The Best Types of Ice for Crafting Perfect Drinks

เคยเป็นมั้ยที่ชงเครื่องดื่มออกมาดื่มเพียวๆอร่อยมาก แต่พอเทน้ำแข็งลงไป รสชาติกลับไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้จะใช้วิธีในการคำนวณแบบง่ายๆที่หลายร้านใช้กันอย่างน้ำแข็งเต็มแก้ว 16 oz จะต้องใส่เครื่องดื่มที่ผสมส่วนผสมตามสูตรแล้วปริมาณ 6 oz หรือ 180 ml ถึงจะได้เครื่องดื่ม และ น้ำแข็ง ที่เต็มแก้วขนาด 16oz พอดิบพอดี แต่ก็กลับเจอปัญหาอีกที่ บางครั้งแค่เปลี่ยนแบบน้ำแข็งที่ใช้ในการชงเครื่องดื่มรสชาติก็เปลี่ยน เพราะหลายคนคิดไม่ถึงว่าน้ำแข็งแต่ละรูปทรงก็ส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำแข็ง วัตถุดิบธรรมดาที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จะทำให้ร้านคุณมีเอกลักษณ์ และทำให้ลูกค้าประทับใจได้มากขึ้นได้

ice

น้ำแข็งหลอดที่มีรูข้างในทำให้มีผิวสัมผัสเยอะ ก้อนใสไม่มีตะกอน หลายร้านมักซื้อเครื่องทำน้ำแข็งแบบนี้ไว้ที่ร้าน เพราะข้อดี คือ เย็นนานกว่า 3-4 ชม ขึ้นไป หลายๆร้านให้ความนิยมในการใช้ แต่ให้ความเย็นช้ากว่าเล็กน้อยice cube

น้ำแข็งสี่เหลี่ยมน้ำแข็งยอดนิยม มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคุณสมบัติการละลายช้ากว่าน้ำแข็งประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความหนาแน่นสูง สามารถรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้นาน แม้จะอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ก็อยู่ได้หลายชั่วโมง และเป็นน้ำแข็งที่มีความสวยงาม ทำให้เครื่องดื่มดู สวยงามน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะสำหรับเครื่องดื่มที่ไม่ต้องการให้น้ำแข็งทำลายรสชาติของเครื่องดื่ม เช่น ค็อกเทล, กาแฟเย็น, น้ำหวานชงดื่มชนิดต่างๆ

น้ำแข็งเกล็ดกรอบเป็นรูปทรงที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น มีขนาดเล็ก ไม่แข็งมาก ถือว่าเป็นน้ำแข็งที่เคี้ยวง่ายที่สุด กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องการให้เครื่องดื่มมีอุณหภูมิที่เย็นเร็ว ไม่ได้ซื้อกลับ จะนิยมใช้แบบนี้มากกว่า เพราะน้ำแข็งประเภทนี้จะละลายเร็วมากเช่นกัน ยิ่งถ้าอากาศร้อนๆ ไม่ถึง 30 นาทีละลายเกือบหมดแก้ว จึงไม่ค่อยนิยมใช้ แต่จะเหมาะสำหรับเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ชา, กาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มปั่น เช่น สมูทตี้, ค็อกเทลปั่น หรือน้ำแข็งใส เพราะจะได้เนื่อน้ำแข็งที่เนียนนุ่มทำให้เครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมดี

น้ำแข็งถ้วย ทรงสวยดูแปลกตา วิบวับเหมือนคริสตัล มีรูปทรงและขนาดที่แน่นอน เพราะผลิตจากบล็อคน้ำแข็งที่ได้มาตรฐาน ไม่มีรูตรงกลางเหมือนน้ำแข็งทั่วไป จึงเป็นคุณสมบัติพิเศษทำให้น้ำแข็งละลายช้า ไม่ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยน บวกกับความที่ก้อนน้ำแข็งมีขนาดใหญ่และหนา มีความแวววาว สวยงาม นิยมใส่น้ำแข็งถ้วยในเครื่องดื่มที่ดูดีมีระดับ เลิศหรู ราคาแพง เหมาะสำหรับเครื่องดื่มระดับ High-end เช่น Whisky on the rocks, บรั่นดี หรือ ค็อกเทล Old Fashioned

ice matcha ice matcha

เทคนิคที่บางร้านนิยมใช้กันสำหรับการทำเมนูเครื่องดื่มเย็น อย่างพวกชา กาแฟ คือการพยายามทำให้ชา กาแฟ เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเอาไปเทใส่น้ำแข็ง บางร้านก็ใช้วิธีการเอาเอสเฟรสโซ่ช็อตไปแช่ในถังน้ำแข็ง พวกนมที่ต้องใส่ในเครื่องดื่มแก้วนั้นก็แช่เย็นไว้ตลอด จะช่วยให้เวลาเทใส่น้ำแข็ง น้ำแข็งจะละลายช้าลง

อีกประเด็นควรรู้สำหรับผู้ประกอบการขายเครื่องดื่ม คือ การใส่น้ำแข็งก่อนหรือหลังเทเครื่องดื่มลงไป มีผลต่างกันยังไงนั่นเอง

ถ้าใส่น้ำแข็งก่อน ราดน้ำเครื่องดื่มที่ผสมแล้วตามลงไป ในกรณีที่น้ำเครื่องดื่มร้อน มันจะละลายเอาน้ำแข็งลงไปด้วย ทำให้รสชาติแก้วนั้นจืดลง เว้นแต่มีการน็อกเครื่องดื่มนั้นก่อนเทตามที่กล่าวมาข้างต้น (ซึ่งปกติไม่ทำกันเพราะมันช้า ลูกค้าหลายคนไม่สามารถรอได้ )

แต่ถ้าใส่เครื่องดื่มก่อน แล้วค่อยตักน้ำแข็งใส่ลงไป วิธีนี้อาจทำให้เครื่องดื่มบริเวณด้านล่างยังอุ่นอยู่ ซึ่งมักดูดเจอเพราะ หลอดกาแฟจุ่มอยู่ด้านล่าง ทำให้รู้สึกว่าไม่เย็นชื่นใจ น้ำแข็งจะลอยอยู่เหนือเครื่องดื่ม

บางร้านจึงใช้วิธีใส่น้ำแข็งลงไปส่วนนึงก่อน เติมเครื่องดื่มลงไป เอาช้อนคนกาแฟยาว คนเร็วๆสักสิบวินาที แล้วค่อยเติมน้ำแข็งให้เต็มแก้ว ปิดฝาเสิร์ฟ ผลที่ได้ คือ ดูดแรกที่ลูกค้าได้จะมีความเย็นทันที

ลองเอาไปปรับกับสูตรที่ร้านของแต่ละร้านดูนะคะ เพื่อความอร่อยเข้มข้น กับสูตรของที่ร้าน

ที่มา

https://bit.ly/2VbXVVD

https://bit.ly/2K7Yh9x

www.ohhowcivilized.com

http://www.buzzfeed.com/lucyh3/35-things-you-appreciate-about-america-after-livin-147h?sub=2337227_1274821

บทความจาก : Fuwafuwa

How to Properly Use and Care for a Chasen to Extend Its Lifespan

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมการชงชามัทฉะ ไม่สามารถใช้ช้อนคนเหมือนเวลาเราชงกาแฟ หรือโกโก้??

คำตอบก็คือ มัทฉะ คือ ผงชาที่บดมาจากใบชา ไม่เหมือนสารละลายที่นำไปผ่านกระบวนการอบให้เป็นผงพร้อมชงอย่างโอวัลตินหรือน้ำตาลทราย จึงไม่มีคุณสมบัติละลายน้ำการใช้แปรงชงชา หรือที่เรียกว่า ฉะเซ็น ในการตีผงชาจะทำให้ผงชาละลายได้หมดและได้กลิ่นและรสชาติแบบต้นตำรับสไตล์ญี่ปุ่นมากกว่านั่นเอง

Chasen

แต่บางคนก็อาจจะใช้ตะกร้อที่ใช้ทำขนมมาตีผงชาแทน แต่มีข้อเสีย คือ ตีมัทฉะออกมาแล้วฟองจะใหญ่ไม่ละเอียด ทำให้มัทฉะดูไม่น่าทาน

ฉะเซ็น ปกติจะทำจากไม้ไผ่ มีจำนวนซี่ประมาณ 80 ซี่ หากน้อยกว่านี้ จะเป็นฉะเซ็นที่มีไว้สำหรับการชงโคอิฉะ หรือมัทฉะแบบเข้มข้น

chasen

ที่จำเป็นต้องใช้ฉะเซ็นในการนวดผงชาให้เป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำร้อน ต่างจากการชงอุสึฉะ หรือมัทฉะแบบบางที่จะใช้ฉะเซ็นตีผงชาให้ขึ้นฟอง แต่ฉะเซ็นบางรุ่นที่มีจำนวนซี่เยอะ อย่าง 100 ซี่ หรือ 120 ซี่ มีข้อดีคือตีมัทฉะให้ขึ้นฟองได้ง่ายและฟองละเอียดกว่าในสมัยก่อนฉะเซ็นที่จำนวนซี่เยอะๆ มีไว้สำหรับให้โชกุนหรือขุนนางผู้สูงศักดิ์ใช้เพียงเท่านั้น

chasen

การใช้งานฉะเซ็นครั้งแรก ควรแช่ฉะเซ็นในน้ำอุ่น 15-30 นาที เพื่อให้เนื้อไม้คลายตัวก่อน นอกจากนนั้น เพื่อยืดอายุการใช้งานฉะเซ็น ทุกๆครั้งก่อนใช้ควรแช่ฉะเซ็นในน้ำอุ่นประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้เนื้อไม้ยืดหยุ่นรับแรงจากการใช้งานโดยไม่แตกหัก และควรใช้งานฉะเซ็นกับถ้วยที่ก้นแบนกว้างทรงเตี้ย หลีกเลี่ยงการใช้กับถ้วยชาทรงสูงปากแคบก้นมีมุมเพราะอาจทำให้ปลายแปรงกระแทกมุมจนแตกหักได้ ที่สำคัญ คือไม่ควรกดแปรงฉะเซ็นกับก้นถ้วย แต่เน้นการสะบัดฉะเซ็นโดยการใช้ข้อมือโดยหลีกเลี่ยงการสะบัดแปรงแรงจนชนข้างถ้วย

หลังการใช้งานทุกครั้ง ควรนำไปแกว่งในน้ำอุ่น โดยแกว่งเฉพาะส่วนที่สัมผัสกับมัทฉะ ไม่ต้องล้างน้ำทั้งอัน พอแกว่งเสร็จสักสองน้ำก็นำมาตั้งไว้ให้แห้ง หรือถ้าใครมีเซรามิคที่เอาไว้สำหรับพักฉะเซ็น ก็เอาไปเสียบไว้ รอให้แห้งได้เลย

ทริคเพิ่มเติมเล็กน้อยภายหลังการใช้งานควรเก็บฉะเซ็นในที่แห้งและมีอากาศถ่ายเทหลีกเลี่ยงการเก็บไว้ในที่อับชื้นเช่น ภาชนะปิด หรือ กล่อง หรือ  ห้องปรับอากาศ เป็นต้น เพื่อป้องกันปัญหาการเกิดเชื้อ เพียงแค่เริ่มใช้อย่างถูกวิธี เก็บรักษาถูกวิธี ก็ช่วยยืดระยะเวลาการใช้งานของฉะเซ็นคูใจคนรักมัทฉะได้

ที่มา

https://www.tealyra.com/matcha-tea/matcha-accessories/japanese-matcha-bowl/?currency=USD&r=no&gclid=CMWlrODR1tECFVA6gQodV-0B4g

http://the189.com/design/making-a-bamboo-whisk-with-yamato-takayama/?utm_source=feedburner&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed:+the189/feedme+(OEN)&utm_content=Google+Reader

https://cooking.framethe.me/2019/11/tea-tasting-with-tamayura-tasting-of.html

บทความจาก : Fuwafuwa

The Taste Paradox: Why Similar Teas Exhibit Different Flavors

การปลูกชาเขียว แต่ละไร่ แต่ละที่ก็มีวิธีการเคล็ดลับที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้รสชาติชาแต่ละที่ไม่เหมือนกัน แต่จริงๆปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรสชาติ คือ อากาศ ดิน และคนปลูกถ้าปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งมีความต่างกัน กระบวนการผลิต และรสชาติย่อมออกมาแตกต่างกัน แม้ชาที่ใช้ปลูกจะเป็นสายพันธุ์เดียวกันก็ตาม

ที่มา http://blog.davidstea.com/en/get-to-know-loose-leaf-tea/

ชาชนิดเดียวกัน ทำไมรสชาติถึงแตกต่างกัน?

ปัจจัยแรกที่ส่งผลต่อรสชาติชาเป็นอย่างมาก คือ  ดิน เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ชาแต่ละที่มีคุณภาพแตกต่างกับอีกที่ ซึ่งนอกจากดินตามธรรมชาติของแหล่งปลูกแต่ละแหล่งจะมีผลแล้ว  การคัดเลือกดิน รวมถึงการใส่ปุ๋ยแต่ละไร่ชาก็จะมีสูตรพิเศษของตนเองที่ทำให้ชารสชาติออกมาตามที่ต้องการแตกต่างกันสภาพเนื้อดินบนที่สูงจะมีแดงเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเกิดจากการซะล้างและบางพื้นที่เกิดจากการสลายตัวของภูเขาหินปูน ทั้งนี้ดินที่เหมาะสมสำหรับการปลูกชามีค่าความเป็นกรดด่างอยู่ระหว่าง 4.5-5.5 ซึ่งมีสภาพเป็นกรดเล็กน้อย

ชาชนิดเดียวกัน ทำไมรสชาติถึงแตกต่างกัน?

ปัจจัยต่อมา คือ อากาศ  ชาเขียว จำเป็นต้องปลูกในทั้งอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ควรเป็นพื้นที่มีหมอก ที่เกิดจากอุณหภูมิที่มีความแตกต่างกันสูง ในตอนกลางวันและกลางคืน ถึงแม้ว่าชาสามารถทนอุณหภูมิต่ำได้ดี แต่ก็ไม่ควรให้เกล็ดน้ำแข็งเกาะใบชา จะทำให้ใบชาเสียคุณภาพ จึงจะสังเกตได้ว่าในญี่ปุ่นจะมีพัดลมเป่าความร้อนขนาดใหญ่เกือบทุกไร่ชา เพื่อเป่าไม่ให้เกล็ดน้ำแข็งเกาะใบชาในฤดูหนาวนั้นเอง ซึ่งคุณภาพของใบชาโดยเฉพาะด้านกลิ่นและรสชาติส่วนนึงจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ ฉะนั้นจึงมีความเกี่ยวข้องกับสภาพพื้นที่ปลูกอย่างหลีกเหลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้พื้นที่ที่มีความสูงมากจะมีอากาศหนาวเย็นและอุณหภูมิคงที่เกือบตลอดทั้งปี จะส่งผลให้ผลผลิตใบชาสดมีคุณภาพแต่จะให้ผลผลิตต่ำ ซึ่งตรงข้ามกับพื้นที่ต่ำ อุณหภูมิสูง จะให้ผลผลิตสูงแต่คุณภาพต่ำ

ที่มา http://chaehbae.tumblr.com/post/90942615222/tea-fields-zhejiang-china-awesome-amazing

ชาชนิดเดียวกัน ทำไมรสชาติถึงแตกต่างกัน?

ปัจจัยต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คน คือ หัวใจของกระบวนการทั้งหมด ที่นอกจากจะต้องใช้ผู้มีประสบการณ์สูงในแต่ละขั้นตอนแล้ว ยังต้องใช้ความเอาใจใส่ ความละเอียดรอบคอบในการดูแลชาเพื่อให้ได้มาตรฐานที่ควรจะเป็น

ที่มา http://www.trekearth.com/gallery/Asia/Indonesia/Java/Jawa_Barat/Ciwalini/photo633381.htm

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่ส่งผลต่อรสชาติชาอีกด้วย เช่น การเก็บใบชาจะเลือกที่มีลักษณะ 2 ยอด 1 ใบ เพราะใบชาส่วนนี้จะเต็มไปด้วยสารโพลีฟีนอลเป็นสารสำคัญที่จะส่งผลต่อสี กลิ่น รสชาติ รวมไปถึงคุณประโยชน์ต่างๆ ที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ซึ่งถ้าพูดถึงชาของญี่ปุ่น เรามักจะนึกถึง ชาจากอูจิเกียวโตและ ชาจากชิซุโอกะทั้งสองแห่งนี้ได้สร้างสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์ในการผลิตชาที่งดงามและน่าอัศจรรย์ และยังมีเรื่องราวของการเดินทางที่สนใจแตกต่างกันออกไปอีกด้วย

ชาชนิดเดียวกัน ทำไมรสชาติถึงแตกต่างกัน?

อูจิ เกียวโต ดินแดนแห่งชาดั้งเดิม

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าที่เกียวโต เมืองอูจิเป็นสถานที่แห่งประวัติศาสตร์ของชา ในตอนแรกการปลูกชาในอูจิมีหลากหลายแบบ แต่หลังจากนั้นก็ได้มุ่งเน้นไปที่การผลิตมัทฉะเป็นหลัก

เนื่องจากชามัทฉะมีความสัมพันธ์ที่สามารถผสมผสานไปกับลัทธิเซน เนื่องจากที่เกียวโตมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวัดวาอารามชั้นนำหลายแห่ง จึงเน้นไปที่มัทฉะเป็นหลัก ด้วยดินที่ยอดเยี่ยมและวิธีการผลิตที่ดี ทำให้อูจิได้สร้างชาที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ผสมผสานรสชาติและประวัติศาสตร์เข้าด้วยกัน

ที่มา http://pin.it/YUO1SKu

ส่วนที่ชิซุโอกะ ต้นกำเนิดของชาสมัยใหม่

ประวัติศาสตร์ชาของชิซุโอกะนั้นแตกต่างจากอูจิ ในขณะที่มัทฉะใช้ชาที่เติบโตในภูมิภาค แต่เกษตรกรของชิซุโอกะได้คัดสายพันธ์ุชาอื่น ๆ ที่หลากหลาย เนื่องจากได้รับอิทธิพลของพุทธศาสนาน้อยกว่า ชิซุโอกะเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการผลิตชาเขียวที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 40% ของไร่ชาทั้งหมด หนึ่งในนวัตกรรมหลักของชิซุโอกะ คือ ความหลากหลายของสายพันธุ์ที่เรียกว่า เซนฉะยะบุกิ (Sencha Yabukita)ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านความแข็งแกร่ง กลิ่นหอม และรสหวาน กว่าที่เกียวโตนั้นเอง

ที่มา https://www.flickr.com/photos/ippei-janine/5721719180/

บทความจาก : Fuwafuwa

Green tea that is not green

Many people understand that green tea must be only green. If it is tea of other colors, it will have different names. In fact, there are other colors of green tea that are not green, but originate from green tea as well. It just differs in the production process, the time of picking the tea leaves, and the roasting process. This makes the green tea that is normally green, or what we are familiar with as “matcha”, which is often used to make matcha latte drinks or to make various desserts that are mainly green. But when it goes through the production process, it will turn brown. The familiar name is Hojicha tea.

Normally, Matcha green tea comes from Tencha tea that is raised in the shade like Gyokuro tea before being carefully ground into powder with stones. It is often used in tea ceremonies. There are many grades, such as for making sweets, drinks, ceremonial brewing, etc. You can observe it from the color of the matcha. The darker the matcha, the better the quality. If you drink 1 cup of Matcha, you will get the same nutrients as drinking 10-15 cups of other types of green tea.

Matcha Hojicha

Source : https://www.takaski.com/product/ochaski-kyoma-kyoto-organic-matcha-made-japan/

Green tea that is not green… Hojicha is the last harvested tea leaves. It is a mature tea leaf, not a young tea leaf. Therefore, the tea leaf size is large and is considered to be of lower quality than Sencha green tea. But Hojicha is special because it is roasted tea, making it a reddish brown color, fragrant, and has a strong taste. The taste of real green tea has a more inviting aroma than Matcha. The taste is often compared to caramel, charcoal or roasted nuts. The price is cheaper than other green teas because it is made from tea leaves that are considered lower grade and less sweet. The charm of this tea is that it is roasted, which reduces the astringency and bitterness, creating a fragrant taste and making it easy to drink, so it is very popular in Japan. It is suitable for drinking between meals or after dinner, and is also suitable for children because it is low in caffeine.

Source: https://www.etsy.com/listing/275027278/kukicha-twig-green-tea-organic-35-oz-tin

Hojicha Latte

At first, Hojicha was only brewed and drunk at home. Later, in Tokyo, there was a culture of serving Hojicha in restaurants. Nowadays, it has become popular everywhere. Hojicha is also used as a flavoring for various sweets and drinks.

Source: https://www.soarorganics.com/blogs/blog/gingerbread-hojicha-latte-recipe

Properties of Hojicha

  1. Helps reduce cholesterol and normalize blood sugar levels.
  2. The body relaxes and the mind is clear.
  3. Reduce bacteria, prevent tooth decay

Houjicha

Source: http://www.lifehack.org/386925/10-natural-reliefs-to-stop-diarrhea-quickly?ref=pp
https://matchazuki.com/product/matchazuki-houjicha

Article from: Fuwafuwa

5 techniques for serving green tea to make it look more Japanese

These days, no matter which shop you go to, you will encounter a green tea menu, whether it is a drink or a dessert. It may be a trend that is gaining popularity in Japan. This makes many customers feel that no matter which shop they go to, it is the same, so they decide to go to the shop that is closer and more convenient instead. This affects sales that may drop.

How to create a difference for the menu in the shop The first thing that many people think of is probably a promotion, discount, exchange, giveaway, which is a way to increase sales in the short term only. Another way to help create a highlight for the shop, different from other shops is to add a unique identity to the product. Especially if it is a tea shop, many people must think of a chic cafe in Japan for sure.

Let’s take a look at 5 techniques for serving green tea menus to make them look more Japanese. It’s easy and creative, so customers can come and take photos and share them as if they were really at a cafe in Japan.

  1. Add Japanese ingredients. Many Japanese dishes often have Japanese ingredients.
  • Red beans : Because red beans are a plant that has grown with the Japanese people from the past until the present. With the fertile terrain, red beans grow well. They can be used as an ingredient in desserts all year round. Therefore, they are the main ingredient that should be used as part of the menu at the shop, such as from green tea mousse, adding red beans as an ingredient will make it even more delicious. Or a normal green tea latte, just adding red beans will make it even more delicious than usual. Matcha Red Bean Mousse

Matcha Red Bean Mousse

Matcha Red Bean Frappe

Source: http://mykitchenoflove.wordpress.com/2012/09/01/our-anniversary-cake-matcha-and-red-bean-mousse/

http://www.facebook.com/mofcafe

  • Cherry blossoms, which anyone who sees must think of Japan. During the spring season, many places like to use salted cherry blossoms as an ingredient in desserts. In Thailand, it is considered a rare ingredient. It is suitable for adding to the menu at the shop, such as hot matcha latte topped with cherry blossoms, giving a light scent of spring. Or, plain muffins are made more delicious by topping with fresh cherry blossom cream.

Sakura Matcha Latte

Sakura Muffins

Source: http://shewhoeats.blogspot.com/2010/04/sweets-over-flowers.htmlhttps://www.marumura.com/eat-sakura-flower/

https://thecitybakery.jp/new/328/

2. Serve sweets in Japanese-style containers that make for cool photos that are unlike any other. Anyone who sees them will think they are in a cafe in Japan. A popular container is a bamboo box.

Source: https://www.amazon.com/gp/mpc/A1BANPHECDMMWA?1213213894

https://tabizine.jp/2019/03/18/244578/

3. Use colors or shapes of the cake to reflect the Japanese seasons, such as using pink as part of the cake in March, or making cookies or pancakes in the shape of leaves to celebrate the Autumn Leaves festival.

Sakura Matcha Cake

Pancakes

Source: http://www.myfudo.com/easy-desserts-recipes-cherry-blossom-matcha-layer-cake-entremet-2/

https://www.vermontcountrystore.com/maple-leaf-cakelet-pan/product/81182

4. Put sophistication into every piece of packaging. When we travel to Japan, we often see many items with beautiful packaging. If the packaging is beautiful and appealing, it will help increase the value of the product itself. It can also be organized into a set for souvenirs. Creating good packaging is not just about having a beautiful design, but it must also have a function that meets the needs of the store and customers to help create new experiences for customers. For example, ice cream shops in Japan serve ice cream with different levels of thickness on the same plate so that the color and texture of the ice cream can be clearly compared. Customers will feel more fun when eating.

Source: http://danielfooddiary.com/2019/02/07/nocturneno5/

5. Have a fortune or small activity for customers to join in the fun, creating new experiences, such as changing from regular green tea cookies to green tea fortune cookies, or serving affogato green tea that customers can pour themselves before eating, instead of pouring it for customers from the beginning.

Source: http://www.dessertsforbreakfast.com/2013/05/fortune-cookies.html?utm_source=feedly&utm_medium=feed&utm_campaign=Feed:+dessertsforbreakfast+(Desserts+for+Breakfast)

http://www.caramelizedblog.com/blog-roll/2017/1/drip-affogato-bar.html

Even if you are a beginner at making and selling pastries or have just opened your own cafe but do not want to invest much and do not have a chef to help you create new recipes all the time, we can use the 5 simple techniques above to add value to an ordinary green tea cafe to make it unique and different from any other shop.

Article from: Fuwafuwa

Matcha Nutrition and the Ideal Amount for a Healthy Lifestyle

ก่อนที่จะเฉลยเรามาดูกันผ่านๆ ดีกว่าว่ามัทฉะมีสารอาหารอะไรอยู่บ้าง
มัทฉะปริมาณ 100 กรัมมีสารอาหารดังต่อไปนี้

“พลังงาน 324 kcal, น้ำ 5 กรัม, โปรตีน 29.6 กรัม, โปรตีนจากกรดอะมิโน 22.6 กรัม, ไขมัน 5.3 กรัม, 0.68 กรัม, ไตรกลีเซอไรด์ 3.3 กรัม, กรดไขมันอิ่มตัว 0.68 กรัม, กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่เดี่ยว 0.34 กรัม, กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หลายคู่ 2.16 กรัม, คอเรสเตอรอล 0 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 39.5 กรัม, คาร์โบไฮเดรตที่นำไปใช้ได้ 1.6 กรัม, ไฟเบอร์ที่ละลายได้ในน้ำ 6.6 กรัม, ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายในน้ำ 31.9 กรัม, ปริมาณไฟเบอร์ทั้งหมด 38.5 กรัม, ปริมาณเถ้า (ส่วนของสารอนินทรีย์ในอาหาร) 7.4 กรัม, โซเดียม 6 มิลลิกรัม, โพแทสเซียม 2700 มิลลิกรัม, แคลเซียม 420 มิลลิกรัม, แมกนีเซียม 230 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 350 มิลลิกรัม, เหล็ก 17.0 มิลลิกรัม, สังกะสี 6.3 มิลลิกรัม, ทองแดง 0.6 มิลลิกรัม, วิตามิน A เบต้าแครอทีน 29000 ไมโครกรัม, วิตามิน A1 2400 ไมโครกรัม, วิตามิน E โทโคฟีรอล 28.1 มิลลิกรัม, วิตามิน K 2900 ไมโครกรัม,วิตามิน B1 0.6 ไมโครกรัม, วิตามิน B2 1.35 มิลลิกรัม, ไนอาซิน 4.0 มิลลิกรัม, วิตามิน B6 0.96 มิลลิกรัม, กรดโฟลิก 1200 มิลลิกรัม, กรดแพนโทเทนิก 3.7 ไมโครกรัม, วิตามิน C 60 มิลลิกรัม, คาเฟอีน 3.2 กรัม, แทนนิน 10.0 กรัม”

ขอโทษที่ยาวนะครับ อ่านผ่านๆ ก็พอ
ข้อมูลนี้ผมแปลมาจากรายการสารอาหารมาตรฐานในสินค้าบริโภค ฉบับแก้ไขครั้งที่ 7 ปี 2015 (ฉบับล่าสุด) จัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่นครับ เชื่อถือได้และไปใช้อ้างอิงได้เลย
ดูจากข้อมูลนี้แล้วจะพบว่ามัทฉะมีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย กินทั้งกระปุกไป 100 กรัมคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ทว่ามีสารตัวหนึ่งที่เราควรระวังเป็นพิเศษ นั่นคือ คาเฟอีน

มัทฉะ 100 กรัม มีคาเฟอีน 3.2 กรัม แปลว่ามัทฉะ 1 กรัมมีคาเฟอีน 32 มิลลิกรัมนั่นเอง สมมุติว่าชามัทฉะกับน้ำร้อน ปกติใช้มากสุด 2 กรัม แปลว่าร่างกายเราจะได้รับคาเฟอีน 64 มิลลิกรัม
งั้นปริมาณคาเฟอีนที่ควรได้รับคือเท่าไหร่กันล่ะ?
ขณะนี้ไม่มีค่า ADI (Acceptable Daily Intake) ที่กำหนดไว้สำหรับคาเฟอีน หากอ้างตามคำแนะนำของหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป EFSA (European Food Safety Authority) ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมใน 1 วันนั้นแตกต่างกันตามช่วงอายุและน้ำหนักตัวตามตารางด้านล่างนี้

ช่วงอายุ ปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน ปริมาณมัทฉะที่แนะนำ สรุปอย่างง่าย
75 ปีขึ้นไป 22-417mg 0.69-13.03g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ 1 ช้อนชา
65-75 ปี 23-362mg 0.72-11.31g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ครึ่งช้อนชา
18-64 ปี 37-319mg 1.16-9.97g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ
10-18 ปี 0.4-1.4mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.01-0.0437g x น้ำหนักตัว (kg)
3-10 ปี 0.2-2.0mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.006-0.0625g x น้ำหนักตัว (kg)
12-36 เดือน 0-2.1mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.006-0.03125g x น้ำหนักตัว (kg)
สตรีมีครรภ์ 200 mg ต่อวัน 6.25 gต่อวัน ได้ถึง 1 ช้อนโต๊ะ ครึ่งช้อนชา

ตามตารางด้านบน ช่วงอายุ 12 เดือนถึง 18 ปีคงต้องฝากผู้อ่านคำนวณกันเอาเองนะครับ ท่านที่ไม่มีเครื่องวัดอาจจะรู้สึกยุ่งยาก ผมเลยลองดูว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหน่วยช้อนชาที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคย

หากท่านดูรูปประกอบด้านล่างรูปที่มีช้อนคันสีฟ้า นั่นเป็นช้อนตวงปริมาณ 1 ช้อนชา ปริมาณมัทฉะจะอยู่ประมาณประมาณ 2.2-2.4 กรัมครับ ส่วนในรูปปกบทความนั้นตวงมาจากช้อนตวง 1 ช้อนชาจะได้มัทฉะราว 4.9-5.1 กรัมครับ ช้อนตวงพวกนี้หาไม่ยากเลย ลองเอามากะๆ ดูก็ได้ครับ

การศึกษาเรื่องปริมาณคาเฟอีนยังเป็นหัวข้อศึกษากันอยู่ องค์กรของหลายๆ ประเทศก็ให้ข้อสรุปแตกต่างกัน บางที่เช่นสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารประเทศนิวซีแลนด์ (NZFSA) ก็กล่าวว่า วัยผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงสามารถรับคาเฟอีนได้สูงสุด 400 mg ต่อวัน (มัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะกับ 1 ช้อนชานิดๆ ) หากมีงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาตัวเลขนี้คงเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าเชื่อตามยุโรป ตัวเลขในตารางนี้ก็พอให้เห็นภาพบ้างครับ

ถ้าร่างกายรับคาเฟอีนไปแล้วจะมีผลอย่างไรบ้าง?

มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับเรื่องประโยชน์และโทษของคาเฟอีน รวมถึงมีหลายกรณีมาก เราจึงตัดสินกันไม่ได้ง่ายๆ ว่าคาเฟอีนจะส่งผลแบบไหนกับคนจำพวกไหน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการความปลอดภัยด้านอาหาร ประเทศญี่ปุ่น (Food Safety Commission of Japan: FSC) ก่อตั้งโดยสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคาเฟอีนไว้ดังนี้ครับ

ได้รับในปริมาณเหมาะสม: ประสาทตื่นตัว แก้ความง่วง แก้อาการเมาแอลกอฮอล์ (ระวังจะดื่มสุรามากเกินไปนะครับ)

ได้รับในปริมาณมากเกินไป:

  1. กระตุ้นประสาทส่วนกลาง: อาการวิงเวียน ชีพจรสูงขึ้น วิตกกังวล อาการสั่น อาการนอนไม่หลับ
  2. กระตุ้นทางเดินอาหาร: กระตุ้นอาการท้องเสีย คลื่นไส้
  3. ขับปัสสาวะ

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังกล่าวว่า ในสตรีมีครรภ์ ร่างกายจะมีการกำจัด (clearance) คาเฟอีนจากกระแสเลือดได้ช้าลง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการรับคาเฟอีนมากเกินไป (ตัวเลขขององค์การอนามัยโลกคือ 300 mg ต่อวัน – มัทฉะเกือบ 2 ช้อนโต๊ะ) มีความเป็นไปได้ที่พัฒนาการของทารกในครรภ์จะช้าลง น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำลง คลอดเร็ว และทารกตายคลอด จึงแนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนในระดับที่เหมาะสม

ส่วนสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มประเทศญี่ปุ่นยังแนะนำไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอินขณะใช้เภสัชภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน

ไม่ว่าอาหารนั้นๆ จะมีคุณค่าทางสารอาหารมากขนาดไหน ถ้าทานมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้แต่มัทฉะก็ตาม บางคนชงมัทฉะตามธรรมเนียมดั้งเดิม (1.7-2.0 กรัม) ไม่กล้าทานมากๆ หวังว่าเมื่อทุกคนจะดื่มมัทฉะได้อย่างสบายใจมากขึ้นเมื่อได้อ่านบทความนี้นะครับ

https://chakatsu.com/basic/caffeine_matcha/

บทความจาก : Vachi