Iced Matcha Latte มัทฉะลาเต้เย็น

เปลี่ยนชาเขียวเย็นให้กลายเป็นพรีเมียมมัทฉะลาเต้ เมนูยอดฮิตของร้านที่อร่อยจนต้องบอกต่อ!!

ผงมัทฉะคุณภาพดีจะให้สีเขียวที่สวยงาม เมื่อเทราดลงบนนมสดจะเห็นเป็นชั้นสีเขียวมรกต ค่อยๆซึมลงมาด้านล่างซึ่งวิธีทำก็ไม่ยาก ยิ่งถ้ามีอุปกรณ์ช่วยจะใช้เวลาชงไม่นานเลย เราไปดูวัตถุดิบและวิธีชงกันเลยดีกว่าครับ ^^

อุปกรณ์ช่วยละลาย

วัตถุดิบสำหรับแก้ว 16 Oz.

  1. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Excellent           3  กรัม (~1.5 ช้อนชา)
  2. น้ำอุ่น                                                40   ml
  3. นมสด                                              150   ml
  4. น้ำเชื่อม                                              10   ml (~2 ช้อนชา)
  5. น้ำแข็ง

ขั้นตอนการชง

1. ละลายผงมัทฉะให้เข้ากับน้ำอุ่น โดยการร่อนผงมัทฉะผ่านกระชอนใส่ถ้วยหรือชาม แล้วค่อยเทน้ำอุ่นตามลงไปแล้วใช้ Chasen หรือเครื่องตีฟองนม ตีให้ผงชาละลายเข้ากับน้ำ แล้วพักเอาไว้

2. เติมน้ำแข็งใส่แก้วอีกใบ

3. เติมน้ำเชื่อมตามความหวานที่ต้องการ

4. เทนมสดลงไป คนให้เข้ากับน้ำเชื่อม

5. ราดมัทฉะที่ละลายน้ำไว้แล้วลงบนนมสดอีกที

หรือสามารถดู VDO วิธีชงได้ที่นี่ครับ ^^

*** ถ้าไม่มีอุปกรณ์ช่วยละลายให้ลองใช้วิธีนี้ดูนะครับ

1. ใส่ผงชาเขียวมัทฉะกับน้ำตาลทรายลงไปในถ้วย
2. เอียงถ้วยแล้วใช้ช้อนบดส่วนผสมให้เกร็ดน้ำตาลไปบดผงชาเขียวมัทฉะ จนแตกตัวไม่จับเป็นก้อน
3. ค่อยๆเติมน้ำอุ่นลงไป เอียงถ้วยแล้วใช้ช้อนบดผงชาเขียวมัทฉะกับข้างถ้วย คนจนละลายหมด

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

ทำความรู้จักเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กล่องเก็บชา

คนรักชาเขียวส่วนมากจะทราบกันอยู่แล้วว่าผงชา นอกจากควรเก็บในกล่องที่ปิดมิดชิด ทึบแสงและกันอากาศเข้า ยังควรเก็บผงชาให้ห่างจากแสงแดด หรือความร้อนเป็นเวลานานๆ และควรเก็บชาไว้ในที่เย็น อย่างไรก็ตาม หลังเอาออกมาจากตู้เย็น ก็ควรทิ้งไว้สักพักให้หายเย็นก่อนเปิดภาชนะ เพื่อป้องกันไม่ให้ชาชื้น 

เมื่อผงชามีความไวต่อแสงและมีวิธีเก็บที่ละเอียดอ่อน กล่องที่เก็บชา จึงควรมีลักษณะที่ถูกต้องมากที่สุด เพื่อรักษาคุณภาพชา และเป็นการปกป้องผงชาจากอากาศ ดังนั้น ขวดแก้ว ขวดใส จึงไม่เหมาะสมสำหรับการเก็บผงชา กล่องเก็บผงชานี้ ภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า棗 หรือ natsume(Tea caddy )

ที่มาของกล่องเก็บชานั้นมาจากฝั่งยุโรป เพราะสมัยก่อน ชามีราคาแพงมาก วัฒนธรรมการบริโภคชาของชาวอังกฤษได้รับการเผยแพร่จากจีนในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ในช่วงนั้น มีความเชื่อว่า ชาสามารถรักษาโรคได้และมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ ชาเป็นที่รู้จักในภาคตะวันออกมานานหลายพันปี คนอังกฤษจึงให้คุณค่ากับชามาก เพราะชาสมัยนั้นมีราคาแพง จึงจำเป็นต้องถูกจัดเก็บล็อคกุญแจเป็นอย่างดี กล่องที่ใช้เก็บผงชามักมีราคาแพงและมีการตกแต่งเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศภายในห้องรับแขกหรือห้องรับรองอื่นๆ ที่จะมีการเสิร์ฟน้ำชาบริเวณนั้นๆ ซึ่งกล่องเก็บชามีหลายวัสดุ เช่น ไม้ โดยทำมาจากทำจากไม้มะฮอกกานีและไม้ชิงชันเป็นที่นิยม และยังมีรูปลักษณ์ที่หลากหลายกันออกไปทั้ง 6 เหลี่ยม 8 เหลี่ยม พัฒนาเรื่อยมามีทั้งกล่องจากดินเผา สแตนเลส หลากทรง หลายดีไซน์ แต่ลักษณะที่เห็นได้ชัดคือกล่องทุกแบบจะมีลักษณะทึบแสงนั้นเอง หากตอนนี้ใครใส่ในกล่องพลาสติกใส แม้จะมีฝาปิดตัวล็อคมิดชิด ก็ควรเปลี่ยนมาใส่กล่องที่มีลักษณะที่ถูกต้องจะดีกว่า

ดังนั้นในการเลือกกล่องเก็บชา สามารถเลือกได้ทั้งที่เป็นสแตนเลส หรือไม้ เพียงแค่ต้องมีฝาปิดให้สนิก ยิ่งถ้ามีที่ล็อคปิดให้แน่นยิ่งขึ้นยิ่งช่วยยืดระยะเวลาของผงชานั้นๆได้ หากใครที่มองหากล่องเก็บผงชา ลองเลือกดูได้จาก htps://matchazuki.com/product/canister/

ที่มา

https://matchazuki.com/product/canister/

 

บทความจาก : Fuwafuwa

ผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซได้มั้ย ??

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการตั้งผงมัทฉะไว้เฉยๆบนเคาน์เตอร์ครัว เมื่อผงมัทฉะสัมผัสกับองค์ประกอบต่างๆ เช่น ความร้อนและอากาศ มันก็จะสูญเสียรสชาติความสดใหม่และสารต้านอนุมูลอิสระได้

ความร้อนและความชื้น เป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ผงมัทฉะเหม็นอับได้ บางคนหลีกเลี่ยงความร้อนด้วยการนำเข้าตู้เย็นหลังใช้เสร็จ ซึ่งหากนำเข้าตู้เย็นเลยโดยไม่ทันระวัง ผงมัทฉะจะสามารถดูดซับกลิ่นที่รุนแรงได้อย่างรวดเร็ว กลิ่นอาหารที่อยู่ในตู้เย็นจะถูกผงมัทฉะดูดมา แล้วชาเขียวแก้วโปรดของคุณก็จะรสชาติและกลิ่นเสียไป เพราะในชาเขียวจะมีสาร Catechins เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ซึ่งภัยคุกคามอันดับหนึ่งของผงมัทฉะ คือ ออกซิเจน การออกซิไดซ์ทำให้สาร Catechins แย่ลง ดังนั้นผงมัทฉะจะต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดสนิทนั่นเอง ภาชนะที่ปิดสนิทก็มีให้เลือกหลายแบบ แต่ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในถุงซิปล็อค หรือถุงสุญญากาศก่อนเพื่อลดการเกิดออกซิไดซ์ให้มากที่สุด

นอกจากการหลีกเลี่ยงออกซิเจนแล้ว ควรเก็บผงมัทฉะในที่มืดเนื่องจากผงมัทฉะมาจากชาเขียวที่ปลูกในร่มชนิดพิเศษจึงต้องใช้เวลานานกว่ามากในการเจริญเติบโต ใบชาจึงผลิตคลอโรฟิลล์ในระดับที่สูงขึ้น แต่เนื่องจากแสงจะทำลายคลอโรฟิลล์เมื่อผ่านกระบวนการผลิตผงมัทฉะด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงแนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในที่มืดหรือภาชนะที่มืด (ไม่ใส) เพราะถ้าสัมผัสกับแสงมากๆ ผงมัทฉะอาจทำให้ชาที่ชงออกมามีรสชาติที่ไม่กลมกล่อม ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่แนะนำให้เก็บมัทฉะไว้ในภาชนะใสหรือโปร่งแสง หรือถ้าจำเป็นให้วางภาชนะใสไว้ในตู้สีเข้มที่ไม่ได้เปิดบ่อย และเมื่อหลังจากนำออกจากตู้เย็น ให้นำภาชนะเก็บชาตั้งไว้แบบปิดฝาและปล่อยให้อุ่นก่อนนำมาชง ก็จะได้มัทฉะแสนอร่อยตามเดิม

Freeze matcha

ส่วนบางคนนิยมยืดอายุอาหารด้วยการนำเข้าช่องฟรีซ จึงอาจเกิดความคิดที่ว่าหากนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซก็คงยืดอายุการใช้งานได้เช่นกัน

……คำตอบ คือจริง สามารถเข้าช่องฟรีซได้โดยเฉพาะคนที่นานๆเอามาชงสักที สามรถนำผงมัทฉะเข้าช่องฟรีซไว้ก่อนได้ ทั้งนี้ควรเก็บผงมัทฉะไว้ในภาชนะที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันกลิ่นจากอาหารคาวในตู้เย็น

แต่หากเป็นใบชาเขียวไม่แนะนำให้แช่ฟรีซ แต่สามารถแช่เย็นปกติได้ เพราะการแช่แข็งใบชา จะทำให้ชาไม่มีรสชาติ เพราะ ใบชามีความชื้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมากในแง่ของรสชาติและสารอาหาร การแช่แข็งชาจะทำให้ความชื้นกลายเป็นผลึกและทำลายโครงสร้างของเซลล์ใบทำให้รสชาติเปลี่ยนไป นอกจากนี้อุณหภูมิที่ต่ำจะลดกลิ่นหอมของชาลงไปอีกด้วย ซึ่งการแช่แข็งใบชา หากเราจัดเก็บไม่ดียิ่งทำให้เกิด freeze burn ขึ้นบ่อย โดยเฉพาะเมื่อใบชาถูกจัดเก็บโดยไม่มีการปิดผนึกที่ดี จึงเกิดการคายน้ำและออกซิเดชั่นจากอาหาร ใบชาที่แช่แข็งจึงได้รับความเสียหาย

ดังนั้นการเก็บรักษาใบชา หากมีใบชาปริมาณมากเกินไปให้ใส่ไว้ในถุงกระดาษที่สะอาด จากนั้นนำมาห่อให้แน่นวางไว้บนจาน แล้ววางถ่านรอบๆห่อชาให้เต็ม นำมาเก็บไว้ในที่ที่ไม่โดนแสงแดด หรือหากใบชามีปริมาณน้อยให้ใส่ไว้ในกระป๋องเหล็ก แล้วใส่ซองกันชื้นลงไป หรือใช้ภาชนะดินเผาหรือภาชนะโลหะขนาดพอเหมาะมีฝาสองชั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้อากาศเข้า หรืออาจจะใช้ภาชนะทึบแสงเพื่อนำไปเก็บในตู้ที่ทึบแสง ซึ่งการเก็บใบชาควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่แสงสามารถลอดผ่านได้ เนื่องจากมีผลเสียต่อใบชาสูง

Freeze matcha

ข้อควรรู้เพิ่มเติมคือ ใบชาแต่ละชนิดอาจจะต้องใช้วิธีเก็บในอุณหภูมิที่เก็บรักษาต่างกัน หากเป็น ชาเขียว โดยเฉพาะถ้าเป็นชาใหม่จะต้องเก็บในที่แห้งและอุณหภูมิต่ำ และอาจจะเก็บใส่กระป๋องที่ปิดมิดชิด หรือไว้ในตู้เย็น ไม่ควรเก็บ ชาเขียวไว้ชงดื่มนานเกิน 12-18 เดือน ส่วน ชาอูหลงหรือชาดำสามารถเก็บใบชาไว้ได้ในอุณหภูมิปกติแต่ไม่ควรให้ถูกแสงแดด และหลีกเลี่ยงการนำใบชาออกตากแดดเพราะแสงแดดจะทำลายคุณภาพของใบชา เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความชื้นและรักษาอุณหภูมิของใบชาให้คงที่ ที่สำคัญควรเก็บใบชาไว้ในที่อากาศถ่ายเทได้ดีนั่นเอง

ใบชาโดยปกติแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่ซื้อ (ทางที่ดีควรดูจากวันหมดอายุด้วย) หากเกินนั้นรสของชาจะค่อย ๆ จางไปจนไม่เหลือกลิ่น อย่างไรก็ตามหากเก็บไม่ถูกวิธี กลิ่นของชาก็อาจจางลงได้ในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ซึ่งสิ่งสำคัญในการเก็บรักษาใบชาคือจะต้องหาทางทำให้กลิ่นของชาคงอยู่ได้นานที่สุดภายใต้สภาพที่แห้งและไม่โดนแสงนั่นเอง

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดในการเก็บผงมัทฉะและใบชาเขียว จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ที่เหมือนกันคือต้องการเก็บไว้ในที่เย็นและมืดห่างจากออกซิเจน เพราะถ้าผงมัทฉะเสื่อมคุณภาพ ก่อนเวลาที่หมดอายุ ก็เป็นปัจจัยให้ตีชาเขียวแล้วไม่เกิดฟองได้ ดูเพิ่มเติมที่ shorturl.at/zS148

ที่มา

https://gracematcha.com/blogs/blog

http://zengreentea.com.au/

บทความจาก : Fuwafuwa

วิธีเช็คผงมัทฉะ ว่าได้คุณภาพจริงหรือไม่

ด้วยความนิยมของผงมัทฉะ และชาเขียวที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีแหล่งซื้อขายผงมัทฉะ และใบชาเขียวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไทย ไม่ว่าจะเป็นนำเข้าจากญี่ปุ่น จีน หรือแม้กระทั่งผลิตในไทย ซึ่งที่มาของชาแต่ละที่ก็ส่งผลต่อรสชาติ และกลิ่น ที่แตกต่างกัน และที่ต้องระวังอีกประเด็นคือ การไม่บอกคุณสมบัติที่แท้จริงของใบชา ทุกร้านจะบอกว่าเป็นชาต้นตำรับจากญี่ปุ่นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ร้านไหนเป็นผงชาเขียวของจริงบ้าง สังเกตได้จากปัจจัยเหล่านี้

  1. สี เป็นสิ่งที่ต้องต้องสังเกตอย่างแรก คือ สีของมัทฉะยิ่งเขียวสดเข้ม ยิ่งมีความขมน้อยมากๆ เพราะเป็นมัทฉะที่ได้รับการดูแลอย่างดี สายพันธุ์ดี มีสีเขียวสดเข้ม ใช้ดื่มแบบ ชงข้น(Koicha) ได้เลย ผงมัทฉะที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ แนะนำให้ใช้เกรดรองๆลงมา เพราะจะได้รสชาติที่เข้มข้นกว่า เมื่อไปผสมกับส่วนผสมตัวอื่นก็จะทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมดูภาชนะ หรือแพ็คเกจที่ใส่ชา เพราะผงชาเขียวที่ดีจะมีอายุประมาณ 6 เดือนและหลังจากเปิดก็ควรจะใช้ให้หมดภายใน 4 เดือน หากเก็บไว้นานกว่านั้น สีจะเริ่มอ่อนลงและกลิ่นก็จะหอมน้อยลง เนื่องจากในกระบวนการผลิตจะมีการอบใบชาด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิสูงเพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปใบชาสัมผัสกับออกซิเจนเรื่อยๆก็จะทำให้สีออกเหลืองเหมือนกับใบไม้ทั่วไปที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือด้วย

Matcha Quality

2. ส่วนผสม ผงมัทฉะบางเจ้าราคาถูกจริง ส่วนนึงมาจากการตีผงมัทฉะผสมแป้ง ไม่ใช่ชาเขียวล้วนๆ จึงสามารถทำราคาถูกมากๆได้ อย่าลืมที่จะพลิกข้างซองเพื่ออ่านส่วนผสมที่ชัดเจนก่อนซื้อผิด

3. รีวิวจากลูกค้าคนอื่น อย่าลืมดูรีวิวสินค้าจากผู้ที่เคยซื้อไปบริโภคด้วยว่านำไปทำเมนูอะไรอร่อย ใช้ในปริมาณแค่ไหน เพื่อเอามาเป็นไอเดีย และให้ผู้ที่ดูรีวิวเกิดความรู้สึกอยากซื้อมาลองทำตามบ้าง

Matcha Quality

4. ที่มา เช็คแหล่งที่มาให้ชัดเจนว่ามาจากเมืองไหนของที่ญี่ปุ่น อย่างเมืองขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวที่ทุกคนนิยมใช้คือจาก อูจิ เกียวโต แต่อย่างไรก็ตามที่ชิสึโอกะ ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน การรู้แหล่งที่มาโดยละเอียด จะช่วยให้เรามั่นใจในคุณภาพของชามากขึ้น

5. ราคา อย่าลืมที่จะเปรียบเทียบราคาตลาดว่าชาที่เราซื้อนั้นแพงหรือถูกเกินไปมั้ย แม้จะเป็นเกรดดีนำเข้าจากญี่ปุ่น ก็ควรเช็คราคาจากหลายๆแหล่ง และอย่าลืมเช็คราคาจากที่ญี่ปุ่นเองด้วย เพราะ สินค้าบางตัวการนำเข้ามาจากต้นกำเนิด ก็มีราคาถูกกว่าการผลิตเองในไทยหลายเท่าตัว ทั้งนี้ ชาเขียวเองก็มีหลายเกรด แต่ละเกรด ก็มีราคาที่ต่างกัน เช็คเกรดเดียวกันจะทำให้เห็นเรทราคาที่ชัดเจนที่สุด

6. เจ้าของที่ขาย แม้จะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่ถ้าพอจะรู้จักแหล่งที่มา มีเพจ Line@, Facebook หรือเว็บไซด์ที่ดูน่าเชื่อถือ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้

แค่ 6 สิ่งง่ายๆที่ต้องระวังและฉุกคิดนิดนึงก่อนจ่ายเงินซื้อ เพื่อให้ได้คุณภาพชาที่ดี สมราคานะคะ

ที่มา

https://www.rishi-tea.com

https://cookingchew.com/matcha.html

https://drericz.com/recipes/diy-super-greens-mix/

บทความ : Fuwafuwa

พูดถึงมัทฉะ ทำไมต้องเป็นอุจิมัทฉะ

ในญี่ปุ่น สินค้าที่เรียงรายในซุปเปอร์มาเก็ต ขนมในร้านขนมต่างๆ ที่ใช้มัทฉะเป็นส่วนผสม ไม่ว่าที่ไหนต่างก็พยายามโฆษณาว่าใช้อุจิมัทฉะทั้งนั้น หมู่นี้ในไทยเองก็คงเริ่มคุ้นเคยกับชื่อ “อุจิ” บ้างแล้ว สงสัยกันบ้างไหมครับ ว่าทำไมถึงต้องเป็นอุจิมัทฉะ ไม่ใช่มัทฉะที่อื่น

  1. นิยามของอุจิมัทฉะ

“อุจิ” คือชื่อเมืองหนึ่งในจังหวัดเกียวโต รากฐานของวัฒนธรรมญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่นี่มากว่าพันปี เห็นได้จากมรดกโลกอย่างวัดเบียวโดอิน รวมถึงเป็นแหล่งของผู้ผลิตชาในญี่ปุ่นด้วย เมื่อคริสตศตวรรษที่ 12 สมัยราชวงศ์ซ่งของจีน ตอนที่พระภิกษุเอไซนำชาและโม่บดจากจีนมายังญี่ปุ่นครั้งแรก ก็นำมายังเกียวโต กล่าวได้ว่าชาชนิดแรกที่ดื่มกันในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก็คือมัทฉะนี้เอง ขณะที่จีนได้เลิกวิธีดื่มโบราณนี้และกลายมาเป็นวิธีสกัดร้อน เอาน้ำชาออกจากใบชาอย่างปัจจุบัน

แต่ว่า ความจริงแล้ว ชาอุจิในปัจจุบันไม่ได้ปลูกในเมืองอุจิอย่างเดียวหรอกนะครับ

สำนักงานกิจการชาจังหวัดเกียวโตให้นิยามชาอุจิไว้ว่า เป็นชาที่ปลูกใน 4 จังหวัดที่มีพัฒนาการมาแล้ว โดยพิจารณาแล้วถึงด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ และสภาพอากาศ อันได้แก่จังหวัดเกียวโต นาระ ชิกะ และมิเอะ ซึ่งทำการแปรรูปชาโดยกิจการชาในจังหวัดเกียวโต ที่จังหวัดเกียวโต

นอกจากนี้การขึ้นทะเบียนสินค้าอุจิมัทฉะยังให้นิยามเพิ่มไว้อีกว่า มัทฉะคือชาที่แปรรูปขั้นสุดท้ายจากชาซึ่งผลิตในสี่จังหวัดดังกล่าวภายในจังหวัดเกียวโตด้วยวิธีการอันกำเนิดมาจากอุจิ อีกด้วย ด้วยเหตุนี้ชาอุจิที่ได้รับการนับถือว่าคุณภาพยอดเยี่ยมแท้จริงแล้วอาจประกอบไปด้วยชาจากสี่จังหวัดซึ่งอยู่ติดๆ กันข้างต้น แต่ยังคงความเป็นอุจิไว้ด้วยวิธีการผลิตนั้นเอง

  1. ปริมาณการปลูกมัทฉะอันดับหนึ่งในญี่ปุ่น

ในปี 2018 ประเทศญี่ปุ่นผลิตเท็นฉะ (คำเรียกใบชาที่จะนำมาทำมัทฉะ) 3,660 ตัน ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 ถูกผลิตในเกียวโตถึง 1,200 ตัน นอกจากนี้ยังมีจากจังหวัดนาระ 250 ตัน จังหวัดชิกะ 50 ตัน และจังหวัดมิเอะ 150 ตัน อ้างอิงจากนิยามด้านบนแล้ว มัทฉะราวครึ่งหนึ่งของญี่ปุ่นอาจมาจาก “ชาอุจิ” ก็เป็นได้ แสดงให้เห็นว่ามัทฉะอุจิถูกผลิตมาจากแหล่งมัทฉะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว

  1. ชนะการประกวดแบบขาดลอย

ในงานเทศกาลชาระดับประเทศญี่ปุ่น (全国お茶まつり) ซึ่งจัดขึ้นปีละหนึ่งครั้งนั้นเป็นงานที่เหล่าคนในวงการชาจะมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีกิจกรรมต่างๆ รวมถึงการประกวดคุณภาพชาระดับประเทศด้วย (全国茶品評会) ล่าสุดได้จัดเป็นครั้งที่ 73 ที่เมืองนิชิโอะ จังหวัดไอจิในวันที่ 27 – 30 สิงหาคม ปี 2019 นี้เอง

สำหรับมัทฉะ จะทำการประเมิณจากในสภาพที่เป็นใบ (เท็นฉะ) อยู่ครับ จะถูกพิจารณาจาก 5 ด้านด้วยกันคือ 1. ลักษณะภายนอก เช่น สีหรือรูปร่าง 40 คะแนน กลิ่น 65 คะแนน สีของน้ำชา 20 คะแนน รสชาติ 65 คะแนน สีของน้ำจากกากชา (จุดนี้ทำเฉพาะเท็นฉะ) 10 คะแนน รวม 200 คะแนน

อุจิมัทฉะ

การประกวดคุณภาพชาระดับประเทศครั้งที่ 73 มีข้อมูลแต่ผลรางวัลพิเศษ ไม่มีข้อมูลคะแนนระดับของชา ในสาขาเท็นฉะนั้น ชาที่ผลิตจากเกียวโต ได้รางวัลถึง 5 รางวัลจากทั้งหมด 6 รางวัล นอกจากนั้นสำหรับรางวัลแหล่งผลิตดีเด่น เมืองอุจิ จังหวัดเกียวโตยังได้อันดับ 1 และเมืองโจโย จังหวัดเกียวโตก็ได้อันดับ 2 ปีที่แล้วเองในการประกวดคุณภาพชาระดับประเทศครั้งที่ 72 จัดขึ้นที่จังหวัดชิสึโอกะ ชาเท็นฉะที่ได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ได้คะแนนเต็ม 200 คะแนนมาจากเมืองอุจิ โดยชาที่ได้รับลำดับการประเมิณว่าเป็นระดับ 1 -3 (นอกนั้นไม่ได้รับ) จำนวนทั้งหมด 34 รายการ ซึ่ง 31 รายการมาจากเกียวโต และในจำนวนนี้ 22 รายการมาจากเมืองอุจิ สำหรับผลรางวัลพิเศษ เท็นฉะจากเกียวโตกินเรียบทั้งหมด 6 รางวัลเลย

  1. แล้วเรื่องรสชาติล่ะ?

บางคนสงสัยว่า อ้าว แล้วสรุปว่าอุจิมัทฉะ มีรสชาติวิเศษกว่าที่อื่นยังไงล่ะ? ความจริงนี่เป็นคำถามที่ยาก เพราะเอาแค่ในอุจิเอง มัทฉะก็มีหลายรุ่น หลายแบบ แต่ละแบบคาแรกเตอร์ก็ต่างกันตามสายพันธุ์ หรือตามผู้ผลิตจะกำหนด รสย่อมต่างกันอยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกความเยี่ยมของมัทฉะได้คือ รสอุมามิ (ความกลมกล่อม) เป็นรสชาติเฉพาะ ที่แยกต่างหากกับความหวาน ยิ่งเป็นมัทฉะชั้นยอดเท่าไหร่ ความฝาดขมชวนให้หน้าเบ้จะกลืนหายไปในรสอุมามิ อุจิมัทฉะหลายตัวมากที่บรรลุถึงคุณภาพระดับนี้

ความอร่อยของอุจิมัทฉะไม่ได้จบที่แค่รสอุมามิมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ยังมีเรื่องความสมดุลขององค์ประกอบต่างๆ เช่นกลิ่นที่มีหลากหลายมาก ความขม ความหวาน ความรู้สึกเมื่อดื่ม ทำให้คนบางคนพอใจกับมัทฉะที่อุมามิไม่มากแต่มีความขมอย่างลงตัว ติดใจกับมัทฉะที่เกรดไม่สูงมาก (Matchazuki รุ่น Classic ให้อุมามิไม่มากเท่ารุ่น Excellent แต่กลิ่นก็หอมไม่แพ้กันนะครับ) หรือพบว่ามัทฉะเกรดไม่สูงมากเหมาะกับการทำขนมแบบหนึ่งมากกว่า

อย่างไรก็ตามการทำมัทฉะเช่นนี้ได้นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูกเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ฝีมือคนเบลนด์ชาจากแหล่งต่างๆ ให้สมบูรณ์ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าวัตุดิบอย่างชาที่ปลูกนั้นไม่ดี เบลนด์ยังไงก็คงไม่ได้ชาชั้นยอดหรอกจริงไหมครับ?

พอจะเห็นกันหรือยังครับว่าอุจิมัทฉะมีโปรไฟล์ดีขนาดไหน ถ้าเห็นที่ไหนเขียนว่าใช้มัทฉะจากเมืองอุจิ ก็รับประกันได้ระดับหนึ่งว่ากลิ่นรสย่อมดีกว่า มีภาษีดีกว่ามัทฉะทั่วไปแน่นอน

บทความจาก : Vachi

สารอาหารในมัทฉะและปริมาณมัทฉะที่ดีต่อสุขภาพ

ก่อนที่จะเฉลยเรามาดูกันผ่านๆ ดีกว่าว่ามัทฉะมีสารอาหารอะไรอยู่บ้าง
มัทฉะปริมาณ 100 กรัมมีสารอาหารดังต่อไปนี้

“พลังงาน 324 kcal, น้ำ 5 กรัม, โปรตีน 29.6 กรัม, โปรตีนจากกรดอะมิโน 22.6 กรัม, ไขมัน 5.3 กรัม, 0.68 กรัม, ไตรกลีเซอไรด์ 3.3 กรัม, กรดไขมันอิ่มตัว 0.68 กรัม, กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่เดี่ยว 0.34 กรัม, กรดไขมันไม่อิ่มตัวพันธะคู่หลายคู่ 2.16 กรัม, คอเรสเตอรอล 0 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 39.5 กรัม, คาร์โบไฮเดรตที่นำไปใช้ได้ 1.6 กรัม, ไฟเบอร์ที่ละลายได้ในน้ำ 6.6 กรัม, ไฟเบอร์ที่ไม่ละลายในน้ำ 31.9 กรัม, ปริมาณไฟเบอร์ทั้งหมด 38.5 กรัม, ปริมาณเถ้า (ส่วนของสารอนินทรีย์ในอาหาร) 7.4 กรัม, โซเดียม 6 มิลลิกรัม, โพแทสเซียม 2700 มิลลิกรัม, แคลเซียม 420 มิลลิกรัม, แมกนีเซียม 230 มิลลิกรัม, ฟอสฟอรัส 350 มิลลิกรัม, เหล็ก 17.0 มิลลิกรัม, สังกะสี 6.3 มิลลิกรัม, ทองแดง 0.6 มิลลิกรัม, วิตามิน A เบต้าแครอทีน 29000 ไมโครกรัม, วิตามิน A1 2400 ไมโครกรัม, วิตามิน E โทโคฟีรอล 28.1 มิลลิกรัม, วิตามิน K 2900 ไมโครกรัม,วิตามิน B1 0.6 ไมโครกรัม, วิตามิน B2 1.35 มิลลิกรัม, ไนอาซิน 4.0 มิลลิกรัม, วิตามิน B6 0.96 มิลลิกรัม, กรดโฟลิก 1200 มิลลิกรัม, กรดแพนโทเทนิก 3.7 ไมโครกรัม, วิตามิน C 60 มิลลิกรัม, คาเฟอีน 3.2 กรัม, แทนนิน 10.0 กรัม”

ขอโทษที่ยาวนะครับ อ่านผ่านๆ ก็พอ
ข้อมูลนี้ผมแปลมาจากรายการสารอาหารมาตรฐานในสินค้าบริโภค ฉบับแก้ไขครั้งที่ 7 ปี 2015 (ฉบับล่าสุด) จัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ประเทศญี่ปุ่นครับ เชื่อถือได้และไปใช้อ้างอิงได้เลย
ดูจากข้อมูลนี้แล้วจะพบว่ามัทฉะมีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย กินทั้งกระปุกไป 100 กรัมคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ? ทว่ามีสารตัวหนึ่งที่เราควรระวังเป็นพิเศษ นั่นคือ คาเฟอีน

มัทฉะ 100 กรัม มีคาเฟอีน 3.2 กรัม แปลว่ามัทฉะ 1 กรัมมีคาเฟอีน 32 มิลลิกรัมนั่นเอง สมมุติว่าชามัทฉะกับน้ำร้อน ปกติใช้มากสุด 2 กรัม แปลว่าร่างกายเราจะได้รับคาเฟอีน 64 มิลลิกรัม
งั้นปริมาณคาเฟอีนที่ควรได้รับคือเท่าไหร่กันล่ะ?
ขณะนี้ไม่มีค่า ADI (Acceptable Daily Intake) ที่กำหนดไว้สำหรับคาเฟอีน หากอ้างตามคำแนะนำของหน่วยงานความปลอดภัยด้านอาหารแห่งสหภาพยุโรป EFSA (European Food Safety Authority) ปริมาณคาเฟอีนที่เหมาะสมใน 1 วันนั้นแตกต่างกันตามช่วงอายุและน้ำหนักตัวตามตารางด้านล่างนี้

ช่วงอายุ ปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน ปริมาณมัทฉะที่แนะนำ สรุปอย่างง่าย
75 ปีขึ้นไป 22-417mg 0.69-13.03g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ 1 ช้อนชา
65-75 ปี 23-362mg 0.72-11.31g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ ครึ่งช้อนชา
18-64 ปี 37-319mg 1.16-9.97g ได้ถึง 2 ช้อนโต๊ะ
10-18 ปี 0.4-1.4mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.01-0.0437g x น้ำหนักตัว (kg)
3-10 ปี 0.2-2.0mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.006-0.0625g x น้ำหนักตัว (kg)
12-36 เดือน 0-2.1mg/น้ำหนักตัว (kg) 0.006-0.03125g x น้ำหนักตัว (kg)
สตรีมีครรภ์ 200 mg ต่อวัน 6.25 gต่อวัน ได้ถึง 1 ช้อนโต๊ะ ครึ่งช้อนชา

ตามตารางด้านบน ช่วงอายุ 12 เดือนถึง 18 ปีคงต้องฝากผู้อ่านคำนวณกันเอาเองนะครับ ท่านที่ไม่มีเครื่องวัดอาจจะรู้สึกยุ่งยาก ผมเลยลองดูว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหน่วยช้อนชาที่ทุกคนน่าจะคุ้นเคย

หากท่านดูรูปประกอบด้านล่างรูปที่มีช้อนคันสีฟ้า นั่นเป็นช้อนตวงปริมาณ 1 ช้อนชา ปริมาณมัทฉะจะอยู่ประมาณประมาณ 2.2-2.4 กรัมครับ ส่วนในรูปปกบทความนั้นตวงมาจากช้อนตวง 1 ช้อนชาจะได้มัทฉะราว 4.9-5.1 กรัมครับ ช้อนตวงพวกนี้หาไม่ยากเลย ลองเอามากะๆ ดูก็ได้ครับ

การศึกษาเรื่องปริมาณคาเฟอีนยังเป็นหัวข้อศึกษากันอยู่ องค์กรของหลายๆ ประเทศก็ให้ข้อสรุปแตกต่างกัน บางที่เช่นสำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารประเทศนิวซีแลนด์ (NZFSA) ก็กล่าวว่า วัยผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงสามารถรับคาเฟอีนได้สูงสุด 400 mg ต่อวัน (มัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะกับ 1 ช้อนชานิดๆ ) หากมีงานวิจัยใหม่ๆ ออกมาตัวเลขนี้คงเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าเชื่อตามยุโรป ตัวเลขในตารางนี้ก็พอให้เห็นภาพบ้างครับ

ถ้าร่างกายรับคาเฟอีนไปแล้วจะมีผลอย่างไรบ้าง?

มีการศึกษามากมายเกี่ยวกับเรื่องประโยชน์และโทษของคาเฟอีน รวมถึงมีหลายกรณีมาก เราจึงตัดสินกันไม่ได้ง่ายๆ ว่าคาเฟอีนจะส่งผลแบบไหนกับคนจำพวกไหน อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการความปลอดภัยด้านอาหาร ประเทศญี่ปุ่น (Food Safety Commission of Japan: FSC) ก่อตั้งโดยสำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคาเฟอีนไว้ดังนี้ครับ

ได้รับในปริมาณเหมาะสม: ประสาทตื่นตัว แก้ความง่วง แก้อาการเมาแอลกอฮอล์ (ระวังจะดื่มสุรามากเกินไปนะครับ)

ได้รับในปริมาณมากเกินไป:

  1. กระตุ้นประสาทส่วนกลาง: อาการวิงเวียน ชีพจรสูงขึ้น วิตกกังวล อาการสั่น อาการนอนไม่หลับ
  2. กระตุ้นทางเดินอาหาร: กระตุ้นอาการท้องเสีย คลื่นไส้
  3. ขับปัสสาวะ

นอกจากนี้องค์การอนามัยโลกยังกล่าวว่า ในสตรีมีครรภ์ ร่างกายจะมีการกำจัด (clearance) คาเฟอีนจากกระแสเลือดได้ช้าลง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าการรับคาเฟอีนมากเกินไป (ตัวเลขขององค์การอนามัยโลกคือ 300 mg ต่อวัน – มัทฉะเกือบ 2 ช้อนโต๊ะ) มีความเป็นไปได้ที่พัฒนาการของทารกในครรภ์จะช้าลง น้ำหนักทารกแรกเกิดต่ำลง คลอดเร็ว และทารกตายคลอด จึงแนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนในระดับที่เหมาะสม

ส่วนสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มประเทศญี่ปุ่นยังแนะนำไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอินขณะใช้เภสัชภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน

ไม่ว่าอาหารนั้นๆ จะมีคุณค่าทางสารอาหารมากขนาดไหน ถ้าทานมากไปก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้แต่มัทฉะก็ตาม บางคนชงมัทฉะตามธรรมเนียมดั้งเดิม (1.7-2.0 กรัม) ไม่กล้าทานมากๆ หวังว่าเมื่อทุกคนจะดื่มมัทฉะได้อย่างสบายใจมากขึ้นเมื่อได้อ่านบทความนี้นะครับ

https://chakatsu.com/basic/caffeine_matcha/

บทความจาก : Vachi

Matcha Ice-cream with Red Bean ไอศกรีมมัทฉะถั่วแดง

สวัสดีครับแฟนเพจทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้วนะครับ วันนี้ทางเพจ MATCHAZUKI ผงชาเขียวมัทฉะเกรดพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น เลยขอเสนอเมนูดับร้อนที่ง่ายยยยแสนง่ายมาฝากกันครับ นั่นก็คือไอศครีมชาเขียวถั่วแดงนั่นเอง แน่น่อนว่าอากาศร้อนๆแบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่าไอศครีมใช่มั๊ยครับ และยิ่งทานกับถั่วแดง เพิ่มความหวานเข้มข้น ความอร่อยยิ่งลงตัวจริงๆครับ ไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยดีกว่าครับ

ส่วนผสมสำคัญ

  1. นมสดชนิดจืด 450 มิลลิลิตร
  2. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium 1 ช้อนโต๊ะ
  3. น้ำตาลทราย 40 กรัม
  4. เกลือเล็กน้อย
  5. น้ำร้อน เล็กน้อย
  6. ถั่วแดงต้มสุก ตามชอบ

ขั้นตอนการทำ

  1. นำนมสด น้ำตาล เกลือ ผสมกัน ตั้งไฟให้ร้อน
  2. นำผงชาเขียวละลายน้ำร้อนเล็กน้อย ผสมลงไปในส่วนของนมสด
  3. เทส่วนผสมลงในพิมพ์ของไอศครีม และใส่ถั่วแดงลงไปตามชอบ
  4. นำไปแช่ในช่องฟรีซ นานประมาณ 2 ชั่วโมง หรือจนไอศครีมพอเซ็ตตัว นำไม้ไอศครีมปักลงไป และแช่ต่อจนไอศครีมแข็งตัวดี

ไอศครีมชาเขียวถั่วแดงสูตรนี้เป็นสูตรง่ายๆ ที่มีวิธีการทำไม่ยุ่งยาก ทานดับร้อนได้ดี ได้ประโยชน์จากทั้งชาเขียวและถั่วแดงเลยครับ

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

White Choc Matcha Truffles

สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกวันศุกร์ วันนี้ทางเพจ MATCHAZUKI ผงมัทฉะเกรดพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น ขอเอาเมนู White Choc Matcha Truffles หรือไวท์ช็อคมัทฉะทรัฟเฟิล มาฝากแฟนๆกันนะครับ ทรัฟเฟิลเป็นขนมยอดนิยมของชาวต่างชาติ เป็นขนมที่เหมาะสำหรับทานคู่กับการดื่มชาในยามบ่ายหรือ Afternoon Tea นั่นเอง ด้วยรสชาติหวานและหอมกลิ่นชาของ White Choc Matcha Truffles เมื่อทานคู่กับชาร้อนๆ จะเหมาะเป็นเมนูยามบ่ายมากๆ แถมส่วนผสมน้อยวิธีการทำก็ยังง่ายมากๆอีกด้วย เราไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยดีกว่าครับ ^^

13697082_1726085937616404_7162457496103395974_n

ส่วนผสมสำคัญ
1. ไวท์ช็อคโกแลต 240 กรัม
2.ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium  2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับผสม)
3. วิปปิ้งครีม 100 มิลลิลิตร
4. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium (สำหรับคลุก)

ขั้นตอนการทำ

13645329_1726085930949738_1283040969498962539_n
1. เทวิปปิ้งครีมใส่ชามทนความร้อน นำเข้าไมโครเวฟ ความร้อนสูงสุดประมาณ 30 วินาที หรือจนกว่าวิปปิ้งครีมจะเดือดเล็กน้อย นำออกมาใส่ไวท์ช็อคโกแลตและผงชาเขียว คนให้ละลายเข้ากันดี
2. หากส่วนผสมยังไม่ละลายเข้ากันดีสามารถนำเข้าไมโครเวฟครั้งละ 15 วินาที หรือจนกว่าส่วนผสมจะเข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น เมื่อเย็นแล้วนำเข้าตู้เย็นทิ้งไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมง

13709873_1726085940949737_5412414674268495390_n
3. เมื่อส่วนผสมเย็นและจับตัวดีจนสามารถปั้นได้แล้ว นำออกมาปั้นให้เป็นลูกกลมๆ (ลักษณะของทรัฟเฟิลจะไม่กลมมาก ไม่ต้องซีเรียสนะครับ) และคลุกกับผงชาเขียวอีกครั้ง

13645301_1726085934283071_7475257028576169400_n

จัดใส่จานสวยๆ ทานคู่กับชาร้อนๆ เข้ากันดีมากๆครับ แต่ทรัฟเฟิลเป็นขนมที่ควรทานขณะที่ยังเย็นอยู่ หากยังไม่ทาน ไม่ควรคลุกผงชาเขียวนะครับ เพราะความชื้นในขนมอาจทำให้ผงชาเขียวดูไม่น่าทานได้ แนะนำว่า จะทานเมื่อไหร่ค่อยนำมาคลุกผงชาเขียวจะดูน่าทานกว่าครับ แล้วพบกันใหม่เมนูหน้านะครับ ^^

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

Matcha Cheese Tart มัทฉะชีสทาร์ต

สวัสดีครับ กลับมาพบกันเป็นประจำทุกวันศุกร์ วันนี้ทางเพจ MATCHAZUKI ผงมัทฉะเกรดพรีเมี่ยมจากญี่ปุ่น จะขอแนะนำอีกสูตรขนมยอดฮิต ที่สาวกชีสไม่ควรพลาดครับ นั่นก็คือ Matcha Cheese Tart ที่หวานมันถึงรสชีสและเข้มข้นถึงรสชาเขียว จะทานตอนร้อนก็ให้ความรู้สึกเหมือนทานชีสแบบลาวา หรือทานตอนเย็นก็เนื้อหนึบแบบชีสเค้ก มาดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยดีกว่าครับ ^^

13590322_1723109364580728_3627544171691979056_n

ส่วนผสมสำคัญ
ส่วนทาร์ต
1. แป้งอเนกประสงค์ 100 กรัม
2. เนย 60 กรัม
3. น้ำตาลไอซิ่ง 25 กรัม
4. เกลือ 4 กรัม
5. ไข่ครึ่งฟอง (ตีไข่ให้แตกแล้วใช้ครึ่งเดียว)
6. ถาดพิมพ์ ตามต้องการและไม้คลึงแป้ง

ส่วนคัสตาร์ดชีสมัทฉะ
1. ครีมชีส 150 กรัม
2. มาสคาโพเน่ชีส 70 กรัม
3. เนย 30 กรัม
4. นมสด 90 กรัม
5. น้ำตาลไอซิ่ง 30 กรัม (หากชอบหวานสามารถเพิ่มได้)
6. แป้งข้าวโพด 10 กรัม
7. ผงมัทฉะ Matchazuki เกรด Medium 1 ½ ช้อนโต๊ะ
8. ไข่ไก่ 1 ฟอง
9. น้ำมะนาว ½ ช้อนโต๊ะ
10. เกลือป่น 1 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ
ส่วนทาร์ต

13557801_1723109354580729_8210836968419928219_n
1. นำแป้งร่อนลงในภาชนะที่จะใช้ผสม แล้วนำเนยที่เริ่มนิ่มเล็กน้อย ลงไปคลุกให้เข้ากัน เมื่อเข้ากันดี ใส่น้ำตาลไอซิ่ง เกลือลงไปผสม ตามด้วยไข่ไก่ นวดจนเข้ากันดี ห่อด้วยพลาสติกแรป นำเข้าตู้เย็นให้เนยเซ็ตตัวประมาณ 2 ชั่วโมง

13620953_1723109361247395_5207268051118111725_n

2. ทำการวอร์มเตาอบไว้ที่ 180 องศาเซลเซียส นำแป้งออกมาจากตู้เย็น คลึงแป้งให้มีความหนาประมาณ 3 มม. แล้วกรุลงในพิมพ์ตามที่ต้องการ นำส้อมจิ้มลงในพิมพ์ให้เป็นรูเล็กน้อย นำเข้าเตาอบ แล้วอบประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าทาร์ตจะเหลืองสวย

ส่วนคัสตาร์ดชีสมัทฉะ
1. นำครีมชีส มาสคาโพเน่ชีส เนย และนมครึ่งหนึ่งเทลงในภาชนะที่ทนความร้อน (เช่นหม้อใบเล็กหรือชามสแตนเลส) คนให้เข้ากัน นำหม้อที่มีขนาดใหญ่กว่า ใส่น้ำตั้งไฟกลางให้น้ำเดือด นำภาชนะที่ใส่ชีสเมื่อครู่ไปวางบนหม้อ ( เทคนิค double boiler ) จนส่วนผสมร้อนและเริ่มเหลวขึ้น

13631625_1723109371247394_2162419518012707637_n

2. นำน้ำตาลไอซิ่ง ผงมัทฉะ แป้งข้าวโพด ลงในนมส่วนที่เหลือ คนให้เข้ากันและเทลงในส่วนผสมแรก คนให้เข้ากันดี

3. ใส่ไข่ที่ตีแล้ว ตามด้วยเกลือและน้ำมะนาว คนตลอดเวลาเพื่อป้องกันไข่เป็นลิ่ม คนจนส่วนผสมเริ่มข้นขึ้นจนไม่ไหลจากไม้พาย พักให้เย็น ใส่ถุงบีบ
4. บีบส่วนผสมใส่ทาร์ตที่เตรียมไว้ เข้าเตาอบในอุณหภูมิที่ 180 องศาเวลา 10 นาที (หากพิมพ์ใหญ่ใช้เวลานานขึ้น) หรืออบจนหน้าคัสตาร์ชีวเริ่มตึงและแห้งไม่ติดนิ้ว

13599893_1723109357914062_8979183326140689642_n

Matcha Cheese Tart เป็นขนมที่ทานได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น หากทานตอนร้อน ตัวคัสตาร์ดจะเยิ้มและไหลเหมือนลาวา แต่หากนำแช่ตู้เย็น เนื้อจะเข้มข้นเหมือนทานชีสเค้ก ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ใครชอบแบบไหนจัดได้ตามใจชอบเลยครับ แล้วอย่าลืมมาเล่าให้ฟังนะครับ ว่าชอบแบบไหนมากกว่ากันครับ ^^

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

Matcha Strawberry Daifuku ไดฟุกุชาเขียวถั่วแดง

Matcha Strawberry Daifuku
抹茶いちご大福

ไดฟุกุชาเขียวถั่วแดงสุดชุ่มฉํ่า ได้ลองแล้วต้องหลงรักก^^
เปรี้ยวหวาน กลมกล่อม ลงตัวสูตรนี้เลย… เพียงใช้ MATCHAZUKI Medium มัทฉะแท้ที่ให้กลิ่นหอม เข้มข้น เนื้อเนียนละเอียด ทำง่ายๆไม่ว่าจะเมนูไหน ไปรับชมสูตรกันเลยค่า

ส่วนผสมสำคัญ
ส่วนที่ 1

  1. ถั่วแดงกวน                                        400  กรัม
  2. สตรอว์เบอร์รี่ (ขนาดเล็ก)                           15   ผล

ส่วนที่ 2

  1. แป้งมัน                                              25  กรัม
  2. แป้งข้าวเหนียว                                    200  กรัม
  3. น้ำตาล                                               70  กรัม
  4. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium          6   กรัม (~3 ช้อนชา)
  5. น้ำเปล่า                                             330  ml
  6. แป้งมัน สำหรับโรยตอนนวดแป้ง                    1   ถ้วย

ขั้นตอนการทำ

  1. นำพลาสติกแรปวางบนถ้วยขนาดใหญ่กว่าผลสตรอว์เบอร์รี่เล็กน้อย ใช้มือกดให้พลาสติกแรปเป็นทรงถ้วย
  2. ใส่ถั่วแดง และสตรอว์เบอร์รี่ลงในถ้วย
    .
    .
  3. ห่อแรปเข้าหากัน ปั้นให้ไส้ถั่วแดงและสตรอว์เบอร์รี่เป็นลูกกลม เมื่อได้รูปทรงที่ต้องการแล้ว นำออกจากแรปใส่ภาชนะ แล้วแช่เย็น 30 นาที
    .
    .
  4. ผสมแป้งมัน แป้งข้าวเหนียว ผงมัทฉะ และน้ำตาลในถ้วยผสม
  5. ค่อยๆเติมน้ำ แล้วคนให้เข้ากัน จนส่วนผสมละลายเข้ากันได้ที่
    ..
  6. นำไปอุ่นไมโครเวฟ 30 วินาที แล้วนำออกมากวน
  7. จากนั้นอุ่นต่ออีก 6 – 8 ครั้ง ครั้งละ 30 วินาที จนแป้งเริ่มเหนียว
  8. โรยแป้งมันบนพื้นที่ที่ใช้นวดแป้งให้ทั่ว แล้วนำแป้งโดที่ได้มาตัดแบ่งเป็นก้อนเล็กๆ
  9. ใช้มือนวดแป้งให้เป็นแผ่น แล้วใช้ไม้นวดแป้งให้เป็นแผ่นบางพอดี
  10. นำไส้ถั่วแดงที่เตรียมไว้ วางลงบนแผ่นแป้ง
  11. หุ้มแป้งโดเข้าหากัน บีบให้แป้งปิดไส้ถั่วแดงให้สนิท แล้วตัดแป้งส่วนที่เกินออก จากนั้นเก็บปลายให้สวยงาม
  12. นำแช่เย็น 1 ชั่วโมง ไดฟุกุชาเขียวถั่วแดงก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว 😀
    .
    .
    .
    ***ดูขั้นตอนวิธีทำไดฟุกุมัทฉะสตรอว์เบอร์รี่แบบละเอียดเพิ่มขึ้นได้ที่วิดีโอด้านล่างนี้เลยครับ
    .

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

Matcha Chocolate-Dipped Strawberries

สวัสดีครับ หลังจากวันก่อนลงเมนู “Matcha Chocolate-Dipped Strawberries” มีเพื่อนๆให้ความสนใจเยอะเลย วันนี้เลยจะขอเอาวิธีทำมาฝากกันกับเมนูน่ารักๆที่ใครๆก็ทำได้ เมนูนี้มีชื่อภาษาไทยว่า มัทฉะช็อคโกแลตเคลือบสตรอว์เบอร์รี่ เป็นขนมง่ายๆที่อยากแนะนำกันครับ ไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันเลยดีกว่าครับ ^^

2

ส่วนผสมสำคัญ

  1. สตรอว์เบอร์รี่ 8-10 ลูก (แช่ในช่องแช่แข็งอย่างน้อย 3 ชั่วโมง)
  2. ไวท์ช็อคโกแล็ต 200 กรัม
  3. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับผสมไวท์ช็อคโกแลต)
  4. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Medium 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับโรยหน้าขนม)
  5. เนยสด 5 กรัม

ขั้นตอนการทำ

  1. นำไวท์ช็อคโกแลตใส่ชามที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้ กดไปที่ 30 วินาที เมื่อนำออกมาจะสังเกตว่า ช็อคโกแลตบางส่วนเริ่มละลาย คนให้ความร้อนกระจายอย่างทั่วถึง แล้วนำเข้าไมโครเวฟต่ออีก 30 วินาที นำออกมาคนให้เข้ากันอีกครั้ง3
  2. นำเนยสด ใส่ลงไปในไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายเรียบร้อยแล้ว คนให้เข้ากัน เมื่อเนยละลายเข้ากับช็อคโกแลตแล้ว ใส่ผงชาเขียวลงไป แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง4 5
  3. นำสตรอว์เบอร์รี่ที่เราแช่ไว้ในช่องแข็งมาเด็ดขั้วทิ้งไป แล้วนำไม้เสียบลูกชิ้นเสียบเข้าไปแทนขั้ว โดยไม่ต้องลึกมาก แล้วนำไปจุ่มกับช็อคโกแลตมัทฉะที่ทำไว้ (หมายเหตุ การนำสตรอว์เบอร์รี่ไปแช่ในช่องแข็งจะทำให้ชุบง่ายขึ้น ช็อคโกแลตมัทฉะจะแข็งตัวได้เร็วขึ้น)6
  4. พอช็อคโกแลตเริ่มแข็งตัว นำผงชาเขียวที่เตรียมไว้ ใส่ตะแกรง ร่อนให้ผงชาเขียวเคลือบสตรอว์เบอร์รี่ที่เราชุบไว้แล้วอีกครั้ง เพื่อเพิ่มความเข้มข้นรสชาเขียวและทำให้ดูสวยงามน่าทานมากยิ่งขึ้นครับ7
  5. จัดใส่จานสวยๆ จะโรยผงมัทฉะเพิ่มในจานให้ดูสวยงามน่ารับประทาน หารใครจะหั่นให้เห็นความสวยงามของสตรอว์เบอร์รี่ แนะนำว่า ให้นำมีดไปชุบน้ำร้อนเช็ดให้แห้งก่อนแล้วค่อยหั่น ช็อคโกแลตมัทฉะจะไม่แตก หรือหากใครจะนำไปเป็นของขวัญ แนะนำว่า พอใส่กล่องผูกโบว์สวยๆแล้ว ให้นำน้ำแข็งแห้งใส่ไปในกล่องเล็กๆอีกครั้ง เพราะช็อคโกแลตควรอยู่ในที่เย็นๆจะละลายได้ยากขึ้น8

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー

Green Tea Matcha Chiffon Cake ชิฟฟ่อนเค้กชาเขียว

วิธีการทำเค้กชาเขียวชิฟฟอน^^ (Green Tea Matcha Chiffon Cake)

สูตร นี้ได้มาจากคุณ jumjee ใน Pantip ครับ โดยส่วนผสมและวิธีทำขอคงของต้นฉบับไว้เป็นส่วนใหญ่เลยนะครับ เพราะจะมีเปลี่ยนแค่ผงชาเขียวมัทฉะและมีการเติมผงชาเขียวมัทฉะเพิ่มในส่วน ครีมนิดหน่อยครับ ^^

ส่วนผสมสำคัญ (สำหรับเค้ก 2 ปอนด์)

เนื้อเค้ก

1. แป้งเค้ก 40 กรัม

2. น้ำตาลละเอียดสำหรับเบเกอรี่ 50 กรัม

3. ผงชาเขียวมัทฉะ (เกรด Medium) 2 ช้อนชา

5. เกลือ 1/4 ช้อนชา

4. กลิ่นวานิลลาผง 1/2 ช้อนชา

6. ไข่แดง(เบอร์2) 2 ฟอง

7. น้ำมันพืช (ในสูตรใช้น้ำมันถั่วเหลือง) 30 กรัม

8. นมสดรสจืด 50 กรัม

9. ไข่ขาว 2 ฟอง

10. น้ำตาลป่น 30 กรัม

11. น้ำมะนาว นิดหน่อย

ส่วนครีม

1. วิปปิ้งครีม 250 กรัม

2. น้ำตาลละเอียดสำหรับเบเกอรี่ 50 กรัม

3. ผงมัทฉะ MATCHAZUKI เกรด Excellent 1.5 ช้อนชา

ขั้นตอนการทำ

1. ใส่แป้งลงในชาม ตามด้วยน้ำตาล ผงชาเขียวมัทฉะ วานิลลาผง สุดท้ายคือเกลือ

2. ใช้ตะกร้อมือกวนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว ไม่เป็นเม็ดจับตัวกัน พักไว้

3. ต่อมาทำส่วนไข่แดง เริ่มจากตอกไข่เย็นๆ ใส่ถ้วยหรือชามไว้ (ไข่ไก่สำคัญสำหรับเค้กชิฟฟอนมาก ไข่ไก่ควรจะสด) แยกไข่แดงไข่ขาว แล้วนำไข่ขาวไปใส่โถตีรอไว้ก่อน

4. นำถ้วยไข่แดงมาเติมน้ำมันแล้วตามด้วยนมสดรสจืด พักไว้

5. สำหรับส่วนสุดท้าย คือส่วนของไข่ขาวนั้น ให้เตรียม 3 อย่างนี้ไว้ คือไข่ขาว น้ำมะนาว และน้ำตาลป่น แยกกันไว้ก่อน แต่ต้องเตรียมให้พร้อมเพราะต้องรีบทำรีบอบไม่งั้นไข่ยุบ

6. วอร์มเตาอบที่ 180 องศาเซลเซียส

7. เมื่อทุกอย่างพร้อม เริ่มต้นด้วยการตีไข่ขาวด้วยสปีดสูงสุด จนเป็นฟองแฟ้บ

8. บีบมะนาวลงไป

9. จากนั้นค่อยๆ ใส่น้ำตาลป่นลงไปเรื่อยๆ ไม่ควรใส่พรวด เพราะอาจทำให้ฟองไข่ยุบได้

10. ตีจนให้ตั้งยอดแบบในรูป

11. ทำส่วนไข่แดง นำเอาส่วนไข่แดงมาเทรวมกับส่วนแป้ง บางท่านอาจจะทำเป็นหลุมไว้ตรงกลาง ก็ช่วยได้

12. กวนเร็วๆ แรงๆ และพอดีๆ เป็นคำที่ต้องท่องไว้สำหรับการกวนส่วนของไข่แดง (เค้กจะออกมานุ่มละลายในปาก หรือว่าเหนียวสากคอก็อยู่ที่ปริมาณการกวนครั้งนี้) กวนให้พอดีเข้ากัน ไม่เห็นส่วนแป้งขาวๆ ก็หยุดทันที

13. เอาส่วนของไข่ขาวมาโปะ จริงๆแล้วตามทฤษฏี ต้องเอาส่วนผสมแป้งและไข่แดงไปราด เพราะส่วนแป้งไข่แดงนั้นหนักกว่าส่วนไข่ขาว ถ้าเราเอาไว้ด้านล่างแบบนี้จะทำให้ผสมไม่ค่อยเข้ากันครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีทางแก้นะครับ พอใส่ลงไปแบบนี้แล้วก็ให้พลิกส่วนแป้งไข่แดงขึ้นมาราดด้านบนส่วนไข่ขาวนะ ครับ จะผสมได้ง่ายขึ้นมาก

14. ใช้พายยางตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน [*ตะล่อมคือการปาดพายยางลูบไล้ไปตามผิวของชามผสมเพื่อรูดเอาส่วนผสมที่ติด ขอบชาม (ซึ่งโดยมากมักเป็นส่วนผสมหนัก เช่นส่วนแป้งไข่แดง เป็นต้น) ให้ยกตัวขึ้นมา ไม่ติดขอบผิวชาม อันจะทำให้ผสมได้ไม่เข้ากัน เมื่อส่วนผสมหนักยกตัวขึ้นมาแล้วเพื่อไม่ให้มันกลับไปติดขอบชาม เราก็ฟลิบพายยางแหมะส่วนผสมหนักให้เข้าไปอยู่ตรงกลาง ทีนี้ก็ผสมได้ง่าย ซึ่งเรียกว่าตะล่อม]

15. เมื่อผสมเข้ากันแล้วหยุด การเข้ากันก็สังเกตว่าสีของส่วนผสมไม่มีริ้วๆ สีเข้มๆ (ในนี้เป็นสีเขียว) ก็แสดงว่าเข้ากันแล้ว เคาะพิมพ์ก่อนทำได้โดยวิธีการดังนี้ คือถือพิมพ์ให้สูงกว่าพื้นโต๊ะประมาณนี้แล้วปล่อยพิมพ์ให้ตกอิสระ ทำสักสองรอบเพื่อไล่ฟองอากาศในเค้กไม่ต้องกลัวยุบ จากนั้นเทใส่พิมพ์แล้วนำไปเข้าเตาได้เลย

16. อบนานประมาณ 30 นาที (** หมายเหตุ เค้กต้องสุก โดยให้ทำการเช็คสุกด้วยการเอานิ้วแตะหน้าเค้กครับ ถ้ายังยุบเห็นเป็นรอยค้างเมื่อเอานิ้วออกก็แสดงว่ายังไม่สุกครับ ให้อบต่อไปอีก 3-5 นาทีแล้วแตะใหม่ครับ ถ้าเริ่มไม่เห็นรอยยุบค้าง แสดงว่าสุกแล้ว ให้นำออกมาแล้วใช้เทคนิคเดียวกันกับก่อนอบ คือปล่อยให้ตกอิสระครับ ถ้าสุกแล้วยังไงก็ไม่ยุบครับรับรองได้”

17. พักไว้ให้เย็นในพิมพ์ หรือจะแซะออกมาก็ได้ ไม่ผิดกติกา อีกเทคนิคคือคว่ำไว้บนตะแกรงอันนี้เคยให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในนี้ใช้กัน ก็เป็นเทคนิคที่ดีเพราะจะทำให้เค้กไม่ยุบและเนื้อเค้กเบา

18. แล้วก็สไลด์เค้ก

19. ทีนี้เรามาทำส่วนของครีมกัน สูตรนี้จะนวลๆ ไม่หวานมาก ถ้าใส่น้ำตาลมากกว่านี้กลิ่นหอมของวิปครีมจะลดลงมากเลย ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ นำวิปปิ้งครีมไปแช่เย็นช่องฟรีส แต่อย่าแช่นานเพราะจะเสี่ยงต่อการแยกตัวของวิปครีมมาก จริงๆแล้วไม่แนะนำสำหรับมือใหม่เพราะอาจพลาดได้ง่าย แต่ถ้าพอเคยทำ แช่สัก 10-15 นาทีก็ยังใช้งานได้ และตีได้ง่าย

20. เสร็จแล้วก็เอามาตีด้วยสปีดสูง ค่อยๆ ใส่น้ำตาลป่นลงไป คือจริงๆแล้วตีไปได้แค่พอเริ่มๆ เป็นรอยตะกร้อที่วิปครีมก็ใส่ได้เลยหรือจะใส่ก่อนนิดหน่อยก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าใส่ช้าเพราะน้ำตาลจะไม่ละลายได้

21. ได้ตั้งยอดแข็งหน่อยประมาณนี้ก็ใช้ได้ อย่าให้เหลวมากเพราะว่ามันจะไหลเยิ้มได้ แข็งหน่อยไม่เป็นไรเพราะเค้กเค้าเบาอยู่แล้ว แต่ก็อย่าตีให้มากเสียจนวิปครีมแยกตัว พอเห็นรอยหัวตะกร้อชัดเจนแล้วก็หยุดได้เลยต้องระวังตรงนี้ด้วย

22. พอเรียบร้อยแล้วจะเอาครีมไปแช่เย็นก่อนก็ได้ เพราะอาจจะร้อนแล้ว แช่ฟรีสได้ครับ ราวๆ 10 นาที ก็เอาเริ่มแต่งกันเลย ปาดให้ครีมหนาประมาณในรูป แปะชิ้นบน

23. ปาดครีมให้ทั่วเค้ก

24. ขั้นตอนสุดท้าย โรยผงชาเขียวเข้าไปที่หน้า โดยการร่อนด้วยตะแกรง

แค่นี้ก็เรียบร้อย ขอให้สนุกกับการทำนะครับ ^.^

matcha-cake2

Credit : http://topicstock.pantip.com/food/topicstock/2008/01/D6272478/D6272478.html

———————————-

MATCHAZUKI – Crafted for matcha lover
“เพราะเราเลือกมัทฉะ อย่างคนที่รักมัทฉะ”⠀⠀
マッチャラブユー