนกระเช้าอาหารแปรรูปที่วางขายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจและบ่งบอกถึงความตั้งใจในการคัดเลือกชาคุณภาพให้ผู้รับประทับใจ

ชุดชาเบลนด์ ชุดชาเบลนด์

ที่มา

http://www.lovecreatecelebrate.com/homemade-peppermint-tea/

https://creationsbyfc.com/products/tea-sampler-gift-set-10pc

https://www.anthropologie.com/wellness-teas-coffees-elixirs

http://www.womansday.com/health-fitness/10-healing-herbs-used-in-teas-75249

https://www.anthropologie.com/wellness-teas-coffees-elixirs

บทความจาก : Fuwafuwa

ความต่างของ”กาน้ำชา”

ชามีบทบาทในพิธีกรรมและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ในพิธีกรรมและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ในหลายวัฒนธรรม การชงชาไม่ได้ชงเพื่อรสชาติเท่านั้น แต่การชงชาได้เป็นการแสดงออกถึงศิลปะความงามอีกประเภทหนึ่ง จึงส่งผลให้การเลือกใช้กาชาของแต่ละคนอาจจะลืมนึกถึงประโยชน์ในการใช้งานไป

เวลาเลือกกาน้ำชา บางคนเลือกเพียงจากความสวยงาม และใช้งานถนัดมือ แต่ความจริงแล้ว เราจำเป็นต้องคำนึงว่ากานั้นๆจะใช้ชงชาใบหรือชาซอง หรือใช้แค่ใส่น้ำร้อนเทลงถ้วยชาวังสำหรับตีผงมัทฉะ นอกจากวัตถุประสงค์ในการใช้แล้ว จะเห็นว่า กาน้ำชา สามารถทำได้จากวัสดุที่หลากหลายเช่นกัน ทั้ง หิน ดินเผา แก้ว เหล็กหล่อ เงิน และสเตนเลส วัสดุแต่ละประเภทมีผลต่อรสชาติของชาและก็เหมาะกับการชงชาแต่ละประเภทแตกต่างกันไป

กาน้ำชา กาน้ำชา

หากต้องการชงชาใบตะกร้ากรองชาที่มากับกาน้ำชาก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องดูความถี่ของตะแกรงให้ดี ไม่เช่นนั้น อาจจะมีใบชาเล็ดลอดออกมาตอนเท ทำให้เสียรสชาติการดื่มชาได้

หากเป็นกาชา “เครื่องกระเบื้อง” เป็นเครื่องปั้นดินเผาสีขาวขุ่นคุณภาพดีที่ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูง กาน้ำชาเครื่องกระเบื้องใช้ได้ดีกับชารสอ่อน เช่น ชาเขียว ชาอู่หลง และชาดำอ่อนๆ ยอมชาดาร์จีลิง แต่ถ้าเป็น กาชา”เหล็กหล่อ”เหล็กหล่อถูกใช้เพื่อทำภาชนะสำหรับต้มน้ำด้วยกองไฟเพราะเหล็กจะร้อนได้เร็วและรักษาความร้อนไว้ได้ดีเมื่อมีอุณหภูมิตามที่ต้องการแล้ว การใช้กาน้ำชาแบบเหล็กมาหล่อต้มชาเกิดขึ้นในช่วงที่เซนฉะเริ่มได้รับความนิยมในญี่ปุ่น

โดยกาน้ำชาเหล็กหล่อมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับกาน้ำชาดินเผาแบบไม่เคลือบ เพราะมันจะดูดซับรสชาติบางส่วนของชาไว้ดังนั้นจึงไม่ควรใช้น้ำยาล้างจานล้างกาน้ำชาเหล็กหล่อ และควรทำให้แห้งสนิทเพื่อป้องกันสนิม

กาชาอีกประเภทที่เห็นทั่วไปคือ กาชา “แก้ว” วัสดุที่ไม่ค่อยจะเหมาะแก่การทำกาน้ำชาเพราะมันเก็บกักความร้อนได้น้อย เปื้อนง่าย และเปราะบาง เหมาะสำหรับการชงชาที่มีความสวยงามโดยเฉพาะชาดอกไม้บานเพราะเราจะเห็นใบชาที่กำลังคลี่ออกอย่างสวยงาม นอกจากนี้คุณยังรู้ด้วยว่าชาของคุณเข้มพอหรือยัง และกาน้ำชาแก้วมักจะมาพร้อมกับเตาอุ่นที่ให้ใส่เทียนเข้าไปด้านล่างเพื่อรักษาให้ชาอุ่น

กาชา “ดินเหนียว”  ยิ่งอุณหภูมิที่สูงเท่าไหร่ เครื่องปั้นดินเผาที่ได้ออกมาก็จะแข็งแรงขึ้นเท่านั้น กาชาประเภทนี้จะสามารถเก็บรักษาความร้อนได้ดีกว่าประเภทอื่น โดยธรรมชาติแล้วเครื่องปั้นดินเผาแบบไม่เคลือบที่ทำจากดินเหนียวที่มีรูพรุนช่วยให้การน้ำชาดูดซึมกลิ่นและรสชาติของชาในกาได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามคำแนะนำสำหรับการใช้เครื่องปั้นดินเผาที่ไม่เคลือบ คือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาล้างจานเพราะมันจะดูดเอารสน้ำยาล้างจานไว้ ควรล้างด้วยน้ำเย็นจนแน่ใจว่าไม่มีเศษใบชาเหลืออยู่และนำไปตากให้แห้ง

กาน้ำชา กาน้ำชา

ส่วนกาน้ำชาที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่นที่ถูกเลือกมาเพื่อสะท้อนช่วงเวลาของปีหรือแต่ละโอกาส โดยการออกแบบตัวกาน้ำชาและอุปกรณ์ชงชาอื่นๆ จะสื่อถึงฤดูที่กำลังเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิไปเป็นฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง

อย่างไรก็ตามการชงชาที่อร่อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาน้ำชาเพียงอย่างเดียว จริงหูที่กาน้ำชาที่ดีต้องน้ำหนักเบา เก็บความร้อน รินน้ำแล้วไม่หยด เมื่อเอียงกากลับมาน้ำต้องหยุดทันที ไม่ไหลเปียกโต๊ะ และฝากาต้องแน่นหนาพอให้เมื่อรินน้ำชาแล้วฝาไม่หลุดออกมา กาน้ำชาเซรามิกบางรุ่นหนักมาก ทำให้ควบคุมปริมาณน้ำที่เทออกมาได้ยาก แถมยังไม่เก็บความร้อน

อย่างระดับอุณหภูมิของน้ำร้อนเป็นสิ่งสำคัญมากในการชงชา ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชาแต่ละชนิด ถ้าเป็น ชาขาวหรือ ชาเขียวที่ต้องการความสดใหม่ ควรใช้น้ำร้อนประมาณ 85 องศาเซลเซียส ชาอูหลงประมาณ 90 องศาเซลเซียส ชาแดงหรือ ชาพูเอ่อร์ประมาณ 100 องศาเซลเซียส

กาน้ำชา

อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ควรอุ่นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชงชาก่อนด้วยการลวกน้ำร้อน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะต่อให้ต้มน้ำร้อนได้อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับชงชาแล้ว แต่ถ้ากาน้ำชาและแก้วที่ใช้ยังเย็นอยู่ เมื่อเทน้ำร้อนลงไปอุณหภูมิของน้ำก็จะลดลง ทำให้ดึงรสชาติชาออกมาได้ไม่เต็มที่นั่นเอง

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/337066353331099228/

บทความจาก : Fuwafuwa

ถุงชาอันตรายจริงหรือ…… ?

ชาที่เราซื้อตามซุปเปอร์เพื่อมาชงทานเองที่บ้าน มีทั้งแบบใบ ให้เรามาใส่ที่กรองชาเอง สำหรับคนที่ชื่นชอบการชงชาเองและมีเวลาในการพิถีพิถันดื่มด่ำกับการดื่มชา แต่ถ้าสายเร่งด่วน ขอสะดวกไว้ก่อนก็จะนิยมซื้อชาแบบที่แพ็คในถุงชา ที่จะมีเชือกยาวๆห้อยออกมาพร้อมติดแท็กโลโก้แบรนด์ เพียงแค่นำถุงชานั้นมาใส่น้ำร้อนแล้วก็ทิ้งไว้ ก็จะได้ดื่มด่ำกับชาอุ่นๆเข้มข้น

ถุงชา

แต่ช่วงหลังๆมาที่ทุกคนเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถึงกับมีงานวิจัยออกมาเลยว่า ถุงชาพลาสติก 1 ใบ ปล่อยไมโครพลาสติก 11.6 พันล้านอนุภาค และปล่อยนาโนพลาสติกซึ่งขนาดเล็กจิ๋วยิ่งกว่า อีกจำนวน 3.1 พันล้านอนุภาค คิดรวมเป็นปริมาณละอองพลาสติกประมาณ 16 ไมโครกรัมต่อชา 1 แก้ว เป็นปริมาณที่สูงกว่าการปนเปื้อนพลาสติกในอาหารทุกชนิดที่เคยมีการรายงานก่อนหน้านี้ แม้จะยังไม่มีรายงานถึงผลของการกินไมโครพลาสติกเข้าไป แต่เพื่อสุขภาพที่ปลอดภัย และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยแล้ว ควรเริ่มจากการสังเกตง่ายๆว่าถุงชาแบบไหนที่ไม่ควรใช้

tea bag

ถุงชาพลาสติกที่มีเนื้อผ้าตาข่ายดูวาวๆ ส่วนใหญ่เป็นถุงทรงปิระมิดฐานสามเหลี่ยม เป็นถุงชาที่ไม่ควรใช้เลย ถ้าจำเป็นต้องใช้ถุงชาจริงๆ แนะนำให้เลือกแบบถุงสีขาวที่ดูคล้ายกระดาษ ซึ่งอาจจะหายากหน่อยในท้องตลาดบ้านเรา ถ้าเป็นไปได้ แนะนำให้ใช้การชงด้วยการกรองใบชาออกด้วยที่กรองแสตนเลสที่มีให้เลือกหลายรูปแบบ หลายขนาดตามปริมาณใบชาที่ต้องการชง ล้างซ้ำใช้ได้บ่อยเท่าที่ต้องการ หรือถ้าใครยังเคยชินกับการชงชาโดยใช้ถุงชา แนะนำให้หาซื้อเฉพาะถุงชากระดาษ 100% ที่ไม่ฟอกขาว แล้วซื้อใบชาเป็นห่อใหญ่ๆมาตักใส่ถุงชาเองอีกวิธีคือถุงกรองชาชนิดผ้ากรองเศษใบชาเล็กๆ ได้ดีกว่าตะแกรงกรองสเตนเลส แถมยังล้างตะกอนใบชาออกง่าย และใช้ซ้ำได้นานหลายรอบเช่นกัน

ตะแกรงร่อนชา

อย่างไรก็ตามใครที่ใช้ถุงชากระดาษเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งเอาไปทิ้งทันทีนะ เพราะมันยังมีประโยชน์มากกว่าที่คิด เช่น

  • ถุงชาที่ใช้แล้วรองก้นกระถาง โดยวางปิดไว้ที่รูระบายน้ำ จากนั้นก็ค่อยเทดินและปลูกต้นไม้ลงไป ถุงชาก็จะช่วยรักษาความชื้นและน้ำในดินเอาไว้ ไม่ให้ระบายออกมาเร็วเกินไป แถมยังเป็นการเพิ่มสารอาหารให้กับดินไปพร้อมกันด้วย
  • กลิ่นติดมือที่ใช้สบู่ล้างไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกระเทียมหรือหัวหอมก็กำจัดไม่ยาก โดยนำถุงชามาถูมือให้ทั่ว ทั้งฝ่ามือและตามซอกนิ้ว จากนั้นก็ใช้สบู่ล้างมือตามปกติ เพียงแค่นี้กลิ่นเหม็นก็หายไปแล้ว
  • เอาถุงชาที่ใช้แล้วนำไปตากแห้ง แล้วใส่ทิ้งไว้ในรองเท้า 1 คืน ก็ไม่เหลือกลิ่นเหม็นจากรองเท้าให้กังวลอีกต่อไป
  • หย่อนถุงชาที่ใช้แล้ว 2-3 ถุงลงไปในอ่างจานล้างจานที่แช่จาน แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ถุงชาก็จะช่วยดักจับคราบมันเอาไว้ แค่ล้างตามปกติ จานที่มีคราบมันมากๆก็จะกลับมาสะอาดวิ้ง
  • หยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปเปอร์มินต์ลงไป แล้ววางไว้ตามกล่อง ลิ้นชัก ตู้เก็บของ หรือบริเวณที่มักจะมีแมลงมาทำรัง ก็ช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์อันตราย เช่น มดหรือแมงมุม กลับมาอีก
  • แก้ปัญหาตาบวม เนื่องจากชามีสารแทนนินที่มีคุณสมบัติสามารถลดอาการบวมได้ ดังนั้น หลังจากที่เราใช้ถุงชาเสร็จแล้ว ควรนำถุงชาที่กำลังอุ่นๆ อยู่นั้นมาวางแปะลงบนเปลือกตาประมาณ 5-10 นาที อาการตาบวมก็จะค่อยๆ บรรเทาลงและหายไปได้
  • บรรเทาอาการแสบร้อนจากแสงแดด เพียงนำถุงชาไปแช่ตู้เย็นสักครู่เพื่อให้ความเย็น จากนั้นนำมาประคบลงบนผิวที่มีอาการแสบร้อน นอกจากผิวที่ได้รับความแสบร้อนจากแดดเผาแล้ว การที่ผิวของเราไปถูกความร้อนอย่างอื่นมาก็สามารถใช้ถุงชาเย็นๆ มาประคบได้เช่นเดียวกัน

ที่มา

https://theherbalacademy.com/free-ebook-herbal-tea-throughout-the-seasons/

http://katescreativespace.com/2012/09/09/tea-with-a-twist/

https://www.sanook.com/women/79957/

บทความจาก : Fuwafuwa

ชา ทำ cold brew ได้มั้ยนะ…?

หลายคนอาจจะคุ้นชินกับกาแฟ Cold Brew ซึ่งเป็นกาแฟที่มีความหวานมากกว่ากาแฟที่ชงด้วยวิธีอื่นเนื่องจากมีกรดต่ำ เพราะใช้น้ำเย็นสกัดระดับคาเฟอินในปริมาณต่ำเมื่อเทียบกับกาแฟที่ชงด้วยน้ำร้อน ซึ่งคอชาเลยอาจจะสงสัยว่า ชา สามารถนำไปผ่านกรรมวิธีเช่นเดียวกับการทำ Cold Brew กาแฟได้มั้ยนะ?

Tea Cold Brew

หลักของการทำ Cold Brew คือ การสกัดเย็น สามารถใช้ได้ทั้งน้ำที่อุณหภูมิห้อง หรือจะใช้น้ำเย็น 5-15 องศาก็ได้ ตามปกติแล้ว ถ้าเราใช้น้ำร้อนชงชา คาเตชินและคาเฟอีนในใบชาจะออกมากับน้ำร้อน เพราะสารสองตัวนี้ละลายที่อุณหภูมิสูง ราว 80-90 องศาขึ้นไป สารสองตัวนี้จะให้รสขม ในขณะที่รสอุมามิของชาที่หลายคนชอบดื่มด่ำ ซึ่งเกิดจากกรดอะมิโน จะละลายที่อุณหภูมิตั้งแต่ 60 องศาขึ้นไป ดังนั้น พวกชาเขียวที่อุดมไปด้วยรสอุมามิ อย่างเกียวขุโระ จึงต้องชงด้วยน้ำอุณหภูมิ 40-60 องศา

ดังนั้นหากเราแช่ใบชาในน้ำเย็น รสขมของชาจะออกมาน้อยกว่าการชงแบบร้อน เหมาะสำหรับคนชอบดื่มชารสนุ่มๆ แบบอูมามินั่นเอง

Tea Cold Brew Tea Cold Brew

วิธีการทำชา cold brewทั้งชาดำ ชาอู่หลง

  1. ใช้ใบชา 4 กรัม ต่อน้ำ 200-250 มล
  2. นำใบชาใส่ถุงชาใช้แล้วทิ้ง
  3. นำถุงชาที่ใส่ใบชาแล้วแช่ลงไปในน้ำ ปิดฝาให้แน่น
  4. นำชาแช่ในตู้เย็น เป็นระยะเวลา 6-12 ชั่วโมง
  5. พอครบ ให้ดึงถุงชาออก ชาที่เย็นแบบนี้ สามารถเก็บได้ในตู้เย็นราว 3-4 วัน รสชาติก็ไม่เปลี่ยน ไม่มีความขมเพิ่ม

แต่ข้อควรระวังสำหรับชาเขียว จะขมได้ง่ายมาก ให้ลดปริมาณชาลง เหลือใบชา 3 กรัม ต่อน้ำ 500 มล. และแช่ชาเพียง 3-6 ชั่วโมง  และปกติแล้ว เวลาชงร้อนเรามักได้ กลิ่นหอมจากการชง แต่การชงชาแบบ Cold brew จะไม่มีกลิ่นหอมชวนดื่ม

แม้ว่าใบชาที่ผ่านการ cold brew แล้ว อาจจะนำมาชงร้อนซ้ำได้อีกสักครั้ง แต่รสชาติจะเหลือน้อยแล้ว แนะนำให้ทิ้งไปเลยจะดีกว่า

ส่วนการใช้ผงชาเขียวทำ Cold Brew นั้น ให้ใช้ผงชา 1 ช้อนชาลงไปในขวดที่มีฝาปิด และเทน้ำลงไป 1.5 ถ้วย ปิดฝาแล้วเขย่าประมาณ 15 วินาทีเป็นอันเรียบร้อย

Tea Cold Brew

ที่มา

https://pickledplum.com/cold-brew-tea/

https://theteacupoflife.com/2019/04/cold-brew-matcha.html

https://matchaoutlet.com/blogs/recipes/cold-brew-summer-matcha-drink

บทความจาก : Fuwafuwa

โรยผงมัทฉะบนขนมยังไงให้ดูน่าทาน?

ตามปกติแล้วชาเขียวที่ใช้ทำเบเกอรี่นั้น ใช้ได้ทั้งชาเขียวแบบใบและแบบผง ถ้าใช้แบบใบต้องนำไปชงในน้ำร้อนแล้วกรองใบชาออกก่อนใช้ เราจึงนิยมใช้แบบผงมากกว่าเพราะใช้งานได้กว้างกว่า สามารถใช้ได้ทั้งแบบแห้งหรือนำไปชงแล้วใช้แบบน้ำได้ด้วย ซึ่งหลายคนที่เลือกใช้แบบผงมาทำขนมแล้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับการแต่งหน้าขนมที่ไม่เป็นตามที่คิดไว้

การโรยผงมัทฉะลงไปที่ขนมแล้วซึมลงไปในเนื้อเค้กนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะผงชามันจะดูดความชื้นเข้ามาจนเปียกเมื่อทิ้งไว้นานๆ นั้นเอง สีจึงอาจจะไม่เรียบเนียน

matcha cake matcha cake

ทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับการแต่งหน้าขนม คือ ให้โรยตอนที่จะเสิร์ฟ หรือใกล้ๆช่วงเวลาที่จะทานเพื่อให้สีเขียวเรียบเสมอกัน และแนะนำให้ก่อนโรยผงมัทฉะ พักหน้าเค้กไว้ในตู้เย็นไม่ต้องเอาอะไรคลุม ให้หน้าเค้กแห้งขึ้น สัก 2 ชม. จะทำให้ผงมัทฉะติดง่ายขึ้นไม่ละลายซึมลงไป หรือในกรณีที่ต้องการตกแต่งหน้าขนมเป็นลวดลาย หลังจากนำเค้กออกจากตู้เย็น วางกระดาษทาบไปบนหน้าเค้ก ไม่ต้องกด แล้วโรยผงมัทฉะด้วยกระชอนตาถี่ๆให้ทั่วตามรอยที่บุไว้ (ขั้นตอนนี้ต้องทำให้รวดเร็ว)

อย่างไรก็ตามบางคนก็นำผงมัทฉะผสมน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อย จะช่วยได้พอประมาณ เพราะในน้ำตาลไอซิ่งมีแป้งข้าวโพดจะช่วยกันความชื้นระดับหนึ่ง หรือใช้ผงมัทฉะเฉพาะสำหรับโรยหน้าขนม แต่ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าผงมัทฉะปกติ มีขายตามร้านทำขนมที่ญี่ปุ่

ส่วนใครที่ไม่มีน้ำตาลไอซิ่ง สามารถน้ำตาลไปป่นจนละเลียดและผสมแป้งข้าวโพดเข้าไปประมาณ 3% ก็จะมีลักษณะที่เป็นเหมือนน้ำตาลไอซิ่ง ใช้แทนกันได้

อีกข้อควรระวังในการโรยผงมัทฉะลงบนขนม คือ เรื่องสี รสชาติ และกลิ่น กล่าวคือ สีของผงมัทฉะ ยิ่งเขียวสดเข้ม จะยิ่งมีความขมน้อยมากๆเป็นมัทฉะที่ได้รับการดูแลอย่างดี สายพันธุ์ดี แต่ถ้าสีเขียวอ่อน คือผลิตจากใบชาที่เกรดรองลงมา ผลิตจากใบชาเขียวใบโตที่ได้รับแสงแดดมานาน ใครที่เป็นขั้นเทพเรื่องชาเขียวพอเห็นหน้าตาขนมเลยจะรู้ได้เลยว่าใช้ชาเขียวเกรดไหนในการทำขนม แต่วิธีเพิ่ม value ให้ขนมได้อีกทาง คือ การเขียนText สั้นๆ ว่าที่ร้านใช้ผงมัทฉะเกรดพรี่เมี่ยมจากที่ไหน ก็จะทำใ้ขนมมีมูลค่ามากขึ้น เพราะ บางคนไม่รู้ว่าสีเขียวเข้มๆที่เห็นเป็ฯผงชาเขียวแท้ๆ หรือเป็ฯการผสมสีผสมอาหารนั่นเอง

นอกจากนั้นรสของชาปกติจะมีความหวานในตัวนิดๆ ขมหน่อยๆ ฝาดพอรู้สึกได้ แต่ถ้าชาเกรดรองๆลงมา จะยิ่งขมและฝาดมากขึ้น เพราะฉะนั้น การเลือกผงชาเขียวที่ใช้โรยหน้าขนมก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

matcha

ที่มา

https://bit.ly/2S6UsG2

Tastykitchen.com

http://cookingwithjapanesegreentea.blogspot.com/

https://www.justonecookbook.com/

http://www.landsandflavors.com/vegan-matcha-mousse-cake/

บทความจาก : Fuwafuwa

น้ำแข็งแบบไหนเหมาะกับการทำเครื่องดื่มมากที่สุด

เคยเป็นมั้ยที่ชงเครื่องดื่มออกมาดื่มเพียวๆอร่อยมาก แต่พอเทน้ำแข็งลงไป รสชาติกลับไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้จะใช้วิธีในการคำนวณแบบง่ายๆที่หลายร้านใช้กันอย่างน้ำแข็งเต็มแก้ว 16 oz จะต้องใส่เครื่องดื่มที่ผสมส่วนผสมตามสูตรแล้วปริมาณ 6 oz หรือ 180 ml ถึงจะได้เครื่องดื่ม และ น้ำแข็ง ที่เต็มแก้วขนาด 16oz พอดิบพอดี แต่ก็กลับเจอปัญหาอีกที่ บางครั้งแค่เปลี่ยนแบบน้ำแข็งที่ใช้ในการชงเครื่องดื่มรสชาติก็เปลี่ยน เพราะหลายคนคิดไม่ถึงว่าน้ำแข็งแต่ละรูปทรงก็ส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำแข็ง วัตถุดิบธรรมดาที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จะทำให้ร้านคุณมีเอกลักษณ์ และทำให้ลูกค้าประทับใจได้มากขึ้นได้

ice

น้ำแข็งหลอดที่มีรูข้างในทำให้มีผิวสัมผัสเยอะ ก้อนใสไม่มีตะกอน หลายร้านมักซื้อเครื่องทำน้ำแข็งแบบนี้ไว้ที่ร้าน เพราะข้อดี คือ เย็นนานกว่า 3-4 ชม ขึ้นไป หลายๆร้านให้ความนิยมในการใช้ แต่ให้ความเย็นช้ากว่าเล็กน้อยice cube

น้ำแข็งสี่เหลี่ยมน้ำแข็งยอดนิยม มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคุณสมบัติการละลายช้ากว่าน้ำแข็งประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความหนาแน่นสูง สามารถรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้นาน แม้จะอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ก็อยู่ได้หลายชั่วโมง และเป็นน้ำแข็งที่มีความสวยงาม ทำให้เครื่องดื่มดู สวยงามน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะสำหรับเครื่องดื่มที่ไม่ต้องการให้น้ำแข็งทำลายรสชาติของเครื่องดื่ม เช่น ค็อกเทล, กาแฟเย็น, น้ำหวานชงดื่มชนิดต่างๆ

น้ำแข็งเกล็ดกรอบเป็นรูปทรงที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น มีขนาดเล็ก ไม่แข็งมาก ถือว่าเป็นน้ำแข็งที่เคี้ยวง่ายที่สุด กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องการให้เครื่องดื่มมีอุณหภูมิที่เย็นเร็ว ไม่ได้ซื้อกลับ จะนิยมใช้แบบนี้มากกว่า เพราะน้ำแข็งประเภทนี้จะละลายเร็วมากเช่นกัน ยิ่งถ้าอากาศร้อนๆ ไม่ถึง 30 นาทีละลายเกือบหมดแก้ว จึงไม่ค่อยนิยมใช้ แต่จะเหมาะสำหรับเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ชา, กาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มปั่น เช่น สมูทตี้, ค็อกเทลปั่น หรือน้ำแข็งใส เพราะจะได้เนื่อน้ำแข็งที่เนียนนุ่มทำให้เครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมดี

น้ำแข็งถ้วย ทรงสวยดูแปลกตา วิบวับเหมือนคริสตัล มีรูปทรงและขนาดที่แน่นอน เพราะผลิตจากบล็อคน้ำแข็งที่ได้มาตรฐาน ไม่มีรูตรงกลางเหมือนน้ำแข็งทั่วไป จึงเป็นคุณสมบัติพิเศษทำให้น้ำแข็งละลายช้า ไม่ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยน บวกกับความที่ก้อนน้ำแข็งมีขนาดใหญ่และหนา มีความแวววาว สวยงาม นิยมใส่น้ำแข็งถ้วยในเครื่องดื่มที่ดูดีมีระดับ เลิศหรู ราคาแพง เหมาะสำหรับเครื่องดื่มระดับ High-end เช่น Whisky on the rocks, บรั่นดี หรือ ค็อกเทล Old Fashioned

ice matcha ice matcha

เทคนิคที่บางร้านนิยมใช้กันสำหรับการทำเมนูเครื่องดื่มเย็น อย่างพวกชา กาแฟ คือการพยายามทำให้ชา กาแฟ เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเอาไปเทใส่น้ำแข็ง บางร้านก็ใช้วิธีการเอาเอสเฟรสโซ่ช็อตไปแช่ในถังน้ำแข็ง พวกนมที่ต้องใส่ในเครื่องดื่มแก้วนั้นก็แช่เย็นไว้ตลอด จะช่วยให้เวลาเทใส่น้ำแข็ง น้ำแข็งจะละลายช้าลง

อีกประเด็นควรรู้สำหรับผู้ประกอบการขายเครื่องดื่ม คือ การใส่น้ำแข็งก่อนหรือหลังเทเครื่องดื่มลงไป มีผลต่างกันยังไงนั่นเอง

ถ้าใส่น้ำแข็งก่อน ราดน้ำเครื่องดื่มที่ผสมแล้วตามลงไป ในกรณีที่น้ำเครื่องดื่มร้อน มันจะละลายเอาน้ำแข็งลงไปด้วย ทำให้รสชาติแก้วนั้นจืดลง เว้นแต่มีการน็อกเครื่องดื่มนั้นก่อนเทตามที่กล่าวมาข้างต้น (ซึ่งปกติไม่ทำกันเพราะมันช้า ลูกค้าหลายคนไม่สามารถรอได้ )

แต่ถ้าใส่เครื่องดื่มก่อน แล้วค่อยตักน้ำแข็งใส่ลงไป วิธีนี้อาจทำให้เครื่องดื่มบริเวณด้านล่างยังอุ่นอยู่ ซึ่งมักดูดเจอเพราะ หลอดกาแฟจุ่มอยู่ด้านล่าง ทำให้รู้สึกว่าไม่เย็นชื่นใจ น้ำแข็งจะลอยอยู่เหนือเครื่องดื่ม

บางร้านจึงใช้วิธีใส่น้ำแข็งลงไปส่วนนึงก่อน เติมเครื่องดื่มลงไป เอาช้อนคนกาแฟยาว คนเร็วๆสักสิบวินาที แล้วค่อยเติมน้ำแข็งให้เต็มแก้ว ปิดฝาเสิร์ฟ ผลที่ได้ คือ ดูดแรกที่ลูกค้าได้จะมีความเย็นทันที

ลองเอาไปปรับกับสูตรที่ร้านของแต่ละร้านดูนะคะ เพื่อความอร่อยเข้มข้น กับสูตรของที่ร้าน

ที่มา

https://bit.ly/2VbXVVD

https://bit.ly/2K7Yh9x

www.ohhowcivilized.com

http://www.buzzfeed.com/lucyh3/35-things-you-appreciate-about-america-after-livin-147h?sub=2337227_1274821

บทความจาก : Fuwafuwa