Iced Matcha Latte มัทฉะลาเต้เย็น

เปลี่ยนชาเขียวเย็นให้กลายเป็นพรีเมียมมัทฉะลาเต้ เมนูยอดฮิตของร้านที่อร่อยจนต้องบอกต่อ!!

ผงมัทฉะคุณภาพดีจะให้สีเขียวที่สวยงาม เมื่อเทราดลงบนนมสดจะเห็นเป็นชั้นสีเขียวมรกต ค่อยๆซึมลงมาด้านล่างซึ่งวิธีทำก็ไม่ยาก ยิ่งถ้ามีอุปกรณ์ช่วยจะใช้เวลาชงไม่นานเลย เราไปดูวัตถุดิบและวิธีชงกันเลยดีกว่าครับ ^^

อุปกรณ์ช่วยละลาย

วัตถุดิบสำหรับแก้ว 16 Oz.

  1. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Excellent           3  กรัม (~1.5 ช้อนชา)
  2. น้ำอุ่น                                                40   ml
  3. นมสด                                              150   ml
  4. น้ำเชื่อม                                              10   ml (~2 ช้อนชา)
  5. น้ำแข็ง

ขั้นตอนการชง

1. ละลายผงมัทฉะให้เข้ากับน้ำอุ่น โดยการร่อนผงมัทฉะผ่านกระชอนใส่ถ้วยหรือชาม แล้วค่อยเทน้ำอุ่นตามลงไปแล้วใช้ Chasen หรือเครื่องตีฟองนม ตีให้ผงชาละลายเข้ากับน้ำ แล้วพักเอาไว้

2. เติมน้ำแข็งใส่แก้วอีกใบ

3. เติมน้ำเชื่อมตามความหวานที่ต้องการ

4. เทนมสดลงไป คนให้เข้ากับน้ำเชื่อม

5. ราดมัทฉะที่ละลายน้ำไว้แล้วลงบนนมสดอีกที

หรือสามารถดู VDO วิธีชงได้ที่นี่ครับ ^^

*** ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วยละลายให้ลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ

1. ใส่ผงชาเขียวมัทฉะกับน้ำตาลทรายลงไปในถ้วย
2. เอียงถ้วยแล้วใช้ช้อนบดส่วนผสมให้เกร็ดน้ำตาลไปบดผงชาเขียวมัทฉะ จนแตกตัวไม่จับเป็นก้อน
3. ค่อยๆเติมน้ำอุ่นลงไป เอียงถ้วยแล้วใช้ช้อนบดผงชาเขียวมัทฉะกับข้างถ้วย คนจนละลายหมด

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

เพิ่มความสดชื่นให้ชีวิตกับมัทฉะฟรุ๊ตตี้

ช่วงนี้จะมีผลไม้ตามฤดูกาลออกมามากมาย ซึ่งร้านที่ขายขนม ขายอาหารหลายร้านจะสนุกสนานกับการคิดเมนูใหม่ให้ตรงตามเทศกาล แต่สำหรับร้านขายชาเขียวเอง เชื่อว่าต้องมีหลายร้านที่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะนำผลไม้น่าทานๆเหล่านี้มามิกซ์กับเมนูชาที่ร้านได้ยังไง วันนี้ Matchazuki เลยมาแชร์ไอเดีย มัทฉะฟรุ๊ตตี้… จับคู่กับชาเขียวและผลไม้ เช่น มะม่วง แตงโม สับปะรด ให้ที่ร้านเกิดเมนูใหม่สร้างความสดชื่น สดใส และเป็นไอเดียให้หลายๆ ท่านที่กำลังมองหาเครื่องดื่มเติมความสดชื่นระหว่างวันไห้ได้ไปลองทำตามกัน

fruity matcha drinks

เริ่มที่ ชาเขียวมะม่วงไข่มุก ที่ได้ความหวานจากน้ำตาลบราวน์ชูการ์ที่เคลือบไข่มุก และจากมะม่วงสุกแทนการใส่ไซรัป ส่วนตัวไข่มุกสามารถหาซื้อแบบสำเร็จ หรือใครจะใช้ไข่มุกแบบมาต้มเองก็สามารถทำได้เช่นกัน เราจะใส่ไข่มุกไว้ชั้นล่างสุดของแก้ว ตามด้วยมะม่วงเพียวเร่  ½ ถ้วย เติมน้ำแข็งจนเต็มแก้วและเทนม ½  ถ้วย ลงไปเป็นชั้นที่ 3 หลังจากนั้นให้ชงมัทฉะในถ้วยชงชาอีกใบจากผงมัทฉะ 1 ช้อนชา กับน้ำ ¼ ถ้วย ตีด้วยฉะเซ็นให้เข้ากัน แล้วเทชาเขียวที่ตีลงบนแก้วที่เตรียมไว้เมื่อสักครู่ เป็นอันเรียบร้อย

ส่วนใครที่ไม่อยากซื้อมะม่วงเพียวเร่แบบแพ็คสำเร็จขาย สามารถซื้อมะม่วงสุกแล้วมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆแทนได้เช่นกัน หรือสามารถใช้ม่วงสุกแช่ฟรีซ มาปั่นหยาบรวมกับน้ำเล็กน้อยได้เช่นกัน ตามความเข้มข้นของมะม่วงที่ต้องการ ซึ่งขนาดของมะม่วงที่หั่นก็จะทำให้ได้ texture ของเนื้อมะม่วงมากขึ้น

fruity matcha drinks

เมนูถัดมาแปลกจนอาจจะทำให้หลายคนนึกถึงรสชาติไม่ออก แต่แนะนำให้ลอง คือ ชาเขียวแตงโม เป็นสูตรไม่ผสมนม รสชาติเหมือนดื่มชาเขียวเพียวๆแต่ได้กลิ่นอายของแตงโมเพื่อลดความขมของชาเขียว และเพิ่มความหวานจากแตงโมแทน

เริ่มด้วยการปั่นแตงโม 2 ถ้วยแล้วเทใส่แก้วประมาณ ⅓ ของแก้วไว้ชั้นล่างสุด ใส่น้ำแข็งให้เต็มแก้ว หลังจากนั้นเทชาเขียวที่ใช้ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา ตีด้วยฉะเซ็นกับน้ำร้อน ¼  ถ้วย ลงไปทับแตงโม เทน้ำแตงโมปั่นที่เหลือลงไป ตกแต่งด้วยแตงโมหั่นชิ้นเพื่อความสวยงาม

fruity matcha drinks

เมนูแนะนำถัดมา ได้แก่ ชาเขียวสับปะรด ซึ่งเมนูนี้เองร้านกาแฟชื่อดังอย่าง starbucks ก็เคยนำมาขายแล้วเช่นกัน แถมยังขึ้นแท่นเป็นเมนู Non-diary ที่ให้ความสดชื่นมากๆ

วิธีทำแสนง่ายเพียงนำ ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + น้ำสับปะรด 5 ออนซ์  + ขิง ⅛ ช้อนชา + นมมะพร้าว ¼ ถ้วย + น้ำตาล 1 ช้อนชา  + น้ำเย็น 6 ออนซ์ หลังจากปั่นรวมกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เทลงไปในแก้วที่ใส่น้ำแข็งเตรียมไว้ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

fruity matcha drinks

เมนูเปรี้ยวสดชื่น ช่วยรีเฟรชความเหนื่อยล้าจากการจ้องคอมทั้งวันได้เป็นอย่างดี อย่าง ชาเขียวน้ำผึ้งมะนาว  ใช้ผงมัทฉะ ½ ช้อนชา ตีกับน้ำร้อน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่น้ำผึ้งลงไป 3 ช้อนโต๊ะคนให้ละลายไปด้วยกัน หลังจากนั้นเทใส่ลงในแก้วที่เตรียมน้ำแข็งไว้แล้ว ตามด้วยโซดา ½ ถ้วย และน้ำมะนาวหรือน้ำเลม่อน 2 ช้อนชา แต่งด้วยเลม่อน หรือใบสาระแหน่ เป็นอันเรียบร้อย แต่เวลาดื่มแนะนำให้คนให้เข้ากันก่อนดื่มเพื่อความกลมกล่อม

fruity matcha drinks Kitkat yuzu

และผลไม้ชนิดสุดท้ายอย่างส้มยูซึ ที่ในไทยราคาค่อนข้างแพง แต่ที่ญี่ปุ่นนิยมนำไปผสมในขนมและเครื่องดื่ม คิทแคทเองก็ไม่พลาดที่จะนำส้มยูซึ ส้มที่มีกลิ่นหอมสดชื่นเป็นเอกลักษณ์ รสเปรี้ยวเหมือนเลม่อน มาผสมในขนมเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและแปลกใหม่ให้สินค้าเช่นกัน

อย่างไรก็ตามการหาผลส้มยูซึแบบลูกเลยอาจจะค่อนข้างยากและราคาสูง ช่วงนี้ก็มีหลายบริษัทในไทยที่ขายน้ำส้มยูซึเพียวๆสำหรับทำขนมหรือเครื่องดื่ม สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ หรือตามจากเพจของบริษัทโดยตรง

มาดูในส่วนของเมนูชากับส้มยูซึกัน… เมนูชาเขียวยูซึ เป็นเมนูที่หลายๆร้านมีเป็นหนึ่งในเมนูของที่ร้านอยู่แล้ว วิธีทำก็คล้ายๆกับตัวชาเขียวเลม่อนโซดา แต่อีกไอเดียที่น่าลองและค่อนข้างใหม่คือ โฮจิฉะลาเต้ยูซึ

Houjicha yuzu

สูตรนี้เราจะใส่เป็น yuzu marmalade ลงไปชั้นล่างสุด 2 ช้อนโต๊ะ ตามด้วยน้ำแข็ง ½ ถ้วย แล้วค่อยๆเทนมลงไป 200 ml. หลังจากนั้นตีผงชาโฮจิฉะ 2 ช้อนชา กับ น้ำร้อน 100 ml. ให้ละลายเข้ากันเข้ากัน แล้วเทบนสุดจะได้เป็น 3 layer สวยงามตามภาพ

อย่างไรก็ตามส้มยูซึ สามารถนำไปทำขนมชนิดอื่นๆคู่กับผงมัทฉะได้เป็นขนมที่อร่อยลงตัวอีกหลายชนิด เช่น ชีสเค้กชาเขียวยูซึ ทาร์ตชาเขียวยูซึ หรือเป็นมูสชาเขียวทานคู่กับมาการองยูซึ

อยู่บ้านกันนานๆ ลองเปิดเตาเข้าครัว หยิบโน้นผสมนี้ ก็จะได้เมนูใหม่ๆน่าทานอีกเพียบเลย เพราะชาเขียวทานกับอะไรก็อร่อย ดูสูตรขนม และเครื่องดื่มอื่นๆของชาเขียวได้ที่ https://bit.ly/2QYsheW 

fruity matcha

ที่มา

https://www.davidstea.com/us_en/tea/yuzu-matcha/10812US01VAR0059386.html

https://kumikomatcha.fr/blogs/recettes/entremet-yuzu-matcha

https://hojicha.co/blogs/recipes/yuzu-hojicha-latte

https://www.hola.com/cocina/recetas/2014081873169/tarta-yuzu-te-matcha/

บทความจาก : Fuwafuwa

ผงมัทฉะ กับ 3 ท้อปปิ้งขนมญี่ปุ่นยอดนิยม

“โยคัง วาราบิโมจิ ดังโงะโมจิ” ขนมญี่ปุ่น 3 ชนิดนี้ เห็นได้ทั่วไปในร้านขนมญี่ปุ่น บางร้านก็เสิร์ฟแบบเดี่ยวๆ บางร้านก็เสิร์ฟคู่ชาเขียวร้อนๆ ตามร้านคาเฟ่ จะถูกนำมาเป็นท้อปปิ้งบนพาร์เฟต์ ไอศครีม หรือน้ำแข็งใส เพื่อให้ขนมจานนั้นได้กลิ่นอายและสัมผัสรสชาติความเป็นญี่ปุ่น

ในปัจจุบันได้มีการดัดแปลงปรับสูตรให้รสชาติของขนมทั้ง 3 ชนิดนี้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น และมีวิธีจัดเสิร์ฟแบบทันสมัยแต่ได้กลิ่นอายความเป็นวากาชิ หรือขนมญี่ปุ่น หลากหลายไอเดียและวิธีทำขนมแบบง่ายๆให้คนรักมัทฉะเอาไปปรับสูตรทำเองที่ร้านได้

Matcha YokanMatcha Yokan

เริ่มจาก “โยคัง”(羊羹) โยคังเป็นวุ้นถั่วแดงกวน ปกติจะมีรูปทรงเป็นแท่งสี่เหลี่ยมผืนผ้า สีน้ำตาลแดงจากถั่วรสชาติหวานจัด ส่วนใหญ่จะทานคู่กับชาเขียวร้อนในพิธีชงชารสชาติจะตัดกัน เดิมทีมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน เป็นขนมที่ทำด้วยเจลาตินจากเนื้อแกะ ในยุคคามาคุระมีนักบวชศาสนาพุทธนิกายเซน เป็นผู้นำขนมโยคังเข้ามาเผยแพร่ในญี่ปุ่น แต่เนื่องจากศาสนาพุทธห้ามการฆ่าสัตว์ จึงมีการเปลี่ยนจากเจลาตินจากสัตว์ มาเป็นแป้ง ถั่วแดง และวุ้น และมีการใช้วุ้นเข้ามาผสมในภายหลัง จนกลายมาเป็นโยคังในปัจจุบัน

โยคังเป็นวุ้นญี่ปุ่นซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน มีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลแดงโดยทำจากถั่วแดงกวน (Anko) ถ้าเป็นโยคังสีเขียวก็ทำจากชาเขียว ที่มีวิธีทำแสนง่าย

  1. นำถั่วแดงบดเนื้อเนียน 225 กรัมและน้ำตาลทรายขาว 70 กรัมผสมลงในหม้อ นำไปต้มด้วยไฟกลาง คอยคนตลอดด้วยไม้พายเพื่อไม่ให้ไหม้
  2. ต้มไปซักพัก แล้วลองลากไม้พายลงไปตรงกลางแล้วยังเหลือเป็นรอยลาก คือถั่วแดงไม่ไหลกลับมากลบรอยก็ถือว่าโอเค จากนั้นตักออกมาแผ่บนถาดเพื่อให้เย็นลง
  3. ในหม้อต้มอีกใบผสมน้ำ 180 มล. + ผงชาเขียว 5 กรัม กับผงวุ้นหรือผงคันเทน 2 กรัม  ต้มจนเดือดแล้วจึงลดเป็นไฟเบา ต้มต่ออีก 2 นาทีแล้วจึงปิดไฟ
  4. ผสมน้ำตาลทรายแดง  20 กรัม และ (2) ลงไปใน (3) ผสมจนเข้ากัน นำไปต้มจนเดือดแล้วจึงลดเป็นไฟเบา ต้มต่ออีก 2 นาที
  5. เทใส่พิมพ์แล้วนำไปแช่เย็น 30 นาที เอาออกมาหั่นเสิร์ฟเป็นชิ้นๆ อาจเสิร์ฟคู่กับถั่วแดงเชื่อมด้านบน

คุณสมบัติอีกอย่างที่คาดไม่ถึงของขนมโยคัง คือ เก็บไว้ได้นาน อย่างเช่นมากถึง 5 ปี 6 เดือน เพื่อสามารถเก็บเป็นอาหารยามฉุกเฉินเวลามีเหตุภัยพิบัติธรรมชาติ นอกจากนี้ร่างกายยังดูดซึมสารอาหารได้ง่าย และเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติได้แม้ไม่ได้นำเข้าตู้เย็น

Warabi MochiWarabi Mochi

ส่วน” วาราบิโมจิชาเขียว “เป็นขนมญี่ปุ่นที่ทำด้วยแป้งจากต้นวาราบิ เนื้อแป้งหนึบ ๆ คล้ายกับแป้งโมจิ นิยมนำไปคลุกกับ คินาโกะ (Kinako) ซึ่งเป็นผงถั่วเหลืองได้กลิ่นหอม ๆ แบบถั่วคั่ว หรือทานคู่ซอสน้ำตาลทรายแดง เรียกว่า คุโรมิสึ (Kuromitsu) หรือโรยผงชาเขียว ก็เป็นขนมที่ได้รับความนิยมมากๆ ในช่วงหน้าร้อน ตามร้านคาเฟ่จะมีวาราบิโมจิเป็นท้อปปิ้งบนพาร์เฟต์ ไอศครีม วิธีทำก็ไม่ยาก เริ่มจาก

  1. ผสมแป้งวาราบิโมจิเขียว100 กรัม นํ้าตาล 50 กรัม ผงมัทฉะ  1 ช้อนชา นํ้าเปล่า 500 มล. ในอ่างผสม
  2. เอาหม้อใส่นํ้าต้มให้เดือด วางอ่างผสมลงไปด้านบน กวนไปเรื่อยๆ พอแป้งเริ่มสุก ก็ยกลงกวนต่อจนแป้งสุกและใสทั่ว เป็นเนื้อเดียวกัน โรยผงถั่วบนถาดหรือภาชนะที่จะใช้ใส่วาราบิโมจิ เสร็จแล้ววางในอ่างที่ใส่นํ้าแข็ง ทิ้งไว้ให้เย็นและเซ็ตตัว ประมาณ 20 นาที
  3. เทออกมาหั่น สังเกตจากแป้ง แป้งจะนุ่ม ใส และไม่คงรูป หั่นแล้วไม่เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเป็นเพราะแป้งนุ่มมากๆ ทำเสร็จแล้วรีบทานให้หมด
  4. หากใครอยากทานกับน้ำตาลคุโรมิทสึ ให้เอาน้ำตาลดำ หรือน้ำตาลทรายแดงบ้านเรา 50 กรัม ต้มละลายกับน้ำ 200 มล.  ปริมาณน้ำขึ้นอยู่กับความหวานที่ต้องการ เพียงเท่านี้ก็เหมือนได้ไปคาเฟ่ที่ญี่ปุ่นเลย

Warabi Mochi

ขนมตัวสุดท้าย “ดังโงะโมจิชาเขียว” ขนมที่ทำจากแป้งโมจิ ปั้นเป็นก้อนกลมๆ รสชาติเค็มๆ แต่ก็มีบางสูตรอาจเติมเนื้อเต้าหู้เข้าไปผสมด้วย แล้วนำไปนึ่ง หรือ ต้มในน้ำเดือดจนสุกก่อน ย่างบนเตาถ่าน ก่อนจะราดด้วยสารพัด หน้าต่างๆ เช่น โชยุ มิโสะ ถั่วแดงกวน มันเทศหวาน งาดำบด หรือ ซอสชาเขียว ด้วยรสสัมผัสนุ่ม หนุบหนับ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของคนส่วนใหญ่ แม้วิธีการเสิร์ฟจะเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ขนมดังโงะก็ยังถือได้ว่าเป็นขนมที่ได้รับความนิยมมาโดยตลอด เพราะเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงขนบธรรมเนียมและประเพณีอันเก่าแก่ในอดีตของญี่ปุ่นมานับร้อยๆปี มาลงมือทำดังโงะตามสไตล์คนรักชาเขียวกันดีกว่า โดยสามารถผสมผงชาเขียวลงไปในแป้งเลยก้ได้เพื่อให้ได้แป้งสีเขียว หรือที่เห็นกันทั่วไปจะทำเป็นลูกสีขาวธรรมดา แต่ตกแต่งด้วยท้อปปิ้ง หรือซอสแบบต่างๆ

DangoDango

  1. เริ่มจากผสมแป้งข้าวเหนียว 100 g. แป้งข้าวจ้าว 100 g. และน้ำตาล 2 ช้อนชา เข้าด้วยกัน
  2. เติมน้ำ ⅔ ส่วน ในส่วนผสม ค่อยๆนวดจน เป็นเนื้อเนียน แล้วปั้นแป้งเป็นก้อนๆ เล็กใหญ่ตามต้องการ
  3. ค่อยๆย่อนลงต้มในน้ำเดือด ประมาณ 1 นาที หรือจนตัวดังโงะลอยขึ้น จากนั้นตักขึ้นแล้วนำมาน็อคด้วยน้ำเย็นจัด
  4. ปล่อยให้สะเด็ดน้ำแล้วนำมาเสียบไม้ แล้วนำไปย่าง ประมาณ 4 นาทีแล้วเอาขึ้น
  5. ส่วนน้ำซอสหรือท้อปปิ้งที่ใช้ราดดังโงะ สามารถดัดแปลงได้ตั้งแต่ใช้ถั่วขาวผสมผงชาเขียว หรือราดด้วยซอสมิทาราชิ ที่ทำจากน้ำตาล 5 ช้อนโต๊ะ + ซอสถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ + มิริน 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำเปล่า 5 ช้อนโต๊ะ + แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ เคี่ยวจนเข้ากัน หรือจะทานคู่กับไอศรีมชาเขียวก็เป็นมื้ออร่อยของเด็กๆอย่างแน่นอน

Matcha DangoMatcha DangoMatcha Dango

ที่มา

teanobi.com

8days.sg

http://kyotofoodie.com/kyoto-cafe-jouvencelle-gion/

recetasgratis.net

https://www.flickr.com/photos/bananagranola/2529983071

บทความจากFuwafuwa

Sakura & Matcha : A Perfect Match for Spring

ช่วงนี้ของทุกปี หลายคนคงนึกถึงดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่ง นั่งทานขนมญี่ปุ่นไปเพลินๆ พร้อมจิบชาอุ่นๆ ทั่วญี่ปุ่นก็จะมีขนมที่มีส่วนผสมของซากุระออกใหม่แทบจะทุกร้าน

โดยเฉพาะการจับคู่กับเมนูชาเขียวยิ่งช่วยดึงรสชาติและความกลมกล่อมของซากุระออกมาได้อย่างลงตัว เช่น ซอฟต์ครีมชาเขียวซากุระ ชาเขียวลาเต้ซากุระ หรือจะเป็นโดนัทที่นำซากุระมาเป็นส่วนผสมในเกลซที่เคลือบโดนัท ก็เป็นการปรับสูตรจากเดิมที่ไม่ยากและสามารถทำได้กับทุกเทศกาล อย่างไรก็ตามความสนุกในการดื่มด่ำบรรยากาศเช่นนั้นของปีนี้คงเป็นไปได้ยาก ด้วยสถานการณ์โควิด 19 ที่กำลังระบาด Matchazuki เลยเอาใจคนคิดถึงญี่ปุ่นด้วยสูตรขนมที่ทำไม่ยาก และได้กลิ่นอายซากุระ

Sakura & MatchaSakura & Matcha

เริ่มด้วย “แพนเค้กชาเขียวโมจิไส้ถั่วขาวซากุระถั่วแดง”

Sakura & Matcha

 

เพียงนำน้ำ 150 cc. เทลงไปในแป้งโมจิ หรือแป้งข้าวเหนียว 30 กรัม แล้วคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้น ร่อนแป้งเค้ก 30 กรัม และเติมผงมัทฉะ 2 กรัม กับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะลงไป คนให้เข้ากัน พักไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที

หลังจากนั้นทาน้ำมันบางๆ บนกระทะที่อุ่น ตักแป้งที่เตรียมไว้เกลี่ยให้เป็นวงรี ทอดด้วยไฟอ่อน จนสุกทั้ง 2 ด้านเป็นอันเรียบร้อย สอดไส้ด้วยถั่วขาวกวนมาผสมกับผงซากุระ 2 กรัม หรือปรับระดับรสชาติตามชอบ หากใครทำไส้รสชาติซากุระอ่อน แนะนำให้เอาใบซากุระดองเกลือมาห่อและแต่งด้วยดอกซากุระดองเกลืออีกชั้นเป็นอันเรียบร้อย

เมนูถัดมาที่แนะนำเลยคือ “ฮานามิดังโงะ” ดังโงะ 3 สี สีเขียว ขาว ชมพู ดังโงะชนิดนี้นิยมทานช่วงซากุระในระหว่างดูดอกไม้ ซึ่งมีหลายความเชื่อว่าดังโงะ 3 สี แทนการผลิบานของดอกซากุระ โดยสีเขียวแทนใบซากุระ สีขาวแทนดอกซากุระที่กำลังตูม และสีชมพูแทนดอกซากุระที่กำลังบานสะพรั่งนั้นเอง

มาเข้าครัวเริ่มทำกันเลย…..

เริ่มจากแบ่งชามนวดออกเป็น 3 ชาม

  • ชามที่ 1: นำแป้งโมจิ 40 กรัม, เต้าหู้ 40 กรัม, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ ผงซากุระ 2 กรัม มานวดให้เข้ากันจนนิ่ม
  • ต่อมาในชามที่ 2: นำแป้งโมจิ 40 กรัม, เต้าหู้ 40 กรัม, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ. ผงมัทฉะ 2 กรัม  มานวดให้เข้ากันจนนิ่ม หรือบางร้านจะใช้เป็นแป้งโมจิผสมโยโมกิเลยก้ได้ (โยโมกิ คือหญ้าญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง มีกลิ่นและรสชาติคล้ายผัก นิยมเอามาทำขนมวากาชิ)
  • ส่วนสุดท้ายชามที่ 3: นำแป้งโมจิ 40 กรัม, เต้าหู้ 40 กรัม, น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ มานวดให้เข้ากันจนนิ่มหลังจากนั้น ต้มน้ำให้เดือด แล้วใส่แป้งดังโงะลงไปต้มให้ดังโงะลอยขึ้นมา(ประมาณ 2-3 นาที) ใช้ตระกร้อช้อนขึ้นมาจากน้ำเดือด แล้วล้างด้วยน้ำเพื่อให้ดังโงะหายร้อน แล้วพักไว้ นำไม้เสียบมาเสียบดังโงะ. 3 ชิ้นต่อไม้ เป็นอันเรียบร้อยพร้อมทาน

Matcha DangoDango

ซึ่งตัวฮานามิดังโงะนั้นที่ญี่ปุ่นนิยมเอาไปเป็นท้อปปิ้งกับพาร์เฟต์ชาเขียว หรือซอฟท์ครีมชาเขียว เป็นการจับคู่ที่กลมกล่อมลงตัว

Sakura & MatchaSakura & Matcha

ต่อด้วย “เครปเค้กชาเขียวซากุระถั่วแดง” ที่เกิดจากเค้กชิฟฟ่อนชาเขียว สลับชั้นกับครีมสด ถั่วแดงและเครปซากุระ ซึ่งวิธีทำเครปซากุระก็ไม่ต่างกับการทำเครปเค้กปกติเลย โดยตีไข่ 4 ฟอง ให้เข้ากัน และใส่น้ำตาลทราย ⅓ ถ้วยลงไปคนพอละลาย ร่อนแป้งสาลี 2½  ถ้วย พร้อมผงซากุระลงไป 2 ช้อนโต๊ะ หลังจากนั้นค่อยๆ เทนม 400 ml. ลงในแป้ง แบ่งใส่ 3-4 รอบ คนให้เข้ากันจนไม่เหลือเม็ดแป้ง

ใส่เนยละลาย ¼ ถ้วย ลงไป คนให้เข้ากัน กรองส่วนผสมทั้งหมด แล้วพักแป้งในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง พอครบเวลาให้คนแป้งก่อนจะนำมาทอด โดยทาเนยที่กระทะเทฟล่อน ใช้ไฟอ่อน หยอดส่วนผสมแป้งเกลี่ยให้เป็นวงกลม วิธีสังเกตว่าแป้งสุก คือ จะมีฟองอากาศใหญ่ ๆ ดันแผ่นแป้ง ทอดจนแป้งหมด หลังจากพักแป้งโดยการนำไปแช่เย็นประมาณ 2-4 ชั่วโมงก็สามารถนำมาประกอบชั้นเป็นเครปเค้กซากุระชาเขียวได้เลย ส่วนวิธีการทำเค้กชาเขียว สามารถใช้ตามสูตรเค้กชาเขียวของ Matchazuki นี้ได้เลย หรือที่ร้านไหนมีสูตรของตัวเองก็เอามา Mix ได้ ( อ่านสูตรเค้กชาเขียวได้ที่ shorturl.at/abuR5 ) แล้วเปลี่ยนพิมพ์ขนมให้เป็นขนาดเดียวกับเครปซากุระที่ทำ ก็เป็นอันเรียบร้อย

Sakura & Matcha

จะเห็นได้ว่า ซากุระที่ใช้ในการทำขนมมีทั้งแบบที่เป็นผงซากุระที่สกัดมาจากซากุระดอง หรือแบบที่เป็นดอกซากุระดองเลยก็มี ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกใช้แบบไหน และนอกจากสูตรขนมข้างต้นที่ทำให้เราได้สัมผัสกับความกลมกล่อมของชาเขียว และซากุระ คู่ความอร่อยลงตัวแล้ว ยังมีอีกหลากหลายเมนูที่สามารถนำซากุระไปช่วยเพิ่มความอร่อย และได้กลิ่นอายกับ Seasonal นี้ เช่น มาการองชาเขียวครีมสดซากุระ โรลเค้กชาเขียวครีมสดซากุระ หรืออย่างขนมยอดฮิตอย่างไดฟุกุ ก็หยิบจับชาเขียวและซากุระมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว

Sakura & MatchaSakura & Matcha
Sakura & Matcha

ที่มา

http://paogohan.blog42.fc2.com/blog-entry-513.html

https://www.travelsintranslation.com/2015/04/recipe-of-the-month-cherry-blossom-sugars/

https://arigatojapan.co.jp/sakura-and-matcha-a-perfect-match-for-spring/

https://matcha-jp.com/en/1695

https://soranews24.com/2021/03/11/sakura-and-matcha-star-in-new-mister-donut-collection/

https://nagoyafoodie.com/soft-serve-ice-cream-in-japan/

https://constellationinspiration.com/2020/04/dango-mochi.html

บทความจากFuwafuwa

บิงซู&คากิโกริชาเขียว อร่อยได้ง่ายๆที่บ้าน

เชื่อว่าพอเข้าหน้าร้อน ขนมที่ทุกคนต้องนึกถึงคงหนีไม่พ้น น้ำแข็งใส หรือในภาษาญี่ปุ่น ที่เรียกว่า คากิโกริ ซึ่งกล่าวกันว่า การกินน้ำแข็งไสมีมาตั้งแต่สมัยเฮอัน (Heian Period) โดยในสมัยนั้นจะเอาน้ำแข็งก้อนที่ได้จากธรรมชาติมาฝนด้วยมีดและเหล็กจนกลายเป็นเกล็ด แล้วนำมากินคู่กับน้ำหวานจากผลไม้และดอกไม้ ซึ่งลักษณะเด่นของคากิโกริ คือ เกล็ดน้ำแข็งของคากิโกริจะมีความละเอียดนุ่ม ส่วนใหญ่จะไม่มีรสชาติ แต่จะเน้นการเติมนมหรือไซรัปรสชาติต่างๆ เพื่อให้มีความหวานหอมจัดจนทั่ว ด้านบนนิยมเป็นครีมรสชาติต่างๆ ตกแต่งด้วยผลไม้สด หรือเผือกกวน ถั่วกวน ส่วนข้างในก็จะมีไส้ความอร่อยซุกซ่อนอยู่ตามแต่จะครีเอต ราดด้วยซอสรสต่างๆ มาเพิ่มรสชาติ

ส่วนบิงซูของชาวเกาหลีที่ได้รับวัฒนธรรมการกินจากชาวญี่ปุ่น คือ น้ำแข็งไส ที่มีลักษณะเด่นๆ คือ ต้องมี 3 ส่วนผสมหลัก ได้แก่ ถั่วแดง แป้งต๊อก (เค้กข้าวเกาหลีสีขาวเหนียวๆ ) และผงแป้งที่ทำจากถั่วและธัญพืช นับเป็นขนมหวานเย็นเพื่อสุขภาพของชาวเกาหลี บิงซู จะมีลักษณะเป็นเกล็ดน้ำแข็งนุ่มคล้ายปุยหิมะขาวโพลนไม่ต่างกัน อาจจะมีการทำน้ำแข็งให้เป็นรสชาติต่างๆบ้าง รสชาติน้ำแข็งจะมีรสหวานนมอ่อนกว่า เพราะต้องกินกับท็อปปิ้งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสนมข้น ผลไม้สด ไอศกรีม ชีส ครีมสด ผงแป้งหลากรสชาติ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “แป้งต๊อก” ที่ต้องซ่อนอยู่ ร่วมด้วย ส่วนซอสก็มีนมให้ราดด้วยเหมือนกัน หรืออาจจะเป็นน้ำเชื่อมรสต่างๆ น้ำผลไม้ เรื่อยไปจนถึงค็อกเทล

หากจะเทียบกันชัดๆก็คากิโกริดูเรียบง่ายคล้ายกับภูเขาขนาดย่อมที่ซ่อนความอร่อยหอมหวาน ขณะที่บิงซูจะมีความวาไรตี้และไร้แบบแผน นั่นเอง หากใครที่ชอบกินชาเขียว แน่นอนว่าคากิโกริ และบิงซูชาเขียวต้องเป็นอีกหนึ่งเมนูที่อยากลองทำทานเอง วิธีทำแค่เพียง ผสมผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาล 50 กรัมให้เข้ากันในภาชนะ เทน้ำร้อนตามลงไป 60 ml. และตีให้เข้ากัน เตรียมน้ำแข็งใสที่ปั่นจากเครื่องให้พร้อม และราดมัทฉะไซรัปลงไปได้เลย ตกแต่งได้ตามใจชอบเลย ว่าจะเสิร์ฟคู่กับแป้งต็อกราดนมสไตล์บิงซู หรือถ้าสไตล์ญี่ปุ่นต้องเสิร์ฟคู่ถั่วแดง โมจิ และไอศครีมรสชาเขียว จะเข้ากันดีที่สุด

อีกสูตรที่แนะนำให้ลองเป็นคากิโกริชาเขียวทีรามิสุ ที่ชงชาเขียวลาเต้แบบปกติก่อน แล้วนำไปเทลงแม่พิมพ์น้ำแข็ง แช่จนแข็งดี ผสมครีมมัทฉะทีรามิสุโดยเท ชีสมาสคาโปน 100 กรัม + ผงชาเขียวมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ + ครีมสด 100 มล แล้วใช้ตะกร้อคนให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำน้ำแข็งชาเขียวลาเต้ที่ทำไว้ออกมาเข้าเครื่องบดน้ำแข็ง ใส่ชามให้เรียบร้อย จึงค่อยราดด้วยครีมชาเขียวทีรามิสุ ตกแต่งด้วยผงมัทฉะ หรือเสิร์ฟคู่กับผลไม้สดก็อร่อยตัดรสกันได้ดี

ลองทำทานดูที่บ้านแล้วเปลี่ยนท้อปปิ้งที่ทานคู่กับน้ำแข็งไสชาเขียวไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นขนมปังบ้าง ไอศครีม โยคัง วาราบิโมจิหรือ ขนมประเภทต่างๆ ก็อาจจะเจอรสชาติใหม่ที่ลงตัว

ที่มา 

trip.kyoto.jp

reddit.com

fashion-press.net

letempsduthe.fr

บทความจาก : Fuwafuwa

Tea pairing จับคู่ชากับอาหารอะไรดี

เป็นที่ทราบกันดีว่า ชาเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่จะช่วยเพิ่มและดึงกลิ่นและรสชาติที่ละเอียดอ่อนของอาหารหลายประเภทออกมาได้ เช่นเดียวกับไวน์ ที่พวกเราจะคุ้นเคยกับกฎพื้นฐานที่ว่า ไวน์แดง จะเสิร์ฟกับอาหารที่มีเนื้อแดง ส่วนไวน์ขาวเสิร์ฟพร้อมกับเนื้อปลาและอาหารมังสวิรัติ ดังนั้นการเรียนรู้ว่า ชาชนิดใดสามารถเติมเต็มรสชาติของอาหารได้บ้าง จึงเป็นศาสตร์ที่คนรักชาควรศึกษาเพิ่มเติมไว้เพื่อช่วยให้รสชาติชาเขียวทำให้เมนูอื่นๆในร้านอร่อยมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Tea pairing

ชาแต่ละชนิดก็จับคู่กับอาหารอะไรเพื่อช่วยดึงรสชาติได้แตกต่างกัน เช่น ชาดำที่มีกลิ่นรสที่ strong และค่อนข้างเข้มข้นไปจนถึงขม ซึ่งมีความคล้ายกับความ Full-bodied ของไวน์แดง จับคู่ได้ดีกับอาหารเนื้อแน่น รสชาติหนักๆ พวกเนื้อย่าง (วัว, แกะ) พาสต้าเนื้อแน่นอย่างลาซานญ่า ชาขาวรสชาติเบาๆ ควรจับคู่กับอาหารที่เบามากเช่น ปลาเนื้อขาวเช่น ปลากะพงหรือชีสอ่อน ๆ ส่วนชาอู่หลงจะแตกต่างกันออกไป จะเข้ากันได้ดีกับของหวาน ผลไม้ ชีส และเนื้อสัตว์รมควัน แต่ถ้าเป็นชา Earl Grey จะเหมาะกับผลไม้และขนมหวาน เค้ก และดาร์กช็อกโกแลต

จะเห็นว่า ชา นอกจากจะสามารถเพิ่มรสชาติของอาหารบนจานของคุณได้อย่างแท้จริง ในทางกลับกันการจับคู่ผิดก็อาจจะทำให้อาหารและชามื้อนั้นรสชาติแย่ไปเลยก็มี มาดูกันว่าชาเขียว เหมาะกับการจับคู่กับอาหารชนิดใดบ้าง

  1. อาหารญี่ปุ่นและชาเขียว ถือเป็นส่วนผสมที่ดีต่อสุขภาพและเข้ากันที่สุด

อาหารของญี่ปุ่นที่ประกอบด้วยซา ชิมิ ข้าวปั้น ราเมง อาหรกลุ่มนี้จะเข้ากันได้ดีกับชาเขียว โดยเฉพาะเซนฉะที่มีความสมดุลของความเป็นกรดและความหวานที่เข้ากันได้ดีกับรสชาติของอาหารญี่ปุ่นนั่นเอง

  1. อาหารซีฟู้ด ชาเขียวโดยเฉพาะเซนฉะจะเข้ากันได้ดีกับอาหารทะเล เพราะช่วยเพิ่มรสชาติของกันและกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดการผสมผสานที่เป็นเอกลักษณ์ในปากและทิ้งรสขมเล็กน้อยที่ค้างอยู่ในปากซึ่งทำให้ต้องการอาหารซีฟู้ดมากขึ้น
  2. ขนมที่ใช้ช็อคโกแลต ช็อคโกแลตมีโกโก้ซึ่งให้รสขม หรือจะเป็นดาร์กช็อกโกแลตที่มีโกโก้มากกว่าเมื่อเทียบกับช็อคโกแลตอื่นๆ ทำให้มีรสขมอย่างเข้มข้น หากจับคู่กับชาเขียวที่ผสมผลไม้ จะได้รสชาติที่ลงตัวจากความขมของโกโก้และความหวานจากชาเขียว หากต้องการทานช็อคโกแลตประเภทหวานๆ เช่น ช็อกโกแลตนม ชาเขียวก็เป็นคู่ที่ดี เพราะรสขมเล็กน้อยของชาเขียวจะช่วยเพิ่มรสหวานของช็อกโกแลต
  3. ไก่ทอดรสชาติที่ได้จากชาเขียวจะเข้ากันได้ดีกับไก่ทอด เพราะชาเขียวจะช่วยลดอาการปากมันเยิ้มที่ได้จากการกินไก่ทอด
  4. ขนมปังโฮลวีตและชาเขียวเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีเยี่ยมและสามารถทำเป็นอาหารเช้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการได้การจับคู่นี้สามารถกระตุ้นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี

จะเห็นว่าชาเขียวเป็นเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ที่สามารถจับคู่กับอาหารได้เกือบทุกชนิด การทานชาแต่ละชนิดกับอาหารแต่ละอย่างจึงมีรสชาติแตกต่างกันไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคลด้วย หากร้านชาไหนที่ไม่มีเมนูของคาวทาานคู่ชาแล้ว ลองดูส่วนผสมอื่นที่มาผสมกับชาเขียวแก้วโปรดของคุณให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป ยิ่งไปกว่านั้นชาเขียวมัทฉะของญี่ปุ่นมักจะมีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลและดอกกุหลาบที่เด่นชัดมากขึ้นเมื่อผสมกับกลิ่นหอมของแตงกวาสีเขียวบางชนิด บางคนผสมกับตะไคร้ ขิง หญ้าฝรั่น แอปเปิ้ล สับปะรด แอปริคอท มะเขือเทศ หรือเหล้ารัม ก็ให้รสชาติที่แตกต่างออกไป เพราะชาเขียวจับคู่กับอะไรก็อร่อย ^^

ที่มา

https://www.teavivre.com/info/how-to-pair-tea-and-food.html

https://www.pinterest.com/pin/100768110397035818/

https://www.letempsduthe.fr

https://www.japanesegreenteain.com

บทความจาก : Fuwafuwa

ไอเดีย Easy Matcha Snacks พกไว้ไม่มีหิว

ช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ หลายคนคงออกเดินทางไปพักผ่อนต่างจังหวัดกัน แต่เวลาเดินทางแต่ละที ต้องฝ่ารถติด คนเยอะ บางทีถึงร้านอาหารแล้วก็ยังทานไม่ได้เพราะคิวเต็มก็มี เพื่อให้ท้องไม่ว่าง แนะนำให้พก snack สั่งชิ้นสองชิ้นติดกระเป๋าไว้ หิวเมื่อไหร่ก็หยิบขึ้นมาทนได้เลย ไม่ต้องหัวเสียหิวจนพาลหงุดหงิด หรือรอนานจนทริปหมดสนุก มาดูไอเดียสำหรับ Easy snacks สไตล์คนรักชาเขียวกันว่ามีเมนูอะไรน่าสนใจบ้าง เป็นไอเดียให้ทั้งคนที่รักการเข้าครัวทำเอง และเป็นไอเดียให้ร้านชา ร้านคาเฟ่ที่เน้นขายเมนูชาเขียว เพื่อให้มีขนมแบบ Grab&Go หยิบแล้วจ่ายเงินได้เลยไม่ต้องรอนาน

Matcha Granola Bars

เมนูแรกMatcha Granola Bars ขนมที่ได้คุณค่าทางสารอาหารแบบเต็มๆ ทำไม่ยากเพียงแค่นำ ข้าวโอ้ต 250 g. + อัลมอนด์สับ 80 g. +  เมล็ดฟักทอง 40 g + โกจิเบอรี่ 50 g แผ่ลงบนถาดอบ อบ 170°C 10 นาที

หลังจากอุ่นเมเปิ้ลไซรัป 180 g กับเนยอัลมอนด์ 180 g ในอุณหภูมิต่ำละลายเข้ากันนำไปคลุกกับผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ และส่วนผสมที่เข้าเตาอบเมื่อสักครู่แล้วนำมาแผ่บนถาดนำเข้าตู้เย็นเพื่อให้เซ็ตตัวประมาณ 10 นาที แล้วนำออกมาหั่นเป็นชิ้นๆตามขนาดที่ต้องการ

Cranberry Almond Matcha Macaroons

มาดูตัวที่สองที่น่าทานไม่แพ้กันCranberry Almond Matcha Macaroons ที่พลิกโฉมความคลาสสิกของมาการูนมะพร้าวแบบดั้งเดิม ด้วยการปรุงแต่งด้วยผงมัทฉะ แครนเบอร์รี่อบแห้งและอัลมอนด์ รสชาติเข้ากันได้ดี เริ่มจากใส่มะพร้าวขูด ประมาณ 2 ¼ ถ้วย น้ำตาลทราย ¼  ถ้วย ผงมัทฉะ 2 ช้อนชา

และเกลือป่น ⅛ ช้อนชา ลงในชามผสม คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ไข่ขาวและกลิ่นอัลมอนด์ คนให้เข้ากันจนส่วนผสมเข้ากันดี เติมแครนเบอร์รี่อบแห้งสับ ½ ถ้วย และอัลมอนด์สับ ¼ ถ้วยลงไป แล้วใช้ที่ตักไอศครีมตักส่วนผสมออกมาเป็นสกู๊ป วางบนถาดอบ เว้นระยะระหว่างชิ้นเล็กน้อยเพื่อให้เวลาอบไม่ติดกัน นำเข้าอบ 160 องศา 24-30 นาที หรือจนขอบด้านล่างและด้านบนของมาการูนเป็นสีน้ำตาลทอง นำออกจากเตาอบและปล่อยให้เย็นบนแผ่นประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะย้ายไปที่ตะแกรงเพื่อให้เย็นสนิท เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

อีกเมนูแสนง่ายคือMatcha Energy Ball โดยใส่อัลมอนด์ 1 ถ้วย + อินทผาลัมสับ ½  ถ้วย + เมล็ดเจีย 2 ช้อนโต๊ะ + ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา และเกลือหยิบมือ ลงในเครื่องปั่นความเร็วสูง ปั่นจนส่วนผสมจะเริ่มติดกัน ปั่นเป็นก้อนกลม ทิ้งไว้ในช่องแช่แข็งอย่างน้อย 30 นาที ก็จะได้เพลิดเพลินกับมัทฉะบอลได้ ซึ่งมัทฉะบอลนี้จะเก็บในตู้เย็นได้นานถึง 1 สัปดาห์

Matcha Snack

อีกเมนูที่คนฝรั่งจะเรียกว่า Nougat ที่เกิดจากการนำ น้ำตาล  น้ำผึ้ง ถั่วต่างๆ และผลไม้แห้งหลากชนิดมาคั่วและกวนจนแห้ง เหนียวและแข็งคล้ายกับ “ตังเม” ในไทยนั้นเอง สามารถเติมผงมัทฉะลงไปเพื่อเพิ่มความขมตัดกับรสหวานและเพิ่มTexture ของการเคี้ยวด้วยงาดำ

Nougat Nougat

อีกเมนูที่เชื่อว่าหลายคนคิดไม่ถึงว่าป็อปคอร์นจะสามารถทำรสชาเขียวได้ อย่งป็อปคอร์นชาเขียวหรือเป็นพวกถั่วอัลมินด์ เม็ดมะม่วงหิมพาานต์คลุกกับผงมัทฉะ ที่ญี่ปุ่นก็เริ่มมีหลายร้นที่แพ็คถั่วรสชาติต่างๆขาย เป็นการต่อยอดเมนูเดิมๆให้ดูสร้างสรรค์ขึ้น แถมยังแบ่งบรรจุใส่แพ็คเล็กให้พกพาไปทานที่ไหนก็ได้

ที่มา

https://www.mysequinedlife.com/cranberry-almond-matcha-macaroons/

https://www.snixykitchen.com/matcha-black-sesame-nougat-chews/

https://foodaciously.com/recipe/matcha-granola-bars

บทความจาก : Fuwafuwa

เพิ่มสีสันให้เมนูชา รับเทศกาลคริสมาสต์

ใกล้ช่วงสิ้นปีแบบนี้ หลากหลายร้านเริ่มออกเมนูใหม่ต้อนรับเทศกาลความสุข ทั้งเครื่องดื่มและเบเกอรี่ แต่ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะสร้างสรรค์เมนูยังไง MATCHAZUKI ได้รวบรวมไอเดียและสูตรเครื่องดื่มและขนมชาเขียว ให้คอชาเขียวได้ลองปรับเปลี่ยนเมนูที่ร้านให้สนุกขึ้น

คริสมาสต์

เริ่มจาก มัทฉะลาเต้ร้อน เมนูแนะนำของหลายๆร้านที่เพิ่มสีสันรับเทศกาล คริสมาสต์ง่ายๆเพียงใส่มาชแมลโลว์ snowman น่ารักๆลงไปทานคู่กัน วิธีทำไม่ยากมากเพราะเริ่มจากทำมาร์ชแมลโลว์ทรงสี่เหลี่ยมตามสูตรมาชแมลโลว์ที่ร้านชื่นชอบ ให้มีขนาดใหญ่พอที่จะตัดเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมด้านใดด้านหนึ่งหักออกแล้วจุ่มไม้จิ้มฟันลงในไวท์ช็อคโกแลตสีส้มที่ละลายแล้วและวาดจมูกลงบนมาร์ชแมลโลว์ ส่วนตาใส่ดาร์กช็อกโกแลตชิพ 2 ช้อนโต๊ะกับน้ำมันมะพร้าว 1/4 ช้อนชาลงในจานเล็ก ๆ และไมโครเวฟทีละ 20 วินาทีกวนทีละน้อยจนดาร์กช็อกโกแลตละลายอย่างสมบูรณ์และเนียน ใช้ไม้จิ้มฟันที่มีปลายแหลมจุ่มลงในดาร์กช็อกโกแลตที่ละลายแล้วตบที่ตาและปากของ snowman แล้วปล่อยให้ช็อคโกแลตหน้ามนุษย์หิมะตั้งไว้ที่อุณหภูมิห้องก่อนเสิร์ฟคู่มัทฉะลาเต้ร้อนแก้วโปรด

Matcha Cookie Christmas Tree

ต่อด้วย Matcha Cookie Christmas Tree เริ่มจากตีเนยจืด 1 ถ้วย ผงมัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาล  1 ½  ถ้วยจนฟู ใส่ไข่แดง 1 ฟอง และวานิลลา 1 ช้อนชาลงไปแล้วผสมจนเข้ากัน แล้วร่อนแป้ง เบกกิ้งโซดาและเกลือเข้าด้วยกันพักไว้อีกชาม ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในชามแล้วผสมให้เข้ากัน ปิดฝาแป้งและแช่เย็น 30 นาที เปิดเตาอบที่ 180 องศา วางกระดาษรองอบลงในถาดอบ

หั่นแป้งเป็นครึ่ง ๆ หรือสี่ส่วนแล้วรีดให้มีความหนาประมาณ 1/6 – 1/4 นิ้ว ใช้พิมพ์ต้นคริสมาสต์ตัดลงไปแล้ววางบนกระดาษรองอบที่เตรียมไว้ อบแต่ละชุดเป็นเวลา 7-9 นาที ตกแต่งลวดลายด้วยไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายด้วยไมโครเวฟ 20 วินาที หรือผสมสีแดงเล็กน้อยเพื่อให้ได้ลวดลายที่แตกต่างไป

ความเข้มอ่อนขอสีต้นคริสมาต์ขึ้นอยู่กับปริมาณผงมัทฉะที่ใส่ลงไป เพิ่มความน่ารักด้วยการผูกโบว์ หรือแพ็คใส่ถุงแก้วใสๆเพื่อโชว์ลวดลายคุ้กกี้ก็ได้

เทคนิคเพิ่มความน่ารักให้คุ้กก้คริสมาสต์คือ ตอนกดแป้งเป็นรูปต้นคริสต์มาสต์ สามารถกดเป็นรูปดาว หลายๆขนาดได้ เพื่อหลังจากอบเสร็จ มาวางเรียงสลับชั้นกัน โดยแต่ละชั้นเชื่อมด้วยไวท์ช็อคโกแลตเล็กน้อย ปักดาวด้านบนด้วยเมล็ดอัลมอนด์ แล้วโรยไอซิ่งเล็กน้อย ก็ได้เมนูคุ้กกี้ชาเขียวรับเทศกาลคริสมาต์นี้แล้ว

Matcha Mont Blanc

อีกเมนูที่แค่เห็นก็นึกถึงต้นคริสมาต์เลย คือ Matcha Mont Blanc สามารถใช้สูตรมองบลังค์ปกติที่ทำได้เลยเพียงแต่เปลี่ยนส่วนผสมครีมเกาลัดที่บีบด้านบนเป็นครีมชาเขียว แล้วประดับตกแต่งด้วยคุ้กกี้ไอซิ่งสีสันสดใส ก็กลายเป็นมองบลังค์ชาเขียวที่ใครได้ทานต้องประทับใจ

Matcha Mont Blanc

นอกจากเมนูชาด้านบนที่เป็นตัวอย่างให้ร้านชาของคุณได้เห็นไอเดียเบื้องต้นสำหรับดัดแปลงเมนูแล้ว ยังมีเมนูชาเขียวอีกหลายหลายเมนูที่สามารถทำขายช่วงคริสมาสต์ได้ เช่น Matcha Hot Chocolate หรือ Matcha Macaron หรือจะเป็น Matcha Cake ที่เน้นการเติมสีแดงด้วยสตรอเบอร์รี่

Matcha Macaron Matcha Macaron

แต่ถ้าใครไม่ถนัดทำขนมที่ต้องใช้เทคนิคเยอะๆ ลองเอาเมนูขนมชาเขียวแบบไม่อบ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/dpDS7 ) มาปรับให้เป็นสไตล์คริสมาต์ดูก็เป็นอีกไอเดียที่น่าสนใจ ยิ่งถ้ามีเมนูใหม่ๆออกมาพร้อมกับจัดแคมเปญส่งท้ายปีด้วยโปรโมชั่นหรือกิจกรรมที่น่าสนใจ ยิ่งช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าอยากมาที่ร้านได้มากขึ้น ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/ceqKP ) เพราะไม่จำเป็นว่าช่วงเทศกาลแบบนี้ทุกร้านจะต้องมีเมนูใหม่ๆออกมา มันอาจจะเป็นการยากไปสำหรับบางร้านที่ต้องคิดเมนูใหม่ๆตลอด เพราะตามควมเชื่อของคนญี่ปุ่นนั้น แค่ซื้อชาเขียวมอบให้กันในเทศกาลต่างๆก็ถือว่าเป็นการอวยพรให้มีสุขภาพที่ดีแล้ว ( ดูเพิ่มเติมได้ที่ shorturl.at/bcCHK )

ที่มา

https://encha.com/pages/matcha-recipes

https://www.stephaniesuen.com/2018/12/08/mini-matcha-christmas-tree-sugar-cookies/

https://steemit.com/food/@alwayssmile/elegant-noble-french-dessert-mont-blanc

https://hostthetoast.com/matcha-cookie-christmas-tree-stacks/

บทความจาก : Fuwafuwa

ไอเดียเมนูเบเกอรี่ชาเขียวแบบไม่ง้อเตาอบ

การทำเบเกอรี่อาจจะดูเป็นเรื่องยุ่งยากของใครหลายๆคน ทั้งด้วยเรื่องอุปกรณ์ที่ต้องลงทุนเพิ่มมากมาย เตาอบก็กินพื้นที่ในร้าน แถมการอบขนมก็ยังควบคุมคุณภาพยากไปสำหรับมือใหม่หัดลองทำขนม ลองมาดุไอเดียดีๆของขนม”ไม่อบ” ทำง่าย ใช้เวลาไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แถมเพิ่มเทคนิคในการจัดตกแต่ง ทำให้ขนมไม่อบที่แสนง่าย สวยน่าทาน ดูมีมูลค่ามากขึ้น

เริ่มจาก เมนูแสนง่ายอย่างเครปเค้กชาเขียวที่ใช้เพียงกระทะ ในการทำแผ่นแป้งเครป สามารถครีเอทเมนูน่าทานได้

เครปเค้กชาเขียว เครปเค้กชาเขียว

เริ่มจากนำไข่ 3 ฟอง +  นม 1 ½ ถ้วย + น้ำตาล 1 3/4 ช้อนโต๊ะ + แป้ง 1 ถ้วย + ผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ + ผงฟู 1 ช้อนชา และ เนยละลาย 2 ช้อนโต๊ะ  ผสมให้เข้ากัน เทส่วนผสมทั้งหมดหลังจากคนเข้ากันแล้ว ผ่านกระชอนและพักไว้ในตู้เย็น 2 ชั่วโมง เอาออกมาทอดบนกระทะ บางๆ ให้สุกทั่ว แล้ววางพักไว้ให้เย็น ต่อที่การทำครีมสดแสนอร่อย เพียงนำ วิปปิ้งครีม 3/4 ถ้วย + น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ + เหล้ารัม 1 ช้อนโต๊ะมาตีด้วยตะกร้อมือจนตั้งยอดแข็ง แช่เย็นพักไว้

นำแป้งมาาวาง สลับกับการปาดครีมสดลงไปบาางๆที่ละชั้นซ้อนกันจนสูงเท่าท่ต้องการห่อด้วยพลาสติกให้แน่นและแช่แข็งเป็นเวลา 4 ชั่วโมง เอามาตกแต่งตามสไตล์ที่ชอบ เช่น เทช็อกโกแลตลงบนเครปแล้วปล่อยให้แห้ง

โรยด้วยผงมัทฉะและทองคำเปลว หรือจะครีเอทไปอีกตั้งแต่ตอนวางแป้งเครป จากการวางซ้อนกัน ให้เป็นการวางเป็นวงกลมแทน ก็จะได้ขนมไม่อบในรูปแบบเก๋ไก๋ ไม่ซ้ำร้านไหนเลย

มูสชาเขียว

นอกจากเครปเค้ก การทำมูสชาเขียว ก็เป็นขนมอีกประเภทที่นิยมทำกัยสำหรับครัวที่ไม่มีเตาอบ เพิ่มความแตกต่างหลากหลายด้วยการจัดตกแต่งที่ทำให้ขนมดูสวย น่าทาน สามารถดูวิธีทำมูสชาเขียวได้ที่ https://matchazuki.com/matcha-mousse-pie/

อีกเมนูที่เป็นสูตรหวานน้อย และเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ คือ การทำ มัทฉะบาร์

มัทฉะบาร์ มัทฉะบาร์

แป้งข้าวโอ๊ต ผงมัทฉะและเกลือ ส่วนผสมสำคัญที่ใช้ในการทำขนมไม่อบตัวนี้ เททั้งหมดลงในชามผสมขนาดใหญ่คนให้เข้ากัน ใส่น้ำเชื่อมเมเปิ้ล เนย นมอัลมอนด์และวานิลลา ผัดจนได้แป้งโดว์ ใช้มือเปียกกดลงในจานอบที่เตรียมไว้ให้เท่าๆ กัน เคลือบช็อกโกแลตโดยใส่ช็อกโกแลตชิพน้ำมันมะพร้าวและเนยลงในชาม เข้าไมโครเวฟ 20 วินาที หรือจนกว่าจะละลาย เทช็อกโกแลตให้ทั่วแท่งแล้วใช้ไม้พายเกลี่ยให้ทั่ว แช่แข็งอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อนหั่นเป็นแท่งตามขนาดที่ต้องการ บางร้านใช้การผสมธัญพืชเข้าไปอีกเพื่อให้มีสารอาหารที่มากขึ้น

Matcha Bar

พานาคอตต้าชาเขียวขนมอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เตาอบ ทำง่าย และสามารถเปลี่ยนพิมพ์ได้หลากหลายทรงตามความชอบ และตกแต่งได้หลายแบบ ทั้งราดซอสสตอเบอรี่ โรยถั่วพิตาชิโอ้ ขนมไม่อบ ทานแบบเย็นเหมาะกับอากาศร้อนๆบ้านเรา

พานาคอตต้าชาเขียว พานาคอตต้าชาเขียว

วิธีทำพานาคอตต้าชาเขียวอย่างง่าย เพียงแค่ แช่เจลาติน 8 กรัม ในน้ำเย็นจนนิ่ม เทใส่ครีม 750 มล. + นม 300 มล + น้ำตาลทราย 160 กรัม และกลิ่นวนิลา คนด้วยไฟอ่อนๆ จนเจลาตินละลายหมดแล้วจึงนำออกจากเตา กรองส่วนผสมลงในแม่พิมพ์แล้ว แช่เย็นเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหรือข้ามคืน เวลาเสิร์ฟ สามารถเสิร์ฟได้ทั้งพิมพ์ หรือเทออก ก็ได้ตามความชอบ

พาร์เฟต์ชาเขียว พาร์เฟต์ชาเขียว พาร์เฟต์ชาเขียว

อีกหนึ่งเมนูที่เห็นบ่อยที่ญี่ปุ่น คือ พาร์เฟต์ชาเขียวที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามในแก้วทรงสูง เรียงสลับกับครีมสดหลากหลายรสชาติกันตามสไตล์ของแต่ละร้าน ขนมที่ไม่ต้องใช้เตาอบ และเตรียมวัตถุดิบง่ายที่สุด ท้อปปิ้งด้วย นามะมัทฉะช็อคโกแลต หรือจะเป็นวุ้นชาเขียวญี่ปุ่น ที่เรียกว่า โยคัง ก็ได้ เพิ่มความหนึ่บระหว่างชั้นด้วยโมจิก้อนกลม  แก้เลี่ยนระหว่างชั้นด้วยผลไม้รสเปรี้ยว คอนเฟลค หรือถั่ว เพียงแค่นี้ ก็ได้ขนมแสนอร่อยโดยไม่ต้องใช้เตาอบเลย ถึงแม้ว่าการทำขนมที่อุปกรณ์จะเยอะมากจนหลายคนไม่กล้าที่จะลองทำเมนูใหม่ๆมาขายในร้าน แต่ ขนมไม่อบ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ง่าย สะดวก และเหมาะสำหรับมือใหม่หัดทำขนมแน่นอน

ที่มา

https://www.snixykitchen.com/mint-chocolate-mousse-toasted-matcha-meringue/

https://www.hummusapien.com/matcha-protein-bars/

https://balancingandie.com/nobakematchaoatmealbars/

https://www.crazyvegankitchen.com/vegan-matcha-tiramisu-green-tea-tiramisu/

https://www.tastemade.com/videos/matcha-gold-crepe-cakes

บทความจาก : Fuwafuwa

MATCHA MOONCAKE เมนูพิเศษรับเทศกาลไหว้พระจันทร์

เทศกาลไหว้พระจันทร์ของแต่ละประเทศก็มีธรรมเนียมที่ไม่เหมือนกัน อย่างที่ญี่ปุ่น แม้จะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน แต่ขนมที่ใช้ไหว้ในช่วงเทศกาลนี้กลับแแตกต่างกันออกไป ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนชนมไหว้พระจันทร์ที่เราคุ้นเคยเพราะคนญี่ปุ่น มีความเชื่อกิดขึ้นเมื่อมีขุนนางเป็นผู้ที่นำเข้ามาในช่วงสมัยนาระ-สมัยเฮอัน ในวันขึ้น 15 ค่ำ พลังงานที่มาจากดวงจันทร์จะมีสิ่งลี้ลับที่จะสามารถให้พรที่ขอนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ (บางครั้งคนญี่ปุ่นจะจินตนาการเห็นเงาบนพื้นผิวพระจันทร์นั้นเป็นรูปร่างคล้ายกระต่ายที่กำลังตำขนมโมจิ) โดยส่วนใหญ่ชาวนามักจะไหว้เพื่อแสดงการขอบคุณหลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยส่วนใหญ่ชาวนามักจะขอพรจากดวงจันทร์ให้เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตที่ดี พืชผลอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและเพื่อขอพรให้ได้พืชผลที่ดีในปีต่อๆไป

mooncake mooncake

วันนั้นผู้คนจะเฉลิมฉลองด้วยการเตรียมอาหารประจำฤดูใบไม้ร่วงในการบวงสรวงพระจันทร์ คือขนมไหว้พระจันทร์ซึกิมิ ดังโงะ (月見 団子tsukimi dango)ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและน้ำตาล นำไปนึ่งพร้อมปั้นเป็นลูกกลมๆ ส่วนมากก็จะปั้นโมจิทรงกลมทั้งหมด 12 ลูกตาม 12เดือนในหนึ่งปี หรือ 15ลูกตามคำเรียก “คืนที่สิบห้า” ซึ่งดังโงะแต่ละพื้นที่ก็มีหน้าตาแตกต่างกันออกไป และขนมสมัยใหม่ ก็มีการดัดแปลงเอาโยคัง หรือเนริกิริมาปั้นให้เป็นรูปร่างกระต่ายมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับเทศกาล

mooncake

อย่างไรก็ตามในไทยยึดความเชื่อตามแบบจีนแท้ๆ ที่มีการใช้ขนมไหว้พระจันทร์ หลากหลายไส้ อย่างไส้ยอดนิยมหรือไส้ดั้งเดิมจะเป็น ไส้ทุเรียน , ไส้ลูกบัว เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้มีไส้แปลกใหม่ เช่น ไส้ช็อกโกแลต, ไส้ชาเขียว, ไส้คัสตาร์ด และอีกมากมาย แน่นอนว่าไส้ต่างๆของขนมไหว้พระจันทร์ช่วยสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ให้กับช่วงเทศกาลเป็นอย่างยิ่ง นอกจากไส้ขนมที่มีมากขึ้นแล้ว หลากหลายร้านก็ยังเพิ่มเติมความแปลกใหม่ให้กับตัวแป้งขนมไหว้พระจันทร์ด้วย ถ้าเป็นขนมไหว้พระจันทร์ต้นตำรับก็ต้องเป็น “แป้งอบ”แต่เดี๋ยวนี้ก็จะมีแป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบไม่อบหรือที่หลายคนเรียกว่า “แป้งบัวหิมะ”มาช่วยเพิ่มสีสันด้วย เพราะในแป้งแบบไม่อบนี้สามารถเติมสีสันได้ตามต้องการ ส่วนมากจะนำมาห่อไส้สมัยใหม่หรือไส้ที่ต้องกินแบบเย็นๆ

mooncake mooncake mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบอบไม่มีอะไรที่ซับซ้อนนัก เพียงผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันแล้วนวดจนเนียนเข้ากันดี จึงนำไปห่อไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่เตรียมไว้ กดใส่พิมพ์ เคาะออกมา แล้วนำไปอบให้สุกตามสูตรก็เป็นอันเสร็จ ซึ่งวิธีทำแต่ละร้านก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ขนมไหว้พระจันทร์แบบอบจะทำเป็นสอดไส้ชาเขียวผสมเม็ดบัว หรือเกาลัด เพื่อให้ได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น และความกลมกล่อมของชาเขียวที่เข้ากันกับเกาลัด นอกจากทำเป็นไส้ขนมได้แล้วยังสามารถเอามาผสมกับแป้งเพื่อทำให้สีแป้งเป็นสีชาเขียวได้เช่นกัน

mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบอบให้เป็นสีชาเขียว

1.แป้งสาลี 130 กรัม

2.น้ำมันถั่วลิสง 15 กรัม

3.น้ำเชื่อม 65 กรัม

4.ผงมัทฉะ 8 กรัม ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้แป้งสีเข้มอ่อนแค่ไหน

ขั้นตอนการทำ

  1. การเตรียมแป้ง ผงมัทฉะ ผสมน้ำมันถั่วลิสงและน้ำเชื่อมเข้าด้วยกัน จากนั้นเทแป้งสาลีลงบนโต๊ะแล้วเปิดพื้นที่ว่างเป็นวงตรงกลางแป้ง จากนั้นเทส่วนผสมของน้ำมันถั่งลิสงที่ผสมแล้วลงไปในตรงกลางแล้วผสมให้เข้ากัน นวดจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตัดแบ่งเป็นชิ้นชิ้นละ 12 กรัม (ปรับขนาดได้ตามต้องการ)
  2. การเตรียมไส้ขนม 50 กรัม ห่อไข่เค็มหั่นครึ่ง 1 ชิ้น โดยวางไข่เค็มไว้ตรงกลาง
  3. การเตรียมขนม กดตัวแป้งให้แบนแล้วจึงใส่ไส้ลงไปและเป็นก้อนกลม เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้โรยแป้งบนพิมพ์ขนมเล็กน้อย แล้วจึงใส่ตัวขนมลงไป กดขนมให้แน่น จากนั้นเคาะออกจากพิมพ์แล้ววางบนถาดอบ
  4. การอบ นำขนมเข้าอบในเตาที่ปรับอุณหภูมิไว้แล้ว ที่ไฟบน 230 องศาและไฟล่าง 200 องศา เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นนำออกมาและทาผิวขนมด้านบนด้วยไข่ ก่อนจะเอาเข้าไปอบต่ออีก 10 นาทีก็เป็นอันเสร็จ

ต่อกันด้วย ขนมไหว้พระจันทร์แบบแป้งไม่อบเมื่อไม่ต้องนำไปอบให้สุกอีกครั้งหนึ่ง จึงต้องทำแป้งให้สุกก่อนนำไปห่อไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่เตรียมไว้ แป้งขนมแบบนี้จริงๆ แล้วมีอยู่มากมายหลายสูตร หากใครเคยกิน “แป้งบัวหิมะ – Snow Skin” ของหลายๆ ร้านก็จะรู้ว่าแต่ละเจ้ามีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ส่วนมากแล้วขนมไหว้พระจันทร์แบบแป้งไม่อบจะกินแบบเย็น หากนำไปแช่ตู้เย็นแล้วแข็งเกินไป เพียงนำออกมาวางข้างนอกให้คลายความเย็นลงก็กินได้เลย ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์แบบนี้จะสามารถใส่ผงมัทฉะเข้าไปในระหว่างผสมแป้งได้ เพื่อให้ได้แป้งรสชาเขียว สีสวยสดใสตามที่ต้องการ หรือถ้าใครครีเอทไปอีก อยากจะลองใส่ผงชาโฮจิฉะลงไป ก็น่าสนใจไม่น้อย

mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบไม่อบ

  1. แป้งข้าวเหนียว 50 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
  3. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. นมสด 200 กรัม
  6. นมข้นหวาน 40 กรัม
  7. น้ำมันพืช 40 กรัม
  8. ผงมัทฉะ 5 กรัม

ขั้นตอนการทำ

  1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน นำไปนึ่งด้วยไฟกลาง ประมาณ 20-30 นาที (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดภาชนะ)
  2. เมื่อนึ่งส่วนผสมเสร็จแล้ว นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น แล้วจึงนำแป้งมานวดให้เนียน
  3. ส่วนไส้ ก็สามารถใส่ได้หลายแบบ หลังจากที่นำแป้งไปห่อไส้แล้ว กดปั้นกลม แล้วนำไปกดด้วยพิมพ์ขนมไหว้พระจันทร์ตามชอบเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ไอเดียเมนูใหม่ ที่ร้านขนมหลายร้านอาจจะนึกไม่ถึง ให้ช่วงเทศกาลพิเศษ มีขนมแบบใหม่ๆออกมา เพื่อเรียกลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ ยิ่งถ้าได้แพคเกจดีๆสวยๆ ทั้งแบบชิ้นเดี่ยว หรือซื้อเป็นชุด ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับขนมไหว้พระจันทร์ สร้างความประทับใจให้ผู้รับแน่นอน

mooncake

ที่มา

https://www.huangkitchen.com/matcha-green-tea-snowskin-mooncake/

https://songdaygivral.hatenablog.com/entry/cac_loai_banh_trung_thu_givral

https://mobile.twitter.com/mo_hotels/status/500360064214241280

Pumpkin Snowskin Mooncakes 南瓜冰皮月饼

https://goodyfoodies.blogspot.com/2013/09/recipe-homemade-snowskin-mooncakes-with.html

บทความจาก : Fuwafuwa

เมนูสุดฮิต Matcha Croissants

ครัวซองค์เบเกอรี่ที่หลายคนชื่นชอบ มีหลายร้านที่ทำครัวซองค์ออกมาขายในรสชาติยอดนิยม อย่างครัวซองค์อัลมอนด์ , ครัวซองค์เนย, ครัวซองช็อคโกแลต ซึ่งถ้าใครชื่นชอบชาเขียวเป็นพิเศษ ก็อาจจะรู้สึกว่าครัวซองค์ชาเขียวเป็นอะไรที่หากินยาก รอบนี้เลยเอาใจร้านที่มีเมนูครัวซองค์อยู่ในร้านแล้ว แต่อยากต่อยอดให้มีรสชาติแปลกใหม่อย่างชาเขียว ว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้ครัวซองค์ที่ร้าน แต่ต่างจากร้านอื่นๆ

มาเอาใจคนเลิฟมัทฉะครัวซองค์แบบแรกด้วยไอเดียแสนง่ายเพียงเติมผงมัทฉะลงไปในแป้งที่มาทำเป็นโดว์ครัวซองค์  และเวลาอบออกมาแป้งจะได้สีเขียวสวยแตกต่างจากครัวซองค์เนยทั่วไป

Matcha Croissants Matcha Croissants

ไอเดียต่อมาที่ทำง่ายและสีสวยน่ารับประทานคือการบีบครีมสดชาเขียวนุ่มละมุนลงครัวซองค์ การบีบก็ทำได้หลายวิธีและมีหลายหัวบีบที่ทำให้ครัวซองค์แต่ละร้านมีหน้าตาต่างกันออกไป การนำเทคนิคแบบการทำมองค์บลังค์มาบีบครีมสด ก็เป็นอีกไอเดียที่ทำให้ครัวซองค์น่าทานมากขึ้น ซึ่งครีมที่บีบตรงนี้อาจจะผสมถั่วขาวเข้าไปตามสไตล์ขนมญี่ปุ่นก็ช่วยตัดเลียนได้เช่นกัน

Matcha Croissants

นอกจากครีมสดแล้วอีกวิธีที่เห็นได้ทั่วไป คือครัวซองค์เคลือบช็อคโกแลตชาเขียว ตัวนี้เคลือบได้หลายวิธีเลย ทั้งการเคลือบทั้งชิ้น หรือเคลือบแค่ส่วนเดียวแล้วโรยท้อปปิ้งด้วยช็อคโกแลต หรือผงครัมเบิ้ล อัลมอนด์าไลด์ตามชอบ หรือเพิ่มความเข้มข้นให้ถูกใจคนรักชาเขียวด้วยดิปซอสชาเขียว ยิ่งทำให้ขนมน่าทานและเกิดการถ่ายภาพแชร์ต่อกันในโซเชียลได้

Matcha Croissants Matcha Croissants

Matcha Croissants Matcha Croissants Matcha Croissants

ส่วนตัวไส้ครัวซองค์ที่นิยมทานคู่ชาเขียว คงหนีไม่พ้น ถั่วแดงและครีมสด ขนมสไตล์ลูกครึ่งญี่ปุ่นฝรั่ง

ครัวซองต์ชาเขียว

ส่วนครัวซองที่เป็นชิ้นเล็กๆที่เหลือจากการหั่นครัวซองค์เพื่อขึ้นรูป แนะนำให้หาพิมพ์ CUBE มาแล้วเอาเศษที่เหลือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่เข้าไป ก็จะได้ครัซองค์หน้าตาแบบใหม่ที่ต่างจากร้านอื่นแน่นอน หรือถ้าหากใครอยากได้ลวดลายครัวซองค์ CUBE ที่สวยงาม แทนที่จะขึ้นรูปครัวซองค์ปกติ สามารถขึ้นโดว์ด้วยการม้วนแล้วให้ขึ้นฟูในแม่พิมพ์ก็ได้ พออบออกมาจะได้ลายก้นหอยที่สวยงาม และสามารถใส่ไส้ครีมสดชาเขียว โรยหน้าตกแต่งด้วยไอซิ่ง หรือถั่วพิตาชิโอ้ ยิ่งทำให้น่ารับประทานมากขึ้น

Cube Cube Cube

ถัดจากขนมอีกส่วนที่เป็นหน้าตาของร้านพอกันคือ แพคเกจ ร้านส่วนใหญ่นิยมใช้มักเป็นกระดาษห่อปกติ หรือใส่รวมกันในกล่อง หากอยากสร้างความแตกต่างให้ครัวซองค์ชาเขียว สามารถทำแพคเกจที่แตกต่างออกมาได้ นอกจากจะช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้ที่ร้านแล้วยังช่วยให้ครัวซองค์แต่ละชิ้นถูกเก็บในกล่องแยกชิ้นกันอย่างดี ไม่เสียหาย

สร้างสรรค์เมนูเดิมๆให้เป็นเมนูใหม่ๆตามแบบฉบับคนรักชาเขียว จะช่วยสร้างมูลค่าให้ขนมที่ร้านน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ที่มา

https://www.packagingoftheworld.com/2019/10/sweet-home.html?m=1

https://www.pinterest.com/pin/33706697196821794/

IG : @koidb

IG : @tini.artisanbakehouse

บทความจาก : Fuwafuwa

ยืดอายุวัตถุดิบในร้าน ด้วยการทำ Matcha Chocolate

เคยสงสัยกันมั้ยว่า ช็อคโกแลตมีวันหมดอายุมั้ย ทำไมถึงเก็บได้นานกว่าขนมชนิดอื่นๆ???

ช็อคโกแลต เป็นของหวานที่อยู่ได้นาน เพราะทำมาจาก เนยโกโก้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ขนมหวานสีน้ำตาลนี้อยู่ได้นานเป็นปี เพียงแค่แช่ตู้เย็นรักษาอุณหภูมิเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เนยโกโก้ยังถูกนำมาใช้กับโลชันทาผิวและทาหน้า เพื่อให้มันสามารถอยู่ได้นานเป็นปีอีกด้วย เนยโกโก้ไม่ได้มีดีเพียงเท่านั้น มันยังมีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิพอเหมาะ และละลายได้เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกายประมาณ 34 องศาขึ้นไป นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ช็อกโกแลตละลายในปากนั่นเอง

ด้วยความที่เก็บรักษาได้ยาวนาน จึงทำให้บางครั้งมีคราบขาวๆบริเวณผิวช็อคโกแลตได้ แต่นั่นเป็นเพียงไขมันที่ละลายแล้วขึ้นไปเกาะที่ผิวหน้าช็อกโกแลต ไม่ใช่เชื้อราแต่อย่างใด

ด้วยลักษณะพิเศษของช็อคโกแลตที่เก็บได้นานจึงเป็นขนมที่เหมาะสำหรับการใช้ช่วยแปรสภาพวัตถุดิบในร้านที่อาจจะซื้อมาสต็อกไว้มากเกินไป จนระบายไม่ทัน และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบที่มีอยู่ให้เป็นขนมรูปแบบใหม่ที่น่าทานมากกว่าเดิม ด้วยการทำช็อคโกแลตชาเขียวนั่นเอง

Two - tone Matcha Chocolate

Two – tone Matcha Chocolate เมนูช็อคโกแลตชาเขียวแสนง่าย 2 สี ขนาดพอดีคำ

  1. ละลายเนยโกโก้ 100 กรัม ค่อยๆเติมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ในขณะที่ช็อคโกแลตยังอุ่นอยู่
  2. ยกออกจากเตา แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเติมผงมัทฉะ 1 ช้อนชา เกลือเล็กน้อย และกลิ่นวนิลา คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  3. เทใส่พิมพ์ตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ เข้าช่องฟรีซ 10 นาที
  4. ส่วนช็อคโกแลตที่แบ่งทิ้งไว้อีกส่วนให้เติมผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วเทใส่พิมพ์ในข้อ 3 ที่เซ็ตตัวแล้ว แล้วนำเข้าช่องฟรีซอีกครั้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

Matcha Nama Chocolate Matcha Nama Chocolate 1

อีกเมนูช็อคโกลต ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทานกัน จะเป็นMatcha Nama Chocolate ด้วยการละลายไวท์ช็อคโกแลต 200 กรัม ให้ละลายเกือบหมด เติมผงมัทฉะ 12 กรัม ( และผงซากุระ  2 กรัม เพื่อให้ได้รสและกลิ่นของซากุระปนอยู่เล็กน้อย )  + เนยจืด 20 กรัม + วิปปิ้งครีม 70 กรัมคนให้เข้ากัน แล้วเทใส่พิมพ์ที่รองกระดาษรองอบไว้แล้ว นำไปแช่ตู้เย็น 4-5 ชั่วโมงจนเริ่มเซ็ตตัว เอาออกมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ โรยผงชาเขียวด้านบนเล็กน้อย และตกแต่งด้วยราสเบอรี่อบแห้งชิ้นเล็กๆ หรือแปะด้วยดอกซากุระด้านบนให้เข้ากับเทศกาลก้ได้

Strawberry Matcha Chocolate Bark  ช็อคโกแลตชาเขียวสีสันสดใสด้วยสตอเบอรี่อบแห้งและ ไวท์ช็อคโกแลต วิธีทำคือ

  1. ละลายไวท์ช็อคโกแลต 280 กรัม แล้วแบ่งออกมาใส่ถ้วยเล็ก ⅓ ของส่วนผสมที่ได้ แล้วเอาส่วนที่เหลือ ใส่ผงมัทฉะลงไป 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน พยายามรีบคนในขณะที่ช็อคโกแลตยังอุ่นๆเพื่อให้ผงมัทฉะละลายได้ง่ายขึ้น
  2. เทช็อคโกแลตลงไปบนกระดาษรองอบ ใช้ตะเกียบ หรือ สเครปเปอร์ เกลี่ยใ้ห้บางเท่ากันทั้งแผ่น
  3. เทไวท์ช็อคโกแลตที่แบ่งไว้ เป็นหย่อมๆลงบนช็อคโกแลตชาเขียวในข้อ 2 ใช้ไม้จิ้มฟันหมุนวนไปมาให้เกิดลายบนช็อคโกแลตตามภาพ
  4. โรยผลไม้อบแห้งเช่น สตอเอบรี่ ราสเบอรี่ลงไปให้ทั่วๆ โรยเกลือเล็กน้อยตัดรสชาติ แช่ฟรีซ 15 นาที
  5. หลังจากแข็งได้ที่เอาออกขากกระดาษไข หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมตามชอบ แพ็คใส่แพคเกจใสๆเพื่อให้เห็นลวดลาย สามารถตั้งขายเป็นสินค้า Grab & Go ที่แคชเชียร์หน้าร้านได้ด้วย

Matcha chocolate Bark Matcha chocolate Bark Matcha chocolate Bark

Matcha chocolate Bark 3 Matcha chocolate Bark 2

การทำ Matcha chocolate Bark ยังสามารถโรยแต่งหน้าด้วยงาดำ ถั่วพิตาชิโอ เกนไมฉะ หรือเปลี่ยนจากไวท์ช็อคโกแลต เป็นดาร์คช็อคโกแลตได้อีกด้วย เพียงแค่มีผงมัทฉะ และช็อคโกแลตเป็นส่วนผสมหลัก ก็สามารถดัดแปลงไปได้อีกหลากหลายเมนู

Matcha chocolate Bark 4 Matcha chocolate Bark 5

Matcha chocolate Bark 6 Matcha chocolate Bark 7

อีกเมนูที่จะช่วยให้เราจัดการกับวัตถุดิบที่เหลืออย่างพวกเค้กต่างๆได้ คือการเอามาทำMatcha Chocolate Ball โดยเอาเนื้อเค้กอาจจะเป็ฯบัตเตอร์เค้ก หรือเนื้อเค้กชิฟฟ่อนก็ได้ ที่เหลือจากการขายไม่หมด หรือส่วนเกินของขอบเค้กเวลาหั่นเนื้อเค้ก มาผสมรวมกันกับช็อคโกแลตที่ละลายแล้ว ปั่นให้กลายเป็นก้อนกลมๆ แล้วนำไปจุ่มเคลือบด้วยช็อคโกแลตอีกครั้ง เสียบไม้ตั้งพักไว้ แล้วโรยหน้าตกแต่งด้วยผงมัทฉะเล็กน้อย เก็บแช่ตู้เย็นได้นานถึง 3 สัปดาห์ โดยไม่ต้องทิ้งเค้กส่วนเกินนั้นไป

หากใครที่ชอบความพิเศษ ก็สามารถผสมพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ อัลมอนด์สับลงไปตอนปั้นเป็นก้อนกลมได้

Matcha Chocolate Ball

ต่อไปก็จะหมดปัญหาวัตถุดิบเหลือเยอะจนหมดอายุไปโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเรารู้จักยืดอายุของวัตถุดิบด้วยการทำเป็นช็อคโกแลต และหากเรารู้จักวิธีการเก็บรักษาวัตถุดิบแต่ละอย่างให้ถูกวิธี ก็จะสามารถยืดอายุของอาหาร รวมถึงคงรสชาติให้เหมือนวันแรกที่ซื้อมาเลย

ที่มา

https://themerrymakersisters.com/matcha-chocolate-recipe/

https://www.ohhowcivilized.com

https://www.pinterest.com/pin/843158361476790634/

บทความจาก : Fuwafuwa