รวมเทคนิคการถ่ายชวนลูกค้าเข้าร้าน

ยุคโซเชียลแบบนี้ภาพที่เราใช้โพสต์ลงโซเชียลของร้าน ส่งผลต่อลูกค้าอย่างมาก ยิ่งภาพสวย ดูแล้วน่าทาน ยิ่งทำให้ลูกค้าอยากเข้ามาลองมากขึ้น มาดูเทคนิคการถ่ายภาพที่ใครเห็นแล้วก็อยากเข้าร้าน โดยต้องคำนึงไว้เวลาถ่ายว่า ถ่ายอย่างไรให้เพื่อนหิว ทำได้โดยการเข้าไปใกล้ๆ แล้วดูว่าในจานนี้มีสิ่งใดที่น่าจะยั่วน้ำลายได้ดีที่สุด ซูมถ่ายโดยให้สิ่งสิ่งนั้นเด่นที่สุดไปเลย

matcha matcha

1. เน้นใช้สีโทนอุ่นในการถ่าย  ลดแสงสว่างของภาพลงหน่อย แต่อย่าลดมากเกินไปจะทำให้อาหารดูหมอง ไม่เห็นรายละเอียดของสิ่งที่กำลังถ่าย ถ้าจะให้ดีให้ใช้แสงธรรมชาติจะดีที่สุด พยายามเลี่ยงการใช้แฟลชของมือถือที่ใช้ถ่ายภาพ เนื่องจากจะทำให้เกิดเงา และทำให้อาหารดูแบน ไม่มีมิติ หากแสงไม่พอจริงๆ ควรใช้มือถือเครื่องอื่นส่องไฟมาในระยะห่างๆ จะดีกว่า  และให้ความสำคัญกับเงาจกแสงธรรมชาติ เพราะจะทำให้ภาพเูสมจริง น่าค้นหามากขึ้น

matcha shooting

2.ถ่ายด้วยมุมที่เรานั่งทานอาหาร และมี Action กับอาหารบ้างเป็นการช่วยเพิ่มชีวิตชีวาและเรื่องราวให้กับภาพถ่าย การจับภาพช่วงเวลาต่างๆ เช่น ขณะกำลังเทนมลงในแก้วชา ขณะที่กำลังจะยกชาขึ้นมาดื่ม เห็นมือ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายบ้าง จะทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น

shooting shooting shooting

3.ทำขนาดภาพเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นขนาดอัตราส่วน 1:1 หรือ Square เป็นที่นิยมค่อนข้างมาก เพราะรูปขนาดนี้จะช่วยทำให้เราเห็นดีเทลของอาหารได้ชัดขึ้น เห็นได้ใกล้ขึ้น ก็จะดูน่าทานมากขึ้นไปด้วย

4.ลองเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆเข้าไปในภาพ ภาพอาหารแบบที่ใส่ในจานหรือถ้วยแบบเดิมๆอาจจะดูน่าเบื่อเกินไปสำหรับบางคน ลองวางของตกแต่งอื่นๆที่แปลกตาไว้ข้างๆจาน อาจจะเป็นของที่เกี่ยวข้องกันอย่างฉะเซน กาชา ในขณะชงชา หรือ ต้นไม้  ผ้าสวยๆสักผืน ขณะดื่มชา จะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ๆ และทำให้ภาพดูสวยแปลกตาขึ้นได้

shooting shooting shooting

5.ถ่ายภาพจากด้านบนตรงๆ เพื่อเน้นสีสันและรูปทรง โดยถ่ายภาพจากด้านบนตรงๆเช่น จากมุมสูงเมื่อคุณสามารถหาตำแหน่งถ่ายภาพได้แล้ว ขยับเข้าใกล้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าบางส่วนของจานจะต้องหลุดเฟรมภาพไปก็ตาม แต่จะทำให้อาหารเครื่องดื่มนั้นๆ ดูน่าทานมากยิ่งขึ้นจะทำให้เห็นรายละเอียดของอาหารครบ และดูน่ารับประทาน มากกว่าการถ่ายแนวราบ หรือ 45 องศา ที่อาจจะเห็นเพียงแค่บางส่วน 

shooting shooting

6.หาจุดเด่นของภาพ จัดภาพให้เมนูที่ต้องการเด่นนั้นดูชัด ใช้สีพื้นหลังเรียบๆ เช่น นำมาวางด้านหน้า หรือถ่ายโดยเน้นจานนั้นเป็นพิเศษ ก็จะทำให้ภาพไม่ดูรกจนเกินไป การเว้นที่ว่างในภาพบ้างก็ช่วยเพิ่มความสบายตา และทำให้เมนูที่ต้องการเน้น เห็นชัดมากขึ้น

shooting

  1. อย่าลืมที่จะถ่ายภาพเมนูอาหารให้เห็นบรรยากาศของที่ร้านบ้างเพื่อให้คนที่เห็นภาพร้านเราในโซเชียล ได้ซึมซับบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามกับเครื่องดื่ม ขนมที่ดูน่าทาน ว่าถ้าได้ไปอยู่ที่ร้านนั้นจริงๆ จะรู้สึกดีแค่ไหน

ลองปรับสไตล์การถ่ายภาพเมนูที่ร้านของคุณให้เหมาะกับบรรยากาศร้าน และคอนเซปต์ของร้าน ก็จะช่วยให้เมนูนั้นๆน่าทานมากยิ่งขึ้นได้นะ ^^

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/374713631499402090/

https://www.flickr.com

https://www.ohhowcivilized.com/matcha-latte/

http://matchaeologist.com/

https://www.notonthehighstreet.com

https://tendingthetable.com

บทความจาก : Fuwafuwa

ชา กับ กาแฟ เครื่องดื่มที่เป็นที่นิยม

ถ้าพูดถึงเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมทั่วโลก คงหนีไม่พ้น ชาและกาแฟเห็นได้จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความนิยมเครื่องดื่ม 2 ชนิดนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะไปที่ไหนๆ ก็มีร้านชา หรือกาแฟ เต็มไปหมด แน่นอนว่า ทั้งชาและกาแฟมีคาเฟอีนเหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งหลังจากเราดื่มชาหรือกาแฟเข้าไปแล้วจะรู้สึกตื่นตัวด้วยฤทธิ์ของคาเฟอีน และรู้สึกว่ากระหายน้ำ เพราะร่างกายจะพยายามกำจัดคาเฟอีนที่สูงออกไปนั่นเอง หากเปรียบเทียบปริมาณคาเฟอีนระหว่างใน 1 แก้ว ระหว่างชากับกาแฟ กาแฟจะมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 90-170 มิลลิกรัม ส่วนชาจะมีคาเฟอีนอยู่ที่ 25-70 มิลลิกรัม จะเห็นได้ว่าปริมาณในชาพบได้น้อยกว่ามาก ดังนั้นคนที่มองหาตัวเลือกเพื่อสุขภาพ ก็อาจจะเลือกชาเป็นตัวเลือกแรก

ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าชา หรือกาแฟอันไหนดีกว่ากัน แต่ตามหลักความเป็นจริงแล้ว ทั้ง 2 ชนิดมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะการดื่มของแต่ละคนด้วย หากดื่มในสัดส่วนที่พอดี จะให้ประโยชน์ต่อร่างกาย แต่หากดื่มในปริมาณมากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น มะเร็งหลอดอาหารที่มาจากการดื่มชา โรคกระดูกพรุนจากการดื่มกาแฟ เป็นต้น

coffee

อย่างไรก็ตาม ชาและกาแฟก็มีประโยชน์ต่อร่างกายในด้านอื่นๆเช่นกัน เช่น เมื่อคุณมีอาการหนาว สิ่งที่ควรดื่มคือกาแฟเพราะหลังจากดื่มเพียงแค่ 10 นาที คาเฟอีนในกาแฟจะทำให้มีการเต้นของหัวใจและความดันเลือดที่ดีขึ้น และสิ่งที่ผสมลงไปในกาแฟ เช่น พวกนม น้ำตาล ยังกลายเป็นพลังงานซึ่งทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ประโยชน์ของการดื่มกาแฟ ยังช่วยในเรื่องของการลดความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ ลดอาการปวดหัวไมเกรนได้ ลดความเสี่ยงเป็นโรคเกาต์ในผู้ชายได้ และหากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม สามารถลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ด้วย นอกจากนี้ในกาแฟมีโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าชา ซึ่งช่วยในเรื่องของการบำรุงกระดูก

สเน่ห์ของกาแฟ ที่คอกาแฟชื่นชอบกัน คือ กลิ่นหอมของการคั่วกาแฟจะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนในสมอง ตัวที่เกี่ยวกับความเครียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเครียดที่เกิดจากการนอนไม่หลับ แค่ได้กลิ่นกาแฟก็จะผ่อนคลายลง

ข้อควรระวังในการดื่มกาแฟ คือ กาแฟมีปริมาณคาเฟอีนสูงกว่าชา ถ้าดื่มมากเกินไปเกิน 3-4 แก้วต่อวัน หรือ 400 มิลลิกรัม อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็ว หรือเต้นผิดจังหวะ วิตกกังวล รวมถึงอาการนอนไม่หลับได้ นอกจากนั้นยังทำให้ฟันเหลืองอีกด้วย หากดื่มกาแฟเกินวันละ 8 แก้วต่อวัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มากเกินไปจะเพิ่มอัตราการแท้งบุตรได้ และกาแฟยังไปลดการไหลเวียนของเลือดเข้าสู่หัวใจอีกด้วย

การดื่มกาแฟขณะที่ท้องว่าง อาจทําให้ปฏิกิริยาตอบสนองต่อกาเฟอีนรุนแรงขึ้น และในขณะเดียวกันอันตรายจากการระคายเคืองในกระเพาะอาหารก็จะสูงขึ้นด้วย ซึ่งหมายความว่า หากไม่ต้องการเสี่ยงต่อโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือใจสั่นก็ไม่ควรดื่ม

Tea or Coffee

ในทางกลับกัน หากคุณต้องการให้อารมณ์ดีขึ้น ต้องการความรู้สึกผ่อนคลาย สิ่งที่คุณควรดื่มคือ ชาเพราะกลิ่นของชาจะช่วยทำให้ใจเย็น และผ่อนคลาย เช่น ชามะลิ หรือ ชาผลไม้ หรือไม่ก็ชาเขียวเองก็ตาม แนะนำให้ก่อนดื่ม สูดกลิ่นที่ของชาร้อนๆก่อน แล้วค่อยๆจิบ แค่นี้ก็ช่วยสร้างรอยยิ้มในยามบ่ายได้ดี นอกจากนั้นแล้ว ชายังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยต้านโรคมะเร็งได้  ช่วยป้องกันโรคมะเร็งและช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้ไม่แก่ง่าย การดื่มชา 4 ครั้งต่อวันอย่างต่อเนื่อง 6 สัปดาห์ จะช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดได้ นอกจากนี้ชายังมีส่วนช่วยในการลดโรคมะเร็งหลอดอาหารในผู้หญิงได้ถึง 60% ชาสามารถช่วยกระตุ้นระบบประสาท ช่วยหมุนเวียนโลหิตได้ ทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ป้องกันไขมันส่วนเกินสะสมในร่างกาย ลดอาการของโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นเดียวกับกาแฟ อีกทั้งยังเพิ่มฤทธิ์ในการรักษาโรคไมเกรนได้ด้วยเช่นกัน

แต่หากดื่มชามากเกินไปทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน และในชายังมีสารทานินจำนวนมาก ซึ่งสารตัวนี้จะช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้เสี่ยงเป็นโรคโลหิตจางได้ หากดื่มชาร้อนมากไป อาจทำให้เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งหลอดอาหารได้อีกด้วย

ชาแต่ละชนิด ก็มีปริมาณคาเฟอีนที่แตกต่างกันไปอีก อย่างชาดำจะมีปริมาณคาเฟอีนมากที่สุด เฉลี่ย  23 – 110 มิลลิกรัม รองลงมาเป็นชาอูหลง อยู่ที่ 12 – 55 มิลลิกรัม และชาเขียว 8 – 36 มิลลิกรัม ตามด้วย ชาขาว ที่มีแค่ 6 – 25 มิลลิกรัม

Tea

จะเห็นว่าทั้งชา และกาแฟ มีประโยชน์และโทษด้วยกันทั้งคู่ หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้นการเลือกดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนใครที่เป็นสายรักสุขภาพ ก็จะนิยมหันมาบริโภคชา มากกว่ากาแฟ เพราะในชายังมีสารที่สําคัญอื่นๆ อีก เช่น แทนนิน คาเทชิน เพิ่มเติ่มอีก หรือหากต้องการดื่มชา หรือ กาแฟ จริงๆ แนะนำให้ชงดื่มเองได้ ก็จะยิ่งดีต่อร่างกาย เพราะสามารถควบคุมปริมาณนม น้ำตาล ครีม ที่เป้นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วนได้

ที่มา

https://www.sweetrevolution.co.uk/

https://www.pinterest.com/pin/841962092818083327/

บทความจาก : Fuwafuwa