เพิ่ม 3 แนวคิดธุรกิจอาหาร ให้ร้านชาโตต่อได้

ในยุคที่ร้านคาเฟ่ผุดขึ้นเยอะมาก การออกเมนูใหม่ โปรโมชั่นใหม่ หรือตกแต่งร้านเพิ่มเติม อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป การโฟกัสถึงเทรนด์ธุรกิจอาหาร จึงเป็นอีกสิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจไปต่อได้  เพราะเทรนด์อาหารสมัยนี้ ไม่ได้เน้นแค่ความอร่อย ยิ่งช่วงนี้ที่โควิดกลับมาระบาดอีกรอบ การสร้างความสะดวกให้ลูกค้าและให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์กับอาหารเครื่องดื่มคุณภาพดี เหมือนได้ไปทานที่ร้านจึงเป็นเทรนด์ที่ร้านค้าต้องหันมาให้ความใส่ใจมากขึ้น มาดู 3 แนวคิดหลักของธุรกิจอาหาร ที่จะช่วยให้ร้านชาของคุณยังเติบโตได้แม้จะมีสถานการณ์โควิดก็ตาม

1. การเพิ่ม Option ให้สั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชั่นที่ทางร้านครีเอทเอง หรือผ่านระบบ Delivery ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายุคนี้ การสั่งอาหารผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วมาก ยิ่งสถานการณ์โควิด ที่ทำให้หลายคนหลีกเลี่ยงการเข้าร้านอหาร และหันมาใช้การสั่งอาหารผ่านมือถือแทน ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย และเทรนด์การให้บริการในรูปแบบนี้ยังมีโปรโมชั่น สิทธิพิเศษมากมาย การเอาร้านชาเข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มสั่งอาหารดิลิเวอรี่อย่าง Grab Food, Food Panda, Gojek, Line Man จึงยังไปได้ดีอย่างแน่นอน ถึงแม้จะมีการเสีย GP อยู่บ้าง ทำให้บางร้านไม่อยากร่วมกับการทำดิลิเวอรี่แพลตฟอร์มเหล่านี้ แต่หากพิจารณาดีๆแล้วจะพบว่าการขายทางช่องทางดิลิเวอรี่พวกนี้ช่วยให้ร้านสามารถใช้วัตถุดิบที่มีอยู่แล้ว

Delivery

อย่างไรก็ตามสำหรับร้านชา อาจจะกังวลกับการขนส่งสินค้าที่ร้านว่าอาจจะหก เลอะเทอะ ไปถึงลูกค้าอาจจะไม่ได้รับสินค้าที่สมบูรณ์ 100% นั้น ต้องตัดความกังวลนั้นทิ้งแล้วมองหาแพคเกจ อีกทั้งวิธีการที่แตกต่างออกไปในการเสิร์ฟชาแทน เช่น การใช้ขวดใส่น้ำแยกน้ำชาและน้ำแข็งออกจากกัน

2. ปรับเมนูเครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพ และมีความ Creative มากขึ้น อาหารที่ให้มากกว่าความอร่อยสำหรับยุคนี้ ต้องเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหากมีการนำศาสตร์ชั้นสูงมาสร้างสรรค์เมนูอาหาร หรือใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปในเมนู ตลอดจนการนำเสนอในรูปแบบใหม่ๆ ที่ชวนตื่นเต้น ล้วนเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้า อย่างการดื่มชาเขียวปกติหากทำเป็นสมูตตี้เพิ่มผลไม้บางตัวเข้าไปให้ชาเขียวมีรสชาติที่แปลกใหม่มากขึ้นและยังดีต่อสุขภาพ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดลูกค้าสาวๆได้มากขึ้น หรือจะเป็นโยเกิร์ตธัญพืชที่เป็นกระแสมื้อเช้ายอดนิยมอยู่ช่วงนี้ สามารถเพิ่มรสชาติชาเขียวเข้าไปได้ เพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ให้มื้อเช้าที่ร้านของคุณ

Healthy Healthy

อย่างไรก็ตามหากเป็นเมนูเครื่องดื่ม อาหารเพื่อสุขภาพ หรือเป็นเมนูที่ครีเอทมากๆมักจะมีราคาที่สูงทำให้ลูกค้าใหม่น้อยคนนักที่จะกล้าลอง ดังนั้น หากทางร้านสามารถควบคุมต้นทุนให้ได้ในราคาต่ำ จะยิ่งทำให้ราคาขายถูกลงและเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

3. ธุรกิจขายอาหารแบบ 24 ชั่วโมงใครจะไปคิดว่า โมเดลการเปิดร้านอาหารแบบ 24 ชั่วโมงนั้น จะเป็นไปได้ และจะมีผู้ใช้บริการจริง แต่ด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน มีการใช้ชีวิตช่วงกลางคืนมากขึ้น และกลุ่มคนที่ทำงานในช่วงเวลากลางคืนนั้นจะมีโอกาสน้อยมากในการได้รับประทานอาหารเครื่องดื่มอร่อยๆ เหมือนคนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางวัน อีกทั้งคนไทยยังมีความเชื่อว่าการบริโภคชา กาแฟที่มีคาเฟอีนช่วงกลางคืนจะทำให้นอนไม่หลับ ร้านค้าที่ขายชากาแฟช่วงดึกจึงมีน้อยมากๆ แต่คนที่ใช้ชีวิตช่วงกลางคืนก็ยังคงต้องการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้อยู่ โมเดลธุรกิจขายอาหารเครื่องดื่ม 24 ชั่วโมงนี้จึงไปได้ดีกว่าที่คิด ถือเป็นการผลักดันให้ธุรกิจอาหารเติบโตจากการจับไลฟ์สไตล์คนใช้ชีวิตกลางคืนนั่นเอง

ที่มา

https://www.elle.com/culture/career-politics/a31478025/how-to-help-community-coronavirus-pandemic/

https://weheartit.com/entry/320776028

บทความจาก : Fuwafuwa

คุณค่าทางสารอาหาร “เซนฉะ vs มัทฉะ”

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางสารอาหารสูง แต่อย่างไรก็ตามชาเขียวก็มีหลายแบบ ซึ่งเชื่อว่าหลายคนคงคิดว่า ผงมัทฉะ เป็นชาประเภทที่คุณประโยชน์น้อยมาก หากดื่มชา จึงมักจะเลือกดื่มที่เป็นชาใบมากกว่าผงชา แต่ในความเป็นจริงแล้วผงมัทฉะ ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่แพ้กัน เพราะผงมัทฉะ เป็นยอดชาที่ถูกนำเข้าสู่โรงอบไอน้ำโดยเร็วที่สุดเพื่อหยุดกระบวนการออกซิเดชั่น เป็นการรักษาปริมาณสารคาเทซินในใบชาให้คงอยู่ไว้มากที่สุด แล้วนำใบชาแห้งจากการอบ เข้าสู่กระบวนการร่อนเพื่อคัดกิ่งและก้านออกจนหมด ก่อนจะนำไปบดด้วยเครื่องโม่ที่ทำจากหินชนิดพิเศษที่ทำเพื่อการบดมัทฉะโดยเฉพาะนั่นเอง

เดิมทีแล้วมัทฉะเป็นเครื่องดื่มล้ำค่าและมีคุณค่าสูง ซึ่งในอดีตมัทฉะจะถูกสงวนไว้เฉพาะสมเด็จพระจักรพรรดิ ราชวงศ์ และขุนนางชั้นสูงเท่านั้น แม้ในปัจจุบันการดื่มมัทฉะจะแพร่หลายไปทั้งประเทศญี่ปุ่นและทั่วโลก ความพิถีพิถันทุกขั้นตอนก็ยังคงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย การเก็บมัทฉะเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละครั้งเท่านั้น โดยคัดเลือกจากแปลงชาที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อใบชาเริ่มแตกยอด ก่อนจะเก็บเกี่ยว 1 เดือน จะต้องใช้ผ้าสีดำคลุมไว้ทั้งแปลง เพื่อให้สารอาหารที่รากถูกดูดซึมขึ้นมาเก็บกักไว้ที่ใบอ่อน 3 ใบแรก จากนั้นกระบวนการเก็บยอดชา ต้องเก็บด้วยมือโดยผู้ชำนาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น และเลือกเฉพาะยอดอ่อนที่สมบูรณ์ 3 ใบแรก ต้องไม่ปนเปื้อนกับส่วนอื่นการเก็บเกี่ยวต้องทำให้เสร็จสิ้นก่อนแสงแรกแห่งอรุณรุ่งจะมาเยือน

Matcha

เซนฉะแม้จะเกิดจากต้นชาชนิดเดียวกับมัทฉะ แตกต่างกันที่เซนฉะจะปลูกกลางแจ้งตลอดปี ไม่มีการคลุมด้วยผ้าสีดำ เซนฉะจะเก็บเกี่ยวได้ปีละ 4 ครั้ง โดยใช้กรรไกรตัดยอดต้นชา จากนั้นนำมาเป่าให้แห้ง สลับกับปั่นใบชาให้เป็นเกลียว จนได้ใบชาที่แห้งพอเหมาะพอดี ที่ให้รสชาติเข้มข้นและกลิ่นหอมกำลังดี ซึ่งการดื่มเซนฉะ จะนำใบชาแห้งใส่น้ำร้อน รอสักครู่จนน้ำชามีสีเข้มตามต้องการ จึงรินน้ำชามาดื่ม คุณค่าสารอาหารที่ได้จากเซนฉะจึงมาจากการที่ใบชาละลายในน้ำ ต่างจากมัทฉะที่เป็นการดื่มชาจากผงที่บดทั้งใบ ชาชนิดนี้จะมีลักษณะพิเศษ คือ มีสารคาเทชิน (catechin) หรือสารต้านอนุมูลอิสระหลงเหลืออยู่มาก ซึ่งสารคาเทชินที่มีในเซนฉะจะช่วยลดระดับการดูดซึมไขมันและเป็นส่วนประกอบที่ช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ร่างกาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เซนฉะนั้นเป็นหนึ่งในชาที่นิยมดื่มกันในหมู่ผู้รักสุขภาพนั่นเอง

Gencha

ว่าด้วยเรื่องปริมาณคาเฟอีนของชาเขียวมัทฉะและเซนฉะ

เนื่องจากวิธีการปลูกของชาแต่ละชนิดแตกต่างกันจึงมีคาเฟอีนในระดับที่แตกต่างกัน ชามัทฉะที่ปลูกในสภาพที่ร่มรื่นจะมีคาเฟอีนมากกว่า แต่มัทฉะปกติหนึ่งถ้วยมีคาเฟอีนประมาณ 70 มก. ซึ่งต่ำกว่ากาแฟขนาดเดียวกันเล็กน้อย (ขึ้นอยู่กับเมล็ดกาแฟที่ใช้) ส่วนชาเซนฉะ มีคาเฟอีนระหว่าง 20-30 มก. ต่อถ้วยขึ้นอยู่กับคุณภาพของใบชาและระยะเวลาที่อนุญาตให้ชง หากใครที่ต้องการลดปริมาณคาเฟอีนในร่างกาย ชาเซนฉะจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเนื่องจากมีคาเฟอีนน้อยกว่ามัทฉะประมาณ 40 มก.

Matcha

ชาเขียวมัทฉะและเซนฉะ สารต้านอนุมูลอิสระตัวไหนสูงกว่ากัน?

โดยทั่วไปชาเขียวถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ควรบริโภค ซึ่งทั้ง2 ชนิด อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่

โพลีฟีนอล :สารอาหารขนาดเล็กที่เชื่อว่าช่วยเรื่องการย่อยอาหารช่วยในการควบคุมน้ำหนักและช่วยปรับปรุงสภาวะต่างๆรวมถึงโรคเบาหวานและโรคหัวใจและหลอดเลือด

Catechins:เป็นโพลีฟีนอลชนิดหนึ่งและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แข็งแกร่งที่สุดที่พบในชาเขียวซึ่งสามารถช่วยป้องกันความเสียหายของเซลล์ งานวิจัยบางชิ้นรายงานว่าคาเทชินมีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง

L-theanine: กรดอะมิโนที่ช่วยในการผ่อนคลาย ช่วยลดระดับความวิตกกังวลได้

แม้ว่าชาเซนฉะ ขึ้นชื่อว่าเป็นชาที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างมาก มีประโยชน์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลสูงและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต แต่ก็ยังถือว่ามีปริมาณที่น้อยกว่าผงมัทฉะ เนื่องจากการดื่มชาจากผงมัทฉะ คือ การที่บริโภคทั้งใบจึงได้รับสารอาหารมากที่สุด การดื่มเซนฉะในรูปแบบผงจะทำให้คุณได้รับสารอาหารมากขึ้นจากรูปใบเช่นกัน

นอกจากนี้เซนฉะยังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเซนฉะยังมีปริมาณ vitamin C และ vitamin E ที่มากกว่าผงมัทฉะ

แต่ในทางกลับกัน ผงมัทฉะ มี vitamin B6 และ beta-carotene ที่มากกว่าชาเซนฉะ จะเห็นว่าทั้ง 2 ชนิดมีคุณค่าทางสารอาหารที่เหมือนกัน ต่างกันแค่ปริมาณที่ได้รับ ดังนั้นการดื่มชาชนิดใดก็ตามถือว่าดีต่อสุขภาพ

Matcha

ที่มา

http://inthemakingbybelen.com

http://www.skinnymetea.com.au

https://www.pinterest.com/pin/405605510171042632/

บทความจาก : Fuwafuwa