Exploring the Japanese Stone Mortar: A Beloved Tool for Matcha Powder Makers

ทุกวันนี้มีการให้ความสำคัญน้อยมากกับเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างผงมัทฉะ เครื่องมือนั้นคือ “อิชิอุสุ” (石臼: Ishi-usu) หรือ “ครกหิน”นั่นเอง

อิชิอุสุ อิชิอุสุ

“ครกหินญี่ปุ่น” มีลักษณะเป็นหินทรงกระบอกสองชิ้น วางทับกัน โดยมีที่จับสำหรับหมุนที่หินด้านบน สามารใช้สำหรับบดอาหารจำพวกเมล็ดข้าว ธัญพืช และใบชา ซึ่งไม่ว่าจะหมุนด้วยแรงคนหรือพลังงานไฟฟ้า การบดมัทฉะโดยครกอิชิอุสุนั้น ถ้าหมุนโดยไม่หยุดพักเลย 1 ชั่วโมงจะได้ผงมัทฉะออกมาแค่ 40 กรัมเท่านั้น จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มัทฉะมีราคาแพงกว่าใบชา

อิชิอุสุ มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1400 ปี สมัยก่อน คนญี่ปุ่นแทบทุกครัวเรือนจะมีอิชิอุสุไว้ใช้ ทั้งบดเมล็ดข้าวเพื่อนำแป้งไปทำเส้นอุด้ง หรือบดถั่วเหลืองเพื่อนำไปทำเต้าหู้ โดยใส่อาหารที่ต้องการบดที่รูด้านบน แล้วหมุนครกไปมา ให้หินสองก้อนเสียดสีกัน และผงที่บดออกมาก็จะตกลงมาที่ถาดรอง การใช้ครกอิชิอุสุต้องใช้แรงเยอะ สมัยก่อน เวลาหนุ่มสาวจีบกัน แม่ฝ่ายหญิงจะให้ฝ่ายชายช่วยบดแป้งจากเมล็ดข้าว แล้วให้ฝ่ายหญิงเอาแป้งที่ได้ไปทำมันจู ( ซาลาเปาญี่ปุ่นลูกเล็กๆ ไส้ทำจากถั่วแดงหรือเกาลัดกวน ) เป็นวิธีการจีบ และเรียนรู้นิสัยซึ่งกันและกันของคนญี่ปุ่นในสมัยก่อน น่าเสียดาย ที่ปัจจุบัน บ้านญี่ปุ่นที่มีครกหินแบบนี้เหลืออยู่น้อยแล้วครับ อีกทั้งครกอิชิอุสุยังมีราคาแพงมาก โดยครกเล็กๆแบบในรูปข้างล่าง มีราคาตั้งแต่ 20,000 ถึง 70,000 กว่าบาท

ศิลปะการบดชาด้วยหินถูกนำเข้ามาในญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกโดยพระในศาสนาพุทธนิกายเซนชื่อ Eisai ในศตวรรษที่ 12 เขาใช้เทคนิคที่เขาสังเกตเห็นจากชาวจีน แม้ว่าวิธีการบดหินนี้ไม่ได้รับความนิยมในประเทศจีน แต่วิธีนี้ยังคงดำเนินต่อไปในญี่ปุ่นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา ซึ่งผงมัทฉะเข้าเป็นครั้งแรกโดยเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมทางพุทธศาสนานิกายเซน จากนั้นก็กลายเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับการคัดเลือกจากชนชั้นสูงของสังคมญี่ปุ่นศักดินาและปัจจุบันจนถึงปัจจุบันที่ความชื่นชมของมัทฉะแพร่กระจายไปทั่วโลก

อิชิอุสุ อิชิอุสุ

มีประโยคที่กล่าวว่า“Matcha must be powdered green tea. But notall powdered green tea is matcha…”นั้นเป็นเพราะว่าใบชาที่ดีที่นิยมนำมาบดเป็นผงละเอียดได้ ส่วนใหญ่จะเป็นใบชาเทนฉะ เพราะบดออกมาแล้วจะได้ความละเอียดมากกว่าชนิดอื่น แต่ในยุคสมัยใหม่ เมื่อผงมัทฉะเป็นที่นิยมมากขึ้น เกิดการขายตัดราคากัน ทำให้ผงชาเขียวตามท้องตลาดทุกวันนี้อาจจะมีส่วนผสมของแป้งเพิ่มเข้ามาด้วย ทำให้ผงสีเขียวที่ควรจะเป็นผงชาเขียว 100% กลับไม่ใช่ผงมัทฉะที่แท้ตามแบบฉบับคนญี่ปุ่น จะเห็นได้ชัดหากเรานำผงมัทฉะหลายๆแบรนด์ มาเทเทียบกัน อนุภาคความละเอียดของผงมัทฉะจะเห็นได้ชัดว่ามีสีและความละเอียดท่แตกต่างกันออกไป

อิชิอุสุ

ส่วนที่สำคัญอีกประการของกรบดมัทฉะ คือ วิธีการของช่างฝีมือในการบดเทนฉะ เพราะเมื่อเพิ่มใบเทนชะลงในอิชิอุสุแล้ว วิธีการบดจะควบคุมยากขึ้น เพราะ อิชิอุสุ มักทำจากหินแกรนิต ถือเป็นหินที่ “อ่อน” เนื่องจากไม่เกิดแรงเสียดทานหรือความร้อนมากนัก จึงต้องหมุนโม่หินอย่างช้าๆและเป็นระบบเพื่อให้ได้ผงละเอียด การหมุนเร็วเกินไปส่งผลให้เกิดความร้อนมากเกินไปและใบชาจะออกซิไดซ์และไหม้ได้ บวกกับผงมัทฉะที่ได้อาจจะหยาบเกินไปสำหรับการตีด้วยฉะเซน

การบดอย่างช้าๆสม่ำเสมอ นำไปสู่ผงมัทฉะที่ละเอียดประณีต พร้อมด้วยกลิ่นหอมหวานที่อุดมไปด้วยรสอูมามิ ปัจจุบันนี้ เป็นที่น่าเสียดายที่ใบชาบางที่ถูกบดด้วยลูกเหล็กหรือด้วยเครื่องปั่นพลังสูงซึ่งสามารถทำลายความสมบูรณ์ คุณภาพ สารอาหาร และรสชาติของชามัทฉะได้ เพื่อให้สามารถผลิตมัทฉะได้จำนวนมาก แต่ก็มีหลายๆที่ที่พยายามควบคุมคุณภาพการผลิต ให้คงเดิมตามแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่นดั้งเดิมไว้ ตามพิพิธภัณฑ์ ชา ที่ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น ก็ยังมีการโชว์เครื่องอิชิอุสุ และให้นักท่องเที่ยวสามารถทดลองบดใบชาได้เองอีกด้วย

อิชิอุสุ

ที่มา

http://www.isetan.co.jp/icm2/jsp/shops/otoriyose/wagashi/2012_04_uzuki/s01.jsp

https://photodune.net

https://mizubatea.com/blogs/news-1/the-ishi-usu-what-using-a-stone-matcha-mill-is-all-about

บทความจาก : Fuwafuwa

How to Create Your Own Custom Green Tea Blend

“ชาที่ดี ใบชาตั้งต้นต้องดี”  หัวใจสำคัญแรกเริ่มเลย ก่อนจะรู้จักการเบลนด์ชาเอง ใบชาตั้งตั้นที่กล่าวถึงนี้ ก็คือชาดำ ชาเขียว และชาอู่หลง พอได้ใบชาตั้งต้นดีแล้ว จะเอามาเบลนด์กับอะไร รสชาก็จะอร่อย หอมตามไปด้วย กล่าวคือ ชาเขียวที่เหมาะกับการนำมาเบลนด์เองได้นั้น ควรเป็นชาที่ปลูกในที่ภูเขาสูง อากาศเย็น อย่างที่ญี่ปุ่น ที่นั่นเขาจะดื่มชากันสดมากๆ เพราะผลิตผลเขาดีมาก ชาที่ดี จึงมักมีจุดตัดกันที่ แหล่งที่มาของชา การปลูก ดิน แหล่งชาไหนจะสร้างชามาได้เลิศกว่ากัน

แหล่งชา แหล่งชา แหล่งชา

เมื่อเราได้ชาตั้งต้นที่ดี ความสนุกและซับซ้อนของชายังอยู่ที่การเบลนด์ส่วนผสมอื่นเข้าไปเพื่อให้มีกลิ่นและรสที่มีมิติน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสมุนไพรที่นอกจากจะมีกลิ่นรสเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณดีๆ ที่ช่วยเรื่องสุขภาพอีกด้วย เช่น หากเลือก ดอกลาเวนเดอร์และกุหลาบตากแห้งดอกจิ๋วๆ ที่เติมความน่ารักให้ชา จะช่วยบำรุงระบบหมุนเวียนโลหิต พร้อมทั้งคลายเครียด ดอกคำฝอยช่วยลดไขมันในเส้นเลือด แถมยังช่วยให้ชาสีสวย หากใครหลับยาก ถ้าเป็น ดอกคาโมมายล์และดอกหอมหมื่นลี้ช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายขึ้นดอกเก๊กฮวยแก้ร้อนใน ดีต่อหัวใจ หรือถ้าเลือกผสม ดอกอัญชันแห้งก็จะช่วยบำรุงสายตาและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายใบเตยแห้งช่วยลดไข้ บำรุงผิว และแก้ท้องผูก ตะไคร้แห้งช่วยขับลมและแก้คลื่นไส้ นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมตัวอื่นๆที่น่าลอง เช่น หญ้าหวาน ข้าวเหนียวดำ ขิง มะม่วง กระเจี๊ยบ ซินนาม่อน

การเบลนด์ชา การเบลนด์ชา

พอรู้จักสรรพคุณของชาแล้ว มาลองเริ่มเบลนด์ชากันเองดีกว่า หลักการง่ายๆ ของการเบลนด์ชาเบื้องต้น เริ่มต้นง่ายๆ จากการเลือกชาและสมุนไพรที่ชอบก่อน ต้องออกแบบรส และกลิ่นไว้คร่าวๆ ก่อนว่าต้องการรสแบบไหน ประมาณไหน อยากได้รสหลักเป็นอะไร แล้วค่อยๆ ใส่ลูกเล่นเข้าไปเพิ่ม หลักการง่ายๆ คือการค่อยๆ ปรับแก้จนได้รสที่ใกล้เคียงสิ่งที่คิดไว้ สัดส่วนใบชาและสมุนไพรที่แนะนำคือ ใบชา 3 ส่วน ต่อสมุนไพร 1 ส่วนใส่ลงถุงชา หรือที่กรองชา โดยลองสกัดชาที่เบลนด์แล้วด้วยน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 95 องศาเซลเซียส เทน้ำลงไปชาเหมือนเวลาชงชาปกติ เพราะจะได้ชาที่มีรสชาติพอดิบพอดี

สิ่งที่ต้องดูนอกจากรสชาติ คือ ดูสีสัน และกลิ่นที่เข้ากันได้ เช่น ไม่ควรใส่ดอกไม้ที่กลิ่นหอมทั้งคู่ กลิ่นจะตีกัน เช่น กุหลาบ กับ ลาเวนเดอร์ หรือควรจับคู่กลิ่นรสที่เสริมกัน เช่น ใบเตยกับตะไคร้ จะยิ่งให้ความสดชื่นในตอนดื่ม หากไม่แน่ใจ จะลองชงดื่มดูก่อนก็ได้ว่าได้กลิ่น สี และรสอย่างที่ต้องการหรือไม่

แต่การเบลนด์ชาก็ไม่ใช่ว่าจับอันนั้นผสมอันนี้ก็เสร็จ เพราะเรื่องสัดส่วนเป็นเรื่องสำคัญ สมุนไพร ดอกไม้บางชนิดกว่าจะแช่ในน้ำร้อนให้กลิ่นและสี ชาเขียวก็อาจจะถูกแช่จนขมไปหมด ส่วนที่ยากของการเบลนด์ชาคือ ไม่มีทางตัดสินได้ว่ารสชานั้นจะออกมาเป็นอย่างไรในการผสมของแห้ง สุดท้ายชาต้องถูกแช่ในน้ำร้อน กลิ่นและรสก็จะเปลี่ยนแปลงไปอีกจากที่เราชอบ กว่าจะได้ชา 1 เบลนด์ต้องผ่านการลองผิดลองถูกซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่ครั้ง จนได้จุดที่สมดุลที่สุด

ส่วนร้านที่เริ่มเบลนด์ชาเองได้จนเชี่ยวชาญแล้ว สามารถต่อยอดชุดชาเบลนด์ เป็นชุดของขวัญ รวมชาสรรพคุณดีๆ กลิ่นหอมๆ ใส่โหลผูกโบ หรือแพ็คลงกล่องอย่างสวยงาม แทนกระเช้าอาหารแปรรูปที่วางขายอยู่ทั่วไป ก็น่าสนใจและบ่งบอกถึงความตั้งใจในการคัดเลือกชาคุณภาพให้ผู้รับประทับใจ

ชุดชาเบลนด์ ชุดชาเบลนด์

ที่มา

http://www.lovecreatecelebrate.com/homemade-peppermint-tea/

https://creationsbyfc.com/products/tea-sampler-gift-set-10pc

https://www.anthropologie.com/wellness-teas-coffees-elixirs

http://www.womansday.com/health-fitness/10-healing-herbs-used-in-teas-75249

https://www.anthropologie.com/wellness-teas-coffees-elixirs

บทความจาก : Fuwafuwa

Exploring the Art of Organic Green Tea Cultivation

ทำไมรสชาติของชาญี่ปุ่นออร์แกนิคจึงมีกลิ่นหอม และหวานละมุน?

Matcha

เพราะการปลูกชาออร์แกนิคเป็นการปลูกชาที่ต้องงดปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ไม่มีการดัดแปลงพันธุกรรม (ไม่มีจีเอ็มโอ) รวมทั้งเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ได้ตัดต่อทางพันธุกรรม หรือวัตถุสังเคราะห์ใดๆ ซึ่งการเตรียมหน้าดินก่อนปลูก ต้องทำให้ปลอดสารพิษไม่น้อยกว่า 3 ปี และในกระบวนการผลิตต้องมีการอนุรักษ์ดินและแหล่งน้ำ เพื่อให้ผลผลิตเจริญเติบโตตามธรรมชาติอย่างแท้จริง และปลอดภัยต่อสุขภาพไม่มีสารตกค้างจากสารเคมี เนื่องจากการปลูกชาโดยทั่วไปยังมีการใช้สารเคมีและยาปราบศัตรูพืชซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ปัจจุบันแม้ชาส่วนใหญ่ที่ญี่ปุ่นเป็นเพียงชาปลอดสารพิษ มีเปอร์เซ็นต์น้อยมากๆ ที่เป็นออร์แกนิค 100% เพราะเป็นเรื่องยากที่จะสร้างไร่ชาออร์แกนิคนั่นเอง เนื่องจากมีไร่ชาปลอดสารพิษมากมายอยู่ในพื้นที่ติดกัน และมีการแพร่กระจายของปุ๋ยเคมีหรือสารกำจัดศัตรูพืชและสารเคมีที่แทรกซึมผ่านดินจากฟาร์มโดยรอบสามารถเข้าสู่ฟาร์มอินทรีย์ ดังนั้นไร่ชาออร์แกนิคจำเป็นต้องสร้างพื้นที่กันชนหรือที่พักพิงระหว่างไร่ชาออร์แกนิกและไร่ชาปลอดสารพิษ เพื่อให้สภาพดินไร้สารเคมีอย่างแท้จริง

Matcha

ชาออร์แกนิคมีรสชาติที่เรียบง่ายเพราะชาได้รับสารอาหารที่มีอยู่ในดินโดยตรง และรสชาติชาจะขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย การคัดเฉพาะยอดอ่อน 3 ใบบนเท่านั้น และเก็บเฉพาะช่วงเช้าก่อน 7 โมงเช้า เทคนิคที่ทำให้ชาออร์แกนิคมีรสชาติที่ละมุนพิเศษ เพราะใบชาจะผลิใบรับแสงแดดอ่อนๆ อย่างเต็มที่ และมีละอองน้ำค้างที่จะขับกลิ่นหอมและรสชาติหวานละมุนของชาให้ออกมาได้อย่างเต็มที่ในช่วงเวลาเช้านี่เองสภาพอากาศจึงเป็นอีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้รสชาติชาเป็นเอกลักษณ์

อีกสาเหตุที่การปลูกชาออร์แกนิคได้รับความนิยมไม่มากนักเพราะว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะใช้ปุ๋ยอินทรีย์ให้ออกผลผลิตได้รวดเร็วตามที่ต้องการ ปุ๋ยอินทรีย์จะทำงานช้าเป็นเวลา 3 ถึง 9 เดือน ในทางตรงกันข้ามปุ๋ยเคมีจะทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในเวลาประมาณ 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับต้นทุนการผลิต ที่ปุ๋ยอินทรีย์จะทำงานช้า ดังนั้นต้นชาอินทรีย์จึงมีภาระมากกว่าต้นชาที่ไม่ใช่ออร์แกนิก ในทางกลับกันปุ๋ยเคมีในไร่ชาปลอดสารพิษทำให้กระบวนการปลูกง่ายขึ้นมาก ออกผลผลิตเร็ว

ดินในไร่ชาออร์แกนิกโดยทั่วไปมีอากาศมากกว่าและนุ่มกว่าดินในไร่ชาที่ไม่ใช่อินทรีย์ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณปุ๋ยที่ใช้ด้วย หากใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในปริมาณมากทำให้ดินนุ่มและโปร่งสบายขึ้น นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับทั้งไร่ชาออร์แกนิคและไม่ใช่ออร์แกนิค ดินจะโปร่งสบายเนื่องจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในดินและสร้างสารอาหารและสภาพแวดล้อมที่ดีต่อใบชา

Matcha Field

ในพื้นที่ไร่ชาที่เมืองอูจิ เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูร้อน แสงแดดจะร้อนจัดและอากาศชื้น แต่ด้วยความชื้น พร้อมกับปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์นี้ เป็นสภาพแวดล้อมที่ดีมากสำหรับต้นชา แต่ยังเป็นสภาพแวดล้อมที่วัชพืชชื่นชอบด้วยเช่นกัน การกำจัดวัชพืชในไร่ชาออร์แกนิค ต้องใช้การถอนเถาวัลย์ออกจากต้นชา ถือเป็นงานที่ยาก เพราะชาออร์แกนิค กำจัดวัชพืชทำด้วยมือเท่านั้น และต้องกำจัดออกเพื่อป้องกันไม่ให้วัชพืชดูดซับสารอาหารจากปุ๋ยไปหมด

Matcha

ชาออร์แกนิคจะมีรสชาติที่รสชาติอร่อยกว่าชาจากไร่อื่นๆเพราะเติบโตในสภาพอากาศที่เหมาะสมและแหล่งน้ำธรรมชาติ คุณภาพดีเพราะเก็บด้วยมือ แถมยังปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว เพราะไม่มีสารเคมีตกค้าง จึงทำให้มีราคาที่สูงกว่าชาทั่วๆไปนั่นเอง

ที่มา

https://www.unclelee.com/article-history-our-tea.html

https://www.hibiki-an.com/contents.php/cnID/19

บทความจาก : Fuwafuwa

Discover 3 Popular Japanese Desserts Loved by Green Tea Enthusiasts

การกินชาเขียวให้อร่อย หลายคนคงทราบอยู่แล้วว่าคนญี่ปุ่นนิยมทานคู่กับขนมหวานญี่ปุ่น หรือที่เรียกว่า วากาชิ แม้ว่าที่จริงแล้วในพิธีชงชามีขนมอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถทานคู่ชาเขียวได้ แต่ขนมที่ติดอันดับคนนิยมกินคู่กับการดื่มชาและคนไทยรู้จักกันดี ได้แก่
อันดับ 1 คือ ไดฟุกุ ขนมแป้งโมจินุ่มหนึบที่พิเศษด้วยไส้ที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นไส้ชาเขียวลาวา ไส้ชาเขียวถั่วแดง บางเจ้าก็ใส่ผลไม้เข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มรสชาติความอร่อย ขนมรสชาติออกหวาน ได้ชาเขียวร้อนๆเสิร์ฟคู่กัน เป็นความอร่อยที่ลงตัว
ส่วนใครที่อยากลองปั้นขนมไดฟุกุเอง เสิร์ฟคู่กับชาที่ร้าน เพิ่มสไตล์ความเป็นญี่ปุ่นให้กับเมนูในร้านสามารถทำได้เองง่ายๆ และต่อยอดเปลี่ยนรสชาติแป้งได้ฟุกุ หรือไส้ได้ตามชอบ

เมนู ไดฟุกุชาเขียว สตอเบอรี่

  1. แป้งข้าวเหนียว 100 กรัม
  2. แป้งมัน 20 กรัม ( สำหรับทำแป้งนวล )
  3. ผงมัทฉะ 10 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 50 กรัม
  5. น้ำเปล่า 150 มล.
  6. ถั่วขาวกวนสำเร็จ 200 กรัม + ผงชา
  7. เขียว 5 กรัม
  8. สตรอเบอร์รี่

วิธีทำ

  1. แป้งข้าวเหนียว, ผงมัทฉะ, น้ำตาลทราย ผสมให้เข้ากัน ในภาชนะที่เข้าไมโครเวฟได้ ค่อยๆเติมน้ำผสมจนแป้งไม่เป็นเม็ด ลักษณะจะเหลวข้น
  2. นำส่วนผสมแป้งเข้าไมโครเวฟ โดยใช้พลาสติกแรพไว้ หรือ หา ภาชนะปิดไม่ให้แป้งหน้าแห้ง ใช้ไฟแรงสุดนาน 3 นาที นำออกมาเกลี่ยทุกๆ 1 นาที สังเกตแป้ง ถ้าสุกจะเปลี่ยนเป็นแป้งใส และจะจับตัวเป็นก้อน
  3. นำแป้งที่กวนสุกแล้ว คลุกกับแป้งนวล ตัดแบ่งให้เท่าๆกัน แผ่แป้งให้เป็นแผ่นกลม ใส่ไส้ถั่วขาวที่ผสมกันกับผงชาเขียวเป็นเนื้อเดียวกันที่ห่อลูกสตรอเบอร์รี่ไว้ ปั้นเป็นก้อนกลม คลุกแป้งนวลเพื่อไม่ให้ไดฟุกุติดกัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

โดยปกติของการเสิร์ฟไดฟุกุ จะมีไม้เล็ก ๆ หรือที่เรียกว่า คุโระโมจิ (黒文字) ก็จะเป็นสัญลักษณ์ว่า ให้ทานขนมโดยการตัดแบ่งให้พอดีคำก่อนทาน ส่วนใหญ่จะเป็นขนมชิ้นไม่ใหญ่มากตัดได้ประมาณ 3-4 ครั้ง นั่นเอง

ต่อมาอันดับ 2 คือ เซมเบ้ ขนมข้าวกรอบที่มีหลายรูปทรง ขนาด และรสชาติ โดยปกติแล้วจะเป็นรสเค็ม(เป็นรสชาติของโชยุ)​ แต่รสหวานก็มีให้เห็น ส่วนใหญ่แล้วเซ็มเบจะรับประทานคู่กับชาเขียว เป็นขนมและจัดให้แขกที่มาเยี่ยมเยียนที่บ้านนั่นเอง โดยปกติแล้วเซ็มเบจะทำโดยการอบ หรือย่างถ่านแบบดั้งเดิม ระหว่างปรุงอาจมีการทาเซ็มเบด้วยซอสปรุงรส ซึ่งส่วนมากทำจากซอสถั่วเหลืองและมิริน จากนั้นอาจห่อด้วยสาหร่ายและปรุงด้วยเกลือ การเสิร์ฟเซมเบ้คู่กับชานั้นจะไม่มีไม้คุโระโมจิเหมือนอย่างไดฟุกุ จะเป็นที่รู้กันว่าให้ใช้มือทานได้เลยไม่เสียมารยาทนั่นเอง


หากร้านไหนอยากลองทำดังโงะเองที่ร้านก็สามารถทำได้ วิธีทำคล้ายกับการปั้นบัวลอยบ้านเราเลยทีเดียว
วัตถุดิบ ได้แก่ เต้าหู้ขาว 250 กรัม แป้งข้าวเจ้า (หรือแป้งโมจิ) + น้ำตาล 200 กรัม

วิธีทำแสนง่าย : ก่อนอื่นให้ใช้มือนวดผสมเต้าหู้และแป้งข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน ให้แป้งมีความนุ่มกำลังดี ไม่นิ่มและไม่แข็งจนเกินไป หลังจากนั้นปั้นเป็นก้อนกลม ต้มน้ำในหม้อขนาดใหญ่จนเดือดและใส่ดังโงะก้อนกลมลงไป ต้มไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะลอยขึ้นมา เมื่อลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำแล้วให้ต้มต่อไปอีกประมาณ 2 – 3 นาทีและตักออกมาพักไว้บนจานรองกระดาษ นำไปเสียบไม้ ทานคู่ซอส หรือย่างไฟอ่อนๆก่อนก็ได้ตามชอบ เสิร์ฟคู่ชาเขียวร้อนของที่ร้าน รับรองว่าลูกค้าที่มาที่ร้านต้องรู้สึกเหมือนได้ไปญี่ปุ่นแน่นอน

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/325807354293426536/
https://moichizen.exblog.jp/13348925/
https://www.pinterest.com/pin/14707136267674817/
https://www.japancentre.com/en/recipes/1669-matcha-ganache-filled-strawberry-daifuku

By : Contrary To Popular Belief

Chasen, one of the essential tools for brewing matcha

Chasen (茶筅 or tea whisk) is one of the most important tools for brewing and dissolving matcha powder. Therefore, it is very important to have the right type of brush and quality to get good matcha. There are many types of chasen, which have slight differences in materials, shapes, and usage. The main material used is bamboo. There are 3 main types of bamboo: Hachiku bamboo, Susudake bamboo, and Kurodake black bamboo. Hachiku bamboo is the most popular material for making chasen because its wood is smooth and soft, making it easy to carve. However, at the same time, it has low durability and is easy to break.

Susudake

If you use Susudake bamboo , it will be more durable, but it is harder to find. Kurodake bamboo is the heaviest material used for making chasen, lasting three times longer than Hachiku bamboo, but Kurodake bamboo is especially difficult to carve. The bamboo used for chasen is usually about three years old and is harvested in winter. After harvesting, the bamboo is dried for a year. First, in winter it is made outside, leaving the wood in the winter weather, then it is stored in a dry storage area and left there for the whole year.

Chasen

When the bamboo is ready, the most suitable and perfect bamboo is selected, cut into 9-12 cm long pieces and hand-carved into small pieces ready for use by the apprentices, and sent back to the master carver for further fine adjustments, including bending and spiraling.

Chasen Chasen

The final shape of the chasen is determined by many factors, such as Chu-araho, a chasen with 70 to 80 coarser bristles used for Koicha (strong matcha), and Kazuho, a chasen with up to 120 finer bristles used primarily for Uzucha (diluted matcha).

Although many countries have made efforts to produce chasen, Japan consistently produces better quality due to the craftsman’s attention to detail at every stage, from careful selection of bamboo to each cutting and shaping. This is because the quality of bamboo has a great impact on the durability of the chasen, which means that tea brewing made from high-quality bamboo has a longer lifespan.

The finer the number of whisks, the smoother the matcha will be. Commonly sold chasen has between 16 and 120 whisks. The higher the number, the easier it is to whisk the tea powder into the water and whip the matcha into a fine, frothy foam. However, if there are fewer whisks, it will take longer to whip. As for how to use it, it is recommended to place the whisk part of the chasen into hot water for a few seconds to loosen the bamboo. The trick to whipping is to bend your wrist slightly while moving it. Whisk the ingredients as quickly as possible using an M or W-shape motion. After getting an even layer of foam, slowly use the whisk to rotate it again and it’s done.

Chasen Chasen

There are many types of chasen. In fact, there are as many as a hundred generations. In the early days, only one generation of chasen was made. However, after the Japanese tea ceremony became popular, many of Sen no Rikyu’s students went on to open their own teahouses, spreading the knowledge they had gained from studying with Rikyu. Each of them adapted some of the details to suit their own identity and values. As time passed, those small differences in the beginning gradually spread until they became the differences between each teahouse. This also includes the shape of the chasen that each teahouse uses to make tea.

The thread used to wrap the chasen also differs depending on the model. Normally, the chasen uses black thread, but the chasen used on special occasions is wrapped with red or white thread for good luck, especially the chasen model used on New Year’s Day.

Chasen

Want to know which tea whisks are popular? Read more in the article. >> Top 10 Green Tea Whisks: Which One is Good in 2022?

Source

http://japan-web-magazine.com/japanese-tea/japan-japanese-tea-ceremony0.html

https://zhaozhoutea.com/chasen-%E8%8C%B6%E7%AD%85-the-matcha-whiskchasen/

Article from: Fuwafuwa

 

Genmaicha Tea: A Closer Look at Its Distinctive Blend

ชาเก็นไมฉะที่ทุกคนรู้จักกันว่าเป็นชาข้าวคั่ว รู้มั้ยว่า มีอีกชื่อว่าเป็น Brown Rice Tea หรือ Popcorn Tea ซึ่งชาเก็นไมฉะ เป็นลูกผสมของชาข้าวคั่วและชาเขียวของญี่ปุ่น (Bancha หรือ Sencha ก็ได้) ในสัดส่วนผสม 1: 1 แม้จะเป็นชาลูกผสมแต่ประโยชน์ต่อสุขภาพที่น่าอัศจรรย์ของชาเก็นไมฉะก็มีมากมายไม่แพ้ชาเขียวเลยทีเดียว ซึ่งชาเก็นไมฉะนี้ มีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์จากการคั่วข้าวคั่วผสมกับใบชาเขียวทำให้ได้กลิ่นเหมือยป๊อปคอร์นนั่นเอง จึงเป็นที่มาของชื่อ Popcorn Tea ประกอบกับมีเป็นชาที่เป็นลูกผสม จึงมีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ ชา Bancha หรือ ชา Sencha ชาเก้นไมฉะ จึงกลายเป็นชาที่เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุด้วย

genmaicha

หากพูดถึงชา Banchaถือเป็นชาเขียวอันดับที่มาจากการเก็บเกี่ยวครั้งที่สองหรือสาม จึงแทบจะไม่มีความขมและรสชาติที่สดชื่น แต่ก็กลายเป็นชาเขียวที่เหมาะสำหรับดื่มในชีวิตประจำวันและไม่มีคาเฟอีนมากไป จึงทำให้เด็กและผู้สูงอายุสามารถเพลิดเพลินได้ ส่วนชา Sencha เป็นชาเขียวของญี่ปุ่นทั่วไปที่ปลูกโดยใช้แสงแดดส่องถึงจนสุดหลังจากที่ดอกตูมใหม่ออกมา มีรสชาติความขมและกลิ่นหอมสดชื่นในปริมาณที่ได้สมดุลกัน เป็นที่ชื่นชอบของทุกเพศทุกวัยในญี่ปุ่น และยังครองตำแหน่งชามากกว่า 80% ในตลาดญี่ปุ่นด้วย และมีปริมาณคาเฟอีนเพียง 1 ใน 30 เมื่อเทียบกับกาแฟ 1 แก้ว

ทั้งชา Bancha และ ชา Sencha จึงเป็นส่วนผสมหลักของชาเก็นไมฉะที่ช่วยส่งเสริมให้ชาเก็นไมฉะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้ชาตัวอื่นๆ ส่วนข้าวกล้องก็ขึ้นแท่นเป็นข้าวที่หอมที่สุดเมื่อนำมาคั่วเพื่อทำเป้นชาเก็นไมฉะนั่นเอง

สารอาหารหลักของชาเก็นไมฉะ ได้แก่ คาเทชิน ธีอะนิน วิตามินซี วิตามินบีรวม วิตามินอี ซึ่งมีส่วนช่วยในการต่อต้านริ้วรอย เพราะคาเทชิน มีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันหรือน้ำตาลส่วนเกินดูดซึมในร่างกายและเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ เป็นตัวแทนในการต่อต้านแบคทีเรียที่จะป้องกันไม่ให้เป็นหวัดอาหารเป็นพิษหรือมีกลิ่นปาก นอกจากนี้ในชาเก็นไมฉะมีวิตามินแร่ธาตุและเส้นใยอาหารที่ค่อนข้างสูง จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูก และเพิ่มการเผาผลาญได้ดี และมีสารGamma-oryzanol ที่มีผลดีในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดเส้นเลือดอุดตันเบาหวานและโรคอ้วนอีกด้วย และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ในเก็นไมฉะ สามารถช่วยให้หายจากความเหนื่อยล้า ความเครียดได้

genmaicha genmaicha

ส่วนช่วงเวลาที่ควรดื่มชาเก็นไมแะนั้น แน่นอนว่าสามารถดื่มได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าต้องการลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือ ก่อนมื้ออาหาร

หากดื่มในระหว่างมื้ออาหารก็มีผลดีเช่นกัน เพราะช่วยในการควบคุมคอเลสเตอรอลและการเผาผลาญไขมัน เนื่องจากชาเก็นไมฉะจะยิ่งอร่อยสดชื่นยิ่งขึ้นเมื่อทานกับอาหารที่มีความมันบางชนิด

นอกจากนั้น การดื่มแบบอุ่นๆในระหว่างมื้ออาหารหรือหลังอาหาร จะช่วยย่อยอาหารได้ดียิ่งขึ้น

genmaicha

การชงชาเก็นไมฉะด้วยน้ำต้ม จะทำให้ได้กลิ่นหอมและช่วยให้คาเทชินออกฤทธิ์ดีที่สุด นอกจากนี้ตอนต้มชาเก็นไมฉะ ควรใช้เวลาสั้นที่สุดในการชงเพื่อป้องกันไม่ให้สารแทนนินออกมาซึ่งจะทำให้มีรสขมเกินไป

genmaicha

หากใครที่หลงใหลชาเก็นไมฉะ Matchazuki ก็อยากแนะนำให้เอาไปลองทำขนมดู ก็ได้รสชาติและสัมผัสที่อร่อยไม่แพ้ชาประเภทอื่นๆ ที่สำคัญคือ การใช้เก็นไมฉะมาทำขนมยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก หากร้านไหนต้องการสร้างจุดต่าง อาจจะเริ่มจากการนำไปทำคุ้กกี้ หรือ Topping บน Chocolate Bar ดูก่อนก็น่าสนใจทีเดียว

ที่มา

https://www.ohhowcivilized.com/genmaicha-tea/?utm_source=pinterest&utm_medium=social&utm_campaign=social-pug

7 Health Benefits of Genmaicha and When to Drink

Matcha white chocolate with genmaicha

บทความจาก : Fuwafuwa

Exploring Sweet Pairings for Your Tea Menu

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เครื่องดื่มชาที่ทานง่าย ทานได้ทุกเพศทุกวัย และเป็นที่นิยมมากสำหรับคนไทยนั้น ไม่ใช่ชาเพียวๆ แต่เป็นชาที่มีการใส่สารให้ความหวาน อย่างน้ำตาล น้ำผึ้ง และเพิ่มความกลมกล่อมอีกระดับด้วยนมจืด โดยเฉพาะชาที่บรรจุใส่ขวดขายตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่น ชาเขียวลาเต้พร้อมดื่ม หรือแม้ที่ข้างขวดจะระบุว่าเป็นชาเขียวเพียวๆ ล้วนแต่มีส่วนผสมของน้ำตาลในปริมาณที่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความหวานเหล่านี้ ทำให้ชา เครื่องดื่มแก้วโปรดของคุณอร่อยขึ้น ให้ความสดชื่นแก่ร่างกายได้นั่นเอง

sweets sweets

ความหวานกับเมนูชา จึงเป็นเหมือนของคู่กัน แต่ทั้งนี้เราเลือกได้ว่าจะให้ความหวานนั้นมาจากอะไรนอกจากน้ำตาล

1. น้ำเชื่อม ( Syrup ) ได้จากการเคี่ยวน้ำตาลกับน้ำที่ไฟปานกลาง มีสีใส ที่เห็นกันบ่อยๆ คือใช้ราดขนมหวานไทยคู่กับน้ำกะทิ หรือใช้ตามร้านกาแฟเพิ่มเพิ่มความหวานให้เครื่องดื่มอย่างชาและกาแฟ  และบาร์เทนเดอร์ใช้ผสมเครื่องดื่มค็อกเทล เป็นต้น น้ำเชื่อม จึงอาจหมายถึง การนำน้ำตาลมาละลายกับน้ำจนเกิดความหวานด้วยความเข้มข้นระดับต่างๆ เป็นตัวให้ความหวานที่นิยมใช้มากที่สุดในท้องตลาด ไม่ว่าจะร้านคาเฟ่ ร้านชาทั่วไป เพราะสะดวกต่อการชง และง่ายต่อการเก็บรักษา แต่ต้องเพิ่งระวังว่า การกดน้ำเชื่อมเพียงแค่ปั๊มเดียว ที่ดูเหมือนน้อยนิด แต่ให้ความหวานที่มากจนน่าตกใจ จึงเป็นตัวเลือกที่ไม่ดีสำหรับคนรักสุขภาพ

2. น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ( Maple Syrup )ได้จากน้ำเลี้ยงของต้นเมเปิ้ลนำมาต้มจนได้น้ำเชื่อมเข้มข้น มักใช้ราดบนขนมหวานแทนน้ำผึ้ง แต่น้ำเชื่อมเมเปิ้ลแท้ๆ นั้นมีน้อย ที่เราเห็นกันมักเป็นน้ำเชื่อมแต่งกลิ่นเมเปิ้ลสังเคราะห์ หากจะใช้ในการชงชาเขียว จะเป็นสัดส่วนตามนี้ นม 4 ถ้วย + ผงชาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ + เมเปิ้ลไซรัป 1 ช้อนโต๊ะนำมาต้มเข้าด้วยกัน แล้วราดด้วยฟองนมอีกทีด้านบน รสชาติจะไม่ได้ต่างจากการใช้น้ำตาลมากนัก เพียงแต่จะได้กลิ่นที่ต่างกันออกไป และเป็นความหวานที่เบาลงไม่หวานแหลมเหมือนไซรัปนั่นเอง

sweets

3. น้ำผึ้ง  ความหวานตามธรรมชาติ ให้ความหวานไม่แพ้น้ำตาลทราย และมีโปรตีน ให้พลังงานที่ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า มีวิตามินและเกลือแร่ แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคอ้วนได้ ในน้ำผึ้งจะประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส และฟรักโทส ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ร่างกายจะสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้เลย น้ำผึ้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และยังทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญ น้ำผึ้งยังให้ความหวาน และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์

หากลองชงด้วยสูตรนี้จะช่วยให้เมนูชาร้านของคุณโดดเด่นจากความหวานของน้ำผึ้ง หรือจะยกระดับเมนูด้วยการใช้นมมะพร้าวแทนนมวัว เพื่อให้เหมาะกับคนที่แพ้นมวัวด้วยก็ได้ โดยการนำผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + น้ำร้อน 1/2 ถ้วย + นมมะพร้าว 1 ถ้วย + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

sweets sweets

4. น้ำตาลมะพร้าวเครื่องปรุงให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายได้ดีมากๆ เพราะเป็นน้ำตาลที่ได้จากธรรมชาติ ไม่ผ่านการแปรรูปหลายขั้นตอน ส่วนเรื่องสีก็คล้ายกับน้ำตาลทรายแดง แต่มีเนื้อหยาบกว่า มีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง ก่อนใช้ปรุงอาหารควรนำไปผสมกับของเหลวก่อน หากนำไปชงชาเขียวลาเต้ จะใช้ในสัดส่วน ผงมัทฉะ ½ ช้อนชา + น้ำตาลมะพร้าว 2 ช้อนชา + เนยมะพร้าว 1 ช้อนชา + น้ำร้อน 10 ออนซ์ คนเข้าด้วยกัน แต่ถ้าไม่อยากใส่เนยก็ได้เช่นกันเพราะสตรนี้ที่ต้องใส่เนยเพื่อให้ชาเขียวลาเต้มีความกลมกล่อมเหมือนบางสูตรใช้ครีม หรือนมข้นนั้นเอง

sweets sweets

นอกจากสารให้ความหวานข้างต้นแล้วยังมีตัวเลือกอื่นๆที่สามารถใช้ในการชงชาได้เช่นกันไม่ว่าจะเป็นนมข้นหวาน ที่ให้ความหวานมันกลมกล่อมตามสไตล์คนไทยชอบ หรือจะเป็นน้ำตาลทรายแดงเคี่ยวเป็นไซรัปที่ให้กลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์ญี่ปุ่น ก็ยังมีหญ้าหวาน  จัดได้ว่าเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายที่เป็นธรรมชาติที่สุดและดีที่สุด เพราะให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลทรายถึง 300 เท่า แต่ให้พลังงานน้อย สามารถนำหญ้าหวานมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู หรือชงกับเครื่องดื่มพวกชา กาแฟ ซึ่งมักพบว่าร้านขายเครื่องดื่มได้นำหญ้าหวานมาเป็นจุดขายทำให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะไม่อ้วนได้ง่าย แต่ก็ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วย

sweets sweets

เลือกความหวานกับเมนูชาให้เหมาะสมกับสไตล์ของที่ร้าน สร้างเอกลักาณ์เมนูชาให้โดดเด่นจากร้านอื่นๆง่ายๆด้วยเรื่องเล็กๆที่หลายร้านอาจจะมองข้ามไป

ที่มา http://www.byrdie.com/weight-loss-tips?utm_campaign=article-share&utm_source=social-pinterest-button&utm_medium=earned-social

https://www.livestrong.com/recipes/matcha-almond-milk-honey/

https://maplefromquebec.ca/recipes/maple-matcha-tea-latte/

https://www.cleaneatingkitchen.com/dairy-free-green-tea-matcha-latte/

บทความจาก : Fuwafuwa

Evaluating Matcha Quality: A Guide to Finding the Best Powder

ด้วยความนิยมของผงมัทฉะ และชาเขียวที่ได้รับอิทธิพลจากประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีแหล่งซื้อขายผงมัทฉะ และใบชาเขียวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไทย ไม่ว่าจะเป็นนำเข้าจากญี่ปุ่น จีน หรือแม้กระทั่งผลิตในไทย ซึ่งที่มาของชาแต่ละที่ก็ส่งผลต่อรสชาติ และกลิ่น ที่แตกต่างกัน และที่ต้องระวังอีกประเด็นคือ การไม่บอกคุณสมบัติที่แท้จริงของใบชา ทุกร้านจะบอกว่าเป็นชาต้นตำรับจากญี่ปุ่นแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ร้านไหนเป็นผงชาเขียวของจริงบ้าง สังเกตได้จากปัจจัยเหล่านี้

  1. สี เป็นสิ่งที่ต้องต้องสังเกตอย่างแรก คือ สีของมัทฉะยิ่งเขียวสดเข้ม ยิ่งมีความขมน้อยมากๆ เพราะเป็นมัทฉะที่ได้รับการดูแลอย่างดี สายพันธุ์ดี มีสีเขียวสดเข้ม ใช้ดื่มแบบ ชงข้น(Koicha) ได้เลย ผงมัทฉะที่ใช้ในการทำเบเกอรี่ แนะนำให้ใช้เกรดรองๆลงมา เพราะจะได้รสชาติที่เข้มข้นกว่า เมื่อไปผสมกับส่วนผสมตัวอื่นก็จะทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมดูภาชนะ หรือแพ็คเกจที่ใส่ชา เพราะผงชาเขียวที่ดีจะมีอายุประมาณ 6 เดือนและหลังจากเปิดก็ควรจะใช้ให้หมดภายใน 4 เดือน หากเก็บไว้นานกว่านั้น สีจะเริ่มอ่อนลงและกลิ่นก็จะหอมน้อยลง เนื่องจากในกระบวนการผลิตจะมีการอบใบชาด้วยไอน้ำที่อุณหภูมิสูงเพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปใบชาสัมผัสกับออกซิเจนเรื่อยๆก็จะทำให้สีออกเหลืองเหมือนกับใบไม้ทั่วไปที่เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือด้วย

Matcha Quality

2. ส่วนผสม ผงมัทฉะบางเจ้าราคาถูกจริง ส่วนนึงมาจากการตีผงมัทฉะผสมแป้ง ไม่ใช่ชาเขียวล้วนๆ จึงสามารถทำราคาถูกมากๆได้ อย่าลืมที่จะพลิกข้างซองเพื่ออ่านส่วนผสมที่ชัดเจนก่อนซื้อผิด

3. รีวิวจากลูกค้าคนอื่น อย่าลืมดูรีวิวสินค้าจากผู้ที่เคยซื้อไปบริโภคด้วยว่านำไปทำเมนูอะไรอร่อย ใช้ในปริมาณแค่ไหน เพื่อเอามาเป็นไอเดีย และให้ผู้ที่ดูรีวิวเกิดความรู้สึกอยากซื้อมาลองทำตามบ้าง

Matcha Quality

4. ที่มา เช็คแหล่งที่มาให้ชัดเจนว่ามาจากเมืองไหนของที่ญี่ปุ่น อย่างเมืองขึ้นชื่อเรื่องชาเขียวที่ทุกคนนิยมใช้คือจาก อูจิ เกียวโต แต่อย่างไรก็ตามที่ชิสึโอกะ ก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน การรู้แหล่งที่มาโดยละเอียด จะช่วยให้เรามั่นใจในคุณภาพของชามากขึ้น

5. ราคา อย่าลืมที่จะเปรียบเทียบราคาตลาดว่าชาที่เราซื้อนั้นแพงหรือถูกเกินไปมั้ย แม้จะเป็นเกรดดีนำเข้าจากญี่ปุ่น ก็ควรเช็คราคาจากหลายๆแหล่ง และอย่าลืมเช็คราคาจากที่ญี่ปุ่นเองด้วย เพราะ สินค้าบางตัวการนำเข้ามาจากต้นกำเนิด ก็มีราคาถูกกว่าการผลิตเองในไทยหลายเท่าตัว ทั้งนี้ ชาเขียวเองก็มีหลายเกรด แต่ละเกรด ก็มีราคาที่ต่างกัน เช็คเกรดเดียวกันจะทำให้เห็นเรทราคาที่ชัดเจนที่สุด

6. เจ้าของที่ขาย แม้จะไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่ถ้าพอจะรู้จักแหล่งที่มา มีเพจ Line@, Facebook หรือเว็บไซด์ที่ดูน่าเชื่อถือ ก็เป็นอีกปัจจัยที่ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคได้

แค่ 6 สิ่งง่ายๆที่ต้องระวังและฉุกคิดนิดนึงก่อนจ่ายเงินซื้อ เพื่อให้ได้คุณภาพชาที่ดี สมราคานะคะ

ที่มา

https://www.rishi-tea.com

https://cookingchew.com/matcha.html

https://drericz.com/recipes/diy-super-greens-mix/

บทความ : Fuwafuwa

ข้อควรระวังในการดื่มชา ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

Main Idea : หลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า การดื่มชามีประโยชน์มากมาย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าการดื่มชามากจนเกินไปจะมีผลเสียต่อร่างกายพอสมควรเลยทีเดียว

1. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา ทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง นอกจากจะได้สารอาหารที่ครบถ้วนแล้วยังไม่อ้วนจากน้ำตาลที่ปรุงแต่งเข้าไปด้วย

2. ใบชายังมีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง และสูงกว่าปริมาณในน้ำประปา หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน (Osteofluorosis) โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก และยังทำให้ฟันเกิดคราบเหลืองได้ ยิ้มฟันขาวๆจะหายไป แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล



3. หลีกเลี่ยงชาที่มีส่วนผสมของคอมเฟรย์ (comfrey) ซึ่งมีสารไพโรลิซิดีน อัลคาลอยด์ อันอาจเป็นอันตรายต่อตับ ในบางประเทษดอกคอมเฟรย์เป็นเรื่องต้องห้ามเลย

4. สารออกซาเรท (oxalate) ในชาที่มีอยู่ในปริมาณน้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากจนเกินไปและดื่มบ่อยๆเป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ อาจส่งผลต่อการทำลายไตได้

5. ใบชามีคาเฟอีนในปริมาณสูง อาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะช่วยลดการดูดซึมของคาแฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมากคาเฟอีน แต่ก็ส่งผลต่อการนอนเช่นเดียวกับกาแฟ ดังนั้นไม่ควรดื่มภายในสามชั่วโมงก่อนเข้านอน

6. สารแทนนินที่มีอยู่ในชาเขียวซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องผูก เพราะสารตัวนี้ทำหน้าที่ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารสำคัญอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน เหล็กและโฟลิก เพราะฉะนั้น เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูกตามมา แนะนำให้คุณหันมาดื่มชาเขียวแต่เพียงในปริมาณพอดี โดยดื่มวันละไม่ควรเกินกว่า 5 แก้ว ร่วมกับการดื่มน้ำให้มากๆ และกินอาหารที่มีกากใยสูง ก็จะช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ทำงานคล่องตัวขึ้นได้แล้ว ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้

7. สารคาเทคชินส์ (Catechins) ที่อยู่ในชา จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการดื่มชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีน ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรซโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง


ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาชนิดใดก็ตาม ควรดื่มในปริมาณ และเวลาที่เหมาะสมเพื่อบำรุงร่างกายจะดีกว่าการดื่มที่มากเกินไป ^^

ที่มา

https://bit.ly/3a3MFi2

https://www.ful-filled.com/2018/01/23/all-about-matcha/

https://health.mthai.com/howto/health-care/12777.html

https://mommypotamus.com/comfrey/

By : Contrary To Popular Belief

Share on facebook
Share on twitter

Related Blogs

4 Reasons Why Matcha Should Be Enjoyed Without Bubbles

ปกติของการชงชาเขียวด้วยผงชาเขียวนั้น จะมีการใช้ฉะเซ็น หรือ ที่ตีฟองนมช่วยในการตีชาให้ละลายไปกับน้ำ บางครั้งตีผงชาด้วยอุปกรณ์และเทคนิคแบบเดิม กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนเดิม ผงชาอาจจะไม่ละลาย ตีแล้วไม่ขึ้นฟองที่สวยงาม ทำให้เวลาถ่ายภาพเมนูอาหารไม่น่าทาน สาเหตุเกิดจากอะไรนั้น ลองมาสังเกตไปพร้อมๆกัน

Matcha Frothy

1. ไม่ได้กรองชาเขียวก่อนตีโดยทั่วไปแล้วผงมัทฉะไม่จำเป็นต้องผ่านการร่อน แต่ถ้าต้องการให้เกิดฟองที่สวยงามในตอนตี ควรจะผ่านการร่อนสักรอบเหมือนก่อนที่เราจะนำแป้งมาใช้ทำขนม เพาะ ผงชา และแป้งพวกนี้เมื่อถูกเก็บอยู่ในภาชนะนานๆ อาจเกิดการจับตัวเป็นก้อนได้อีกครั้ง การร่อนก่อนที่จะตีจะช่วยให้คุณได้เครื่องดื่มชาเขียวที่นุ่มขึ้น และยังทำให้ได้ฟองเป็นชั้นๆสวยงาม

2.ปริมาณน้ำกับชาไม่ได้สัดส่วนกัน  หากใส่น้ำในปริมาณที่มากเกินไปฟองมัทฉะก็ทำได้ยาก และอาจจะได้ฟองอากาศขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เพราะการชงมัทฉะที่สวยงามน่าทานจะต้องเป็นฟองน้อยๆ หากใส่ผงมัทฉะในปริมาณที่มากเกินไปคุณจะได้ชาเขียวที่เข้มข้นมาก ๆ แต่มักจะเกิดกรณีที่เมื่อใช้ผงมัทฉะมากขึ้นเพื่อรสชาติที่เข้มขึ้น แต่ปริมาณของเหลว คือ น้ำ อยู่ในเรทเท่าเดิม ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำละลายของผงมัทฉะ จึงเป็นเรื่องยาก โดยปกติแล้วปริมาณความเข้มข้นของชาจะขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่อัตราส่วนทั่วไปในการตีผงชามัทฉะคือ ไม้ไผ่ 2 ช้อน (หรือ 1 ช้อนชา) ต่อน้ำ 2-3 ออนซ์ หากต้องการปรับระดับความเข้นข้นเอง อย่าลืมที่จะเติมน้ำมากขึ้นตามระดับที่สามารถทำละลายผงชาได้

Matcha Frothy

3. อุณหภูมิของน้ำต่ำลงเกินไปหากน้ำเย็นเกินไปการพักมัทฉะในน้ำจะเป็นเรื่องยาก ซึ่งจะส่งผลให้มีการจับตัวเป็นก้อนมากกว่าฟอง อุณหภูมิของน้ำขึ้นไม่ได้มีสูตรบังคับตายตัว เพียงแต่มีคำแนะนำ เพื่อรสชาติที่ดีท่สุดเท่านั้นตามแบบฉบับของแต่ละร้านว่าควรใช้อุณหภูมิที่เท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่า การใช้น้ำร้อนเกินไปก็ไม่ได้ทำให้การตีผงชาละลายได้ดีที่สุด แต่ถ้าอุณหภูมิของน้ำ ต่ำมากเกินไป ก็จะทำให้การละลายชาไม่ดีเท่าที่ควร อุณภูมิ 85 องศาเซลเซียส จึงเป็ฯอุณภูมิที่พอเหมาะที่สุดนั่นเอง

Matcha Frothy Matcha Frothy

4.ชาเขียวที่ใช้เป็นชาเขียวที่เสื่อมคุณภาพแล้วหากผงมัทฉะเป็นผงชาที่อยู่ในเกรดธรรมดาคุณภาพไม่สูงคุณนัก หรือเป็นชาที่ถูกเก็บไว้นานเกินด้วยวิธีการเก็บที่ผิดวิธี แม้จะสามารถตีต่อไปได้เรื่อยๆและดื่มได้ตามปกติ แต่ฟองมัทฉะที่สมบูรณ์แบบจะไม่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพราะผงมัทฉะคุณภาพต่ำจะตีฟองได้ยาก แม้จะมีฟองอากาศอยู่บ้าง แต่จะไม่เป็นชั้นเรียบ มีโอกาสที่ของเหลวจะถูกเปิดเผยใต้พื้นผิวของฟองด้วย

การตีชาให้เกิดฟองเป็นเพียงความสวยงามที่ทำให้ชาแก้วนั้นดูน่ารับประทานมากขึ้น  บางร้านอาจจะต้องการฟองน้อยๆ หรือไม่มีฟองเลย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดเสิร์ฟที่ร้านตั้งใจไว้ ดังนั้นหากเห็นชาที่ไม่เกิดฟอง ไม่ได้แปลว่าชาแก้วนั้นมีคุณภาพไม่ดี 100% แต่อย่างใดจ้า…

ที่มา

https://creativemarket.com/Foxys/2137243-Flat-lay-of-freshly-brewed-Japanese

https://www.instagram.com/p/BoOKZJ5AQa-/

http://www.flickr.com/photos/corylum/3814974483/in/photostream

บทความจาก : Fuwafuwa

Uncovering the History of Green Tea in Thailand

การดื่มชาได้เริ่มขึ้นในประเทศจีน คาดว่าไม่น้อยกว่า 2,167 ปีก่อนคริสตกาล ตำนานการเริ่มต้นของการดื่มชามีหลายตำนาน บ้างก็กล่าวว่าจักรพรรดิเสินหนิงของจีน (Shen Nung) ค้นพบวิธีชงชาโดยบังเอิญ เมื่อพระองค์ทรงต้มน้ำดื่มใกล้ๆ กับต้นชา ขณะรอคอยให้น้ำเดือด กิ่งชาได้หล่นลงในหม้อชา สักพักหนึ่งกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา เมื่อพระองค์เอากิ่งชาออกแล้วทรงดื่ม ก็พบว่า มันทำให้สดชื่น การดื่มชาจึงแพร่หลายมากขึ้นในเวลาต่อมา นอกจากทรงค้นพบสรรพคุณของชาแล้ว พระองค์ยังทรงค้นคว้าและทดสอบสมุนไพรชนิดต่างๆ กว่า 200 ชนิด จนได้มีการเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อินเดีย รวมถึงที่ไทยเอง

matcha history matcha history

ในสมัยสุโขทัยช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่มชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาอย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มน้ำชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล แต่บางตำราก็บอกว่าคนสมัยนั้นจะอมน้ำตาลกรวดใส่ปากก่อน แล้วจิบน้ำชาร้อนๆตาม ระหว่างนั้นเจ้าบ้านก็จะรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เรื่อยๆ ถ้าแขกดื่มพอแล้วก็ให้คว่ำถ้วยชาลงเป็นการส่งสัญญาณว่าน้ำตาลในปากละลายหมดเกลี้ยง แต่น้ำชาร้อนก็ไม่ได้เป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทุกบ้านทุกครัวเรือน เพราะคนไทยชอบกินน้ำเย็นดับร้อนอย่างน้ำฝนมากกว่า น้ำชาร้อนจึงจัดเสิร์ฟเฉพาะในจวนข้าราชการหรือถวายพระเท่านั้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าเป็นชาสายพันธุ์ไหน แล้วมีปลูกที่ไทยหรือเป็นเพียงชาที่ทูตใช้ชงดื่มกันในราชสำนัก

หลักฐานที่เห็นได้ชัดอีกประการ คือ ชาที่ปลูกในเมืองไทย เริ่มเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประภาสยุโรปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่าอาณานิคมจากชาวยุโรป เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้เสด็จประพาสยุโรปโดยเฉพาะที่อังกฤษ ที่นั่นนิยมดื่มชาและ กาแฟ ในสมัยนั้นประเทศอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษตั้งแต่สมัย สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เอาสินค้าเกษตรจากประเทศอินเดียมากมาย ชาอินเดียที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ชาที่รัฐอัสสัม อยู่ที่ศรีลังกา เรียกว่า “ชาอัสสัม” แต่พอมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนชื่อจากชาอัสสัมมาเป็นชาซีลอน โดยระหว่างที่รัชกาลที่ 5 เจริญสัมพันธไมตรีอยู่นั้น ก็ได้นำต้นกล้าชาซีลอนจากอังกฤษกลับมาที่เมืองไทยด้วย ชาชนิดนี้จะชอบภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาสูง และอากาศหนาวเย็น จึงได้ปลูกไว้ที่ดอยสะเก็ด สมัยนั้นเทือกเขาที่ดอยสะเก็ดจะมีภูเขาที่เชื่อมต่อเป็นแนวยาวถึงดอยวาวี ดอยแม่สลองและดอยตุง ปัจจุบันนี้ที่ดอยสะเก็ดและดอยวาวีก็ยังมีต้นชาอัสสัมอยู่ และได้รับการขนานนามใหม่ในการท่องเที่ยวว่า “ต้นชาร้อยปี”

เมื่อเริ่มการเพาะปลูกใบชาอย่างจริงจังทางภาคเหนือของประเทศ ในช่วงที่ปลูกพืชผักชนิดอื่นแทนฝิ่น จึงเริ่มมีการคิดค้นสูตรชาไทย ซึ่งทำจากชาอัสสัม ให้มีรสเข้มข้นถูกปากคนไทยมากขึ้นจนเป็นชาไทย เครื่องดื่มขึ้นชื่อของไทยทุกวันนี้

matcha history

สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมจะอยู่ตามภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ โดยจะกระจายอยู่ในหลายจังหวัดแถบภาคเหนือ ที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลำปางและตาก จากข้อมูลของสถาบันชาและกาแฟแห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้มีบันทึกว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของประเทศไทย เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2480 โดย นายประสิทธิ์ และนายประธาน พุ่มชูศรี สองพี่น้องได้ตั้งบริษัท ใบชาตราภูเขา จำกัด และสร้างโรงงานชาขนาดเล็กขึ้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยรับซื้อใบชาสดจากชาวบ้านที่ทำเมี่ยงอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าพบปัญหาอุปสรรคหลายประการ เช่น ใบชาสดมีคุณภาพต่ำ ปริมาณไม่เพียงพอ ชาวบ้านขาดความรู้ความชำนาญในการเก็บเกี่ยวยอดชาและการตัดแต่งกิ่งชา จึงได้นำผู้เชี่ยวชาญทางด้านชาชาวฮกเกี้ยนมาจากประเทศจีน เพื่อมาถ่ายทอดความรู้ให้กับคนไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 สองพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี ได้แก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเริ่มปลูกสวนชาเป็นของตนเอง ใช้เมล็ดพันธุ์ชาพื้นเมืองมาเพาะ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่และต่อมาได้ขยายพื้นที่ปลูกมาที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงนั้นเองภาครัฐได้มีการนำชาพันธุ์ดีมาจากประเทศอินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่นมาทดลองปลูก เพื่อทำการค้นคว้าและวิจัยต่อไป

ในปี พ.ศ. 2508 ได้ส่งเสริมการผลิตมากขึ้น โดยขอสัมปทานทำสวนชาจากกรมป่าไม้จำนวน 2,000 ไร่ ที่บ้านบางห้วยตาก ตำบลอินทขิน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ชาที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะเป็นชาฝรั่ง ต่อมาเอกชนเริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมการผลิตชามากขึ้นโดยในปี พ.ศ. 2530 บริษัทชาระมิงค์ได้ขยายสัมปทานสวนชา ให้แก่บริษัทชาสยาม จากนั้นชาสยามได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกไร่ในบริเวณใกล้เคียงปลูกสวนชาแบบใหม่ และรับซื้อใบชาสด จากเกษตรกรนำมาผลิตชาฝรั่งนามชาลิปตัน จนกระทั่งปัจจุบันนี้

matcha history

ส่วนชาเขียวนั้นแม้ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าเข้ามาในไทยช่วงสมัยไหน แต่มีารคาดการณ์ว่าเข้ามาในช่วงที่มีการทดลองปลูกที่ภาคเหนือ และเริ่มแพร่หลายชัดขึ้นในช่วงที่ไทยรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามา และเริ่มปลูกอยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งก่อนที่จะมีการรับวัฒนธรรมการดื่มชาแบบญี่ปุ่น คือแบบเป็นผงมัทฉะมาตีกับฉะเซนนั้น ชาเขียวในไทยมี 2 ประเภท

  1. ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีนน้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
  2. ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อนนั่นเอง

หากถอยกลับไปชาเขียวญี่ปุ่นก็ได้รับอิทธิพลมาจากจีนเช่นกันราวต้นสมัยเฮอัน โดยเผยแพร่ผ่านทางนักบวชญี่ปุ่นที่ได้เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่างๆจากประเทศจีนรวมทั้งการศึกษาตัวยาสมุนไพรจากจีนอีกด้วย เมื่อพระ ได้ชงชาใส่ถ้วยนำมาถวายองค์จักรพรรดิได้ดื่มชาก็เกิดความประทับใจในรสชาติ จึงสั่งให้นำเมล็ดชาไปปลูกที่สวนสมุนไพรภายในบริเวณราชวัง ชาจึงได้แพร่หลายไปในแถบภูมิภาคคิงคิ (เกียวโต) แต่ความนิยมยังคงมีอยู่แต่ในเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น

ต่อมาในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ นักบวช Eisai ในพุทธศาสนาเซน ได้นำเมล็ดชามาจากจีนเป็นจำนวนมากพร้อมกับกรรมวิธีการผลิตชากลับมาด้วย นั่นก็คือการดื่มชาในสไตล์ Matcha นั่นเอง ได้มีการส่งเสริมการเพาะปลูกชาเพื่อใช้เป็นสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้น และมีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ว่า “ชาเป็นพื้นฐานทางจิตใจและเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่สุด ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็มและมีความสมบูรณ์มากขึ้น”จากนั้นก็เริ่มมีการค้นคว้าสรรพคุณของชามากขึ้นอีกด้วย

ในสมัยมุโระมาจิ เริ่มมีพิธีชงชาในแบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว เริ่มมีการลงรายละเอียดในภาชนะที่ใช้ในพิธีชงชา รวมไปถึงการเสิร์ฟชาเขียวในร้านอาหารอีกด้วย การดื่มชายังเป็นที่นิยมในงานพบปะสังสรรค์ของชนชั้นนักรบมากขึ้น แต่เป็นการดื่มชาเพื่อเล่นเกมทายปัญหาต่างๆ เพื่อชิงรางวัลเป็นเหล้าสาเก และมีการร้องเล่นเต้นรำไปด้วย ต่อมานักบวชเซน Shuko Murata ไม่เห็นด้วยกับการดื่มชาเพื่อความสนุกสนานเช่นนั้น เขาคิดว่าโลกแห่งความเรียบง่ายของเซนนั้นมีแนวคิดแตกต่างออกไปในการดื่มชา การดื่มชาด้วยความเรียบง่ายและมีสมาธิในแบบของเซนจะช่วยให้จิตใจสามารถพัฒนา ขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ นักบวชจึงออกแบบห้องพิธีชงชาขนาดเล็ก เพื่อใช้สนับสนุนการชงชาตามอุดมคติของนักบวช Eisai และในขณะที่ชงชานั้นก็ได้ผสมผสานจิตวิญญาณของพุทธศาสนานิกายเซนไปด้วย

ต่อมาในสมัยยุคเมจิ การผลิตชามีมากขึ้น มีหนังสือเทคนิคการผลิตต่างๆ ออกมาอย่างแพร่หลาย เริ่มมีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต และเริ่มมีการส่งออกชาไปยังต่างประเทศแล้ว และปริมาณการส่งออกยังมากเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีนอีกด้วย แม้การส่งออกจะกระท่อนกระแท่นไปบ้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะตอนนั้นชาดำเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในต่างประเทศ แต่ไม่นานในศตวรรษที่ 20 ชาเขียวก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งประเทศญี่ปุ่นและ แพร่หลายออกมาทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

matcha history

ที่มา

http://photography.nationalgeographic.com

http://web2.mfu.ac.th/other/teainstitute/?p=291&lang=th

บทความจาก : Fuwafuwa

An Introduction to Tea Leaves for Roasting Hojicha

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาโฮจิฉะ คือ ชาเขียวคั่วด้วยอุณหภูมิที่สูงจนมีกลิ่นหอม เป็นชาที่ทิ้งรสชาติและความหอมให้ยังคงหลงเหลือในปากหลังดื่ม จึงทำให้ชาชนิดนี้นิยมดื่มหลังอาหาร หรือระหว่างมื้ออาหาร ด้วยวิธีการคั่วนี้เองจึงทำให้สารคาเทชินซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีรสฝาดและคาเฟอีนน้อยลง ชาประเภทนี้จึงอ่อนโยนต่อร่างกาย สามารถดื่มได้ทั้งเด็ก คนท้อง และผู้ใหญ่ทั่วไป และยังสามารถดื่มก่อนนอนได้อีกด้วยเพราะมีปริมาณคาเฟอีนในชาที่ต่ำมาก โดยใบชาที่นิยมนำมาคั่วเป็นโฮจิฉะมี 3 ชนิด ได้แก่ เซนฉะ (煎茶) บังฉะ (番茶) และคุคิฉะหรือชาที่ทำจากก้านชา (茎茶) แต่ละชนิดที่นำมาคั่วก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน หากใครอยากลองที่จะคั่วชาเขียวให้เป็นชาโฮจิฉะ มาทำความรู้จัก ชาทั้ง 3 ชนิดนี้ก่อนว่าแตกต่างกันยังไง

ชาโฮจิฉะ ชาโฮจิฉะ

เริ่มที่ เซนฉะ (煎茶) ชาเขียวที่ชาวญี่ปุ่นดื่มในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเลี้ยงในร่ม สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี เป็นชาที่ผลิตเยอะที่สุดในญี่ปุ่น เพราะ เก็บใบชาได้ปีละ 4 ครั้ง โดยเริ่มเก็บตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมโดยเก็บยอดอ่อน 3 ใบแรก และใช้กรรไกรตัด เซนฉะจะถูกแบ่งเกรด 3 ระดับ คือ เกรดสูง เกรดกลาง และ เกรดธรรมดา หลังจากเก็บใบชาจะนำมาเป่าให้แห้ง และปั่นใบชาให้เป็นเกลียว และม้วนภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเอนไซม์ เพราะจะทำให้คงสภาพสีและกลิ่นของของชาเอาไว้ได้ รสชาติออกไปทางรสฝาด แต่เป็นชาที่มีความหอมอยู่แล้ว เลยทำให้เวลานำมาคั่ว จะทำให้มีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น

ชาเซนฉะ

แต่ถ้านำใบชาเซนฉะไปอบนานขึ้น ประมาณ 2-3 เท่า ทำให้ได้สีและรสชาติที่เข้มกว่าเซนฉะ จะเรียกว่า ฟุคะมุชิฉะ (深蒸し茶) นั่นเอง

ชาเซนฉะ ชาเซนฉะ

ส่วน บังฉะ (番茶) คุณภาพรองลงมาจากชาเซนฉะ เพราะเก็บเกี่ยวในช่วงที่สามหรือสี่ของปี เป็นใบชาที่เหลืออยู่ที่ยอดชาหลังเก็บใบชาเซนฉะไปแล้ว ใบชาบังฉะจะมีขนาดใหญ่กว่าที่นำไปผลิตเป็นชาเซนฉะ หลังจากนั้นก็นำมานวดเล็กน้อย รสชาติจะอ่อนๆ ใช้ดื่มทั่วไป เป็นใบชาที่เหลือจากยอดต้น มีรสชาติอ่อน แต่มีกลิ่นหอมที่ชัดเจน ฝาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใบชาประเภทนี้เป็นใบแข็ง ไม่ค่อยสมบูรณ์ มีสีน้ำตาลอ่อนออกเหลือง และมีรสชาติขมกว่าเกียวคุโระและเซนฉะ

บังฉะ (番茶)

เมื่อนำบังฉะไปอบด้วยความร้อนในอุณหภูมิที่พอเหมาะ แล้วนวดให้แห้ง จะได้ใบชาหอม สีน้ำตาลแดง เรียกว่า “โฮจิฉะ” นั่นเอง ซึ่งชาบังฉะนี้  มีสารแทนนิน (tannin) มาก แต่มีคาเฟอีนน้อย  อีกเอกลักษณ์โดดเด่นของบังฉะ คือ ดื่มแล้วทำให้รู้สึกสดชื่นในปาก เทคนิคการดื่มก็คือการชงด้วยน้ำร้อนแบบเร็วๆ ให้รสชาติที่ค่อนข้างขมและฝาด เหมาะกับการดื่มเพื่อล้างปากหลังอาหาร ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ นอกจากนั้นยังมีฟลูโอไรด์อยู่มากจึงมีผลในการลดแบคทีเรียในช่องปาก ช่วยบรรเทากลิ่นปากด้วย

มาถึงชาประเภทสุดท้าย  คุคิฉะหรือชาที่ทำจากก้านชา (茎茶) มีอีกชื่อหนึ่งว่า Boucha (棒茶) เป็นชาที่เป็นผลพลอยได้มาจากลำต้นและก้านของ ชาเซนฉะ หรือ ชามัทฉะ มีใบชาผสมน้อยมาก มีรสชาติหวานนวลกว่าชาชนิดอื่นๆ เพราะมีสาร L-theanineสูง ซึ่งสารนี้จะพบในลำต้น หรือรากของต้นชานั่นเอง ชาคุคิฉะสามารถชงซ้ำได้หลายครั้ง  และยังสามารถนำไปผสมกับน้ำผลไม้สำหรับเด็กๆ ได้ด้วย ชงในอุณหภูมิน้ำที่ 70-80 องศา จะได้รสชาติที่ดีที่สุด ชาชนิดนี้มีกลิ่นที่หอมมากเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่นๆ เมื่อนำไปอบรมควันจึงจะได้ชาโฮจิฉะที่มีความหอมที่เป็นเอกลักษณ์

Boucha (棒茶)

เพียงแค่ชาเปลี่ยนกรรมวิธีในการผลิตและเก็บเกี่ยว ก็สามารถกลายเป็นชารูปแบบต่างๆ ให้คนเลิฟชาได้ลิ้มรสทั้งกลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกัน

ที่มา

https://en.wikipedia.org/wiki/H%C5%8Djicha

https://subsc.jp/notes/534

http://www.amazon.com/gp/product/

บทความจาก : Fuwafuwa