แอบบอก สูตรเค้กชาเขียวญี่ปุ่น เหมาะกับคนแพ้ง่าย !!

ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีแบบนี้ หลายๆร้านคงยอดขายตกลง ยิ่งเจอกับโรคระบาดอย่างโควิดด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ลูกค้าออกมาจับจ่ายใช้สอยกันน้อยลง การควบคุมวัตถุดิบที่เคยแพลนไว้อย่างดีของหลายๆร้านอาจจะรวนได้ วัตถุดิบบางตัวราคาค่อนข้างสูง ถ้าไม่บริหารจัดการให้ดีอาจจะทำให้ร้านขาดทุนได้

วิธีง่ายๆกับการจัดการวัตถุดิบของร้านก่อนที่ของจะหมดอายุ


  • รีเช็คสต็อกวัตถุดิบทุกตัว ถึงวันหมดอายุ และวิธีเก็บรักษา อย่างพวก ผงชา ที่โดนแสงไม่ได้ ก็ควรเก็บในที่มิดชิดเข้าตู้เย็นให้ถูกวิธี เพื่อที่จะทำให้ไม่เสียก่อนวลาที่กำหนด หรืออย่างอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าไม่ใช้ให้ถูกวิธี อาจจะทำให้เสียง่ายต้องเสียค่าซ่อมหรือซื้อใหม่อีก อย่างวิธีตากฉะเซ็น หรือแปรงชงชา ก็ควรเสียบไว้ในที่ตั้งของมัน วางผึ่งลมให้แห้งก่อนเก็บ เพื่อป้องกันการขึ้นรา
  • ดัดแปลง ร้านขนมหวาน เครื่องดื่มหลายร้านช่วงนี้อาจจะกุมหัวคิดหนักกันหน่อย ว่าจะทำยังไงถึงจะขายได้ในเมื่อลูกค้าไม่เข้าที่หน้าร้านสิ่งสำคัญคือ การดัดแปลง ผันตัวมาทำดิลิเวอรี่ให้ได้ รูปแบบในการเสิร์ฟแต่ละเมนูที่ปกติมีความอลังการ อาจจะต้องดัดแปลง เช่น พวกเมนูน้ำ อาจจะใช้เป็นเวอร์ชั่นใส่ขวดส่งแทน ง่ายต่อการดิลิเวอรี่ ลูกค้าได้รับก็ประทับใจ หรือจะอย่างพวกเมนูขนมหวาน ที่ลองดูวิธีการเสิร์ฟ ว่าแบ่งซอส แบ่งองค์ประกอบหลักของขนมใส่กล่องบริการเสิร์ฟยังไงได้บ้าง
  • ต่อยอด จากวัตถุดิบเดิมในร้านให้มากที่สุด วัตถุดิบบางอย่างที่เป็นของสดเสียง่ายอย่างนมสด หรือ ครีม ที่สั่งมาสต็อกไว้แล้ว ต้องดัดแปลงเมนูที่สามารถทำเสิร์ฟลูกค้าให้ได้ ก่อนที่จะเสีย เช่น อาจจะนำนมบางส่วนไปเป็นส่วนผสมของการทำขนมปัง ซึ่งเวลาในการเก็บรักษาขนมปังก็จะยืดได้นานกว่านมสดทั่วไป หรือ ใครที่สต็อกผงชาไว้เยอะ สำหรับทำเมนูต่างๆในร้าน ก็สามารถแบ่งชาออกมาส่วนนึง ผสมกับแป้ง ผงฟู แล้วแพ็คขายเป็น Matcha Pancake Powder สูตรเฉพาะของที่ร้าน เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งไปทำแพนเค้กทาน เป็นการเพิ่มกิจกรรมทางอ้อมให้ลูกค้าไปสนุกกันเองในช่วงต้องอยู่บ้านนานๆเอง

เพียง 3 เทคนิคง่ายๆ ก็ช่วยให้วัถุดิบในร้าน ถูกใช้อย่างเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ถ้าใครอยากซื้อวัตถุดิบเข้าร้านเพิ่มเติมก็สามารถสั่งผงชาเขียวมัทฉะ ผงชาโฮจิฉะ และอุปกรณ์ชงชาอื่นๆ เพิ่มได้ที่ https://matchazuki.com/shop/ เรามีบริการส่งถึงหน้าบ้านเลย

ที่มา

https://www.willfrolicforfood.com/blog/grain-free-chickpea-ravioli-with-almond-ricotta-filling

https://www.ohhowcivilized.com/matcha-bubble-tea/

https://kirbiecravings.com/the-best-matcha-powder/

https://www.aarp.org/home-family/friends-family/info-2017/milk-delivery-service.html

By : Contrary To Popular Belief

Share on facebook
Share on twitter

Related Blogs

เพิ่มสีสันในร้านชาด้วยไอเดีย Workshop เก๋ๆ

เปิดร้านคาเฟ่ขายอาหาร ขนม เครื่องดื่มอย่าางเดียวยุคนี้อาจจะไม่เพียงพอ คู่แข่งที่มากขึ้น บางทีก็อาจจะรู้สึกว่าร้านเงียบๆไป จัดโปรโมชั่นอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ การจัดกิจกรรม workshopเล็กๆในร้าน เป็นอีกไอเดีย ที่สร้างสีสันและบรรยากาศในร้านให้แปลกใหม่ขึ้น นอกจากจะช่วยสร้างประสบการณ์ให้กลุ่มลูกค้าแล้ว ยังเป็นการเพิ่มกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจจะไม่เคยมาที่ร้าน แต่ชื่นชอบการ workshop ให้มาร่วมสนุกที่ร้านอีกทางหนึ่ง

5 ไอเดียกิจกรรม workshop เก๋ๆ ที่จัดได้ง่ายๆภายในร้าน ได้แก่

1.การจัด workshop ชงชาสไตล์ญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการทำขนมวากาชิเพราะเป็นเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมชงชาญี่ปุ่นที่ไม่เหมือนการทำขนมเบเกอรี่ ผู้ที่ชื่นชอบการทำขนมหลายคนจึงอยากลองมาเปิดประสบการณ์การทำขนมวากาชิ ที่ต้องใช้ถั่วขาวและความประณีตในการดีไซน์ขนมขึ้นมา รวมถึงการชงชาแบบญี่ปุ่นแบบเต็มรูปแบบที่คนรักการดื่มชาเขียวจะรู้สึกว่าอยากมีประสบการณ์การได้จับฉะเซ็นตีชาเขียวแก้วโปรดของคุณด้วยตัวเอง ซึ่งในระหว่างการ workshop สามารถสอดแทรกเกร็ดความรู้เรื่องชาเขียว เช่น ประโยชน์ของชา ปรัชญาการใช้ชีวิตที่ได้จากการชงชา เป็นต้น

workshop workshop

2.การทำ Tea tasting ให้คนรักชามาอินๆฟินๆกัน ไอเดียนี้เหมาะกับร้านที่มีเครื่องดื่มประเภทชาหลายแบบทั้งชาเขียว ชาโฮจิฉะ ชาเก็นไมฉะ หรือแม้กระทั่งร้านที่มีชาเขียวที่มีความเข้มข้นที่แตกต่างกัน นำชาแต่ละชนิดมาชงให้ชิมและดมกลิ่น เพื่อให้ฝึกสังเกตความแตกต่างของรสชาเนื่องจากสภาพภูมิอากาศภูมิประเทศกระบวนการผลิตชาแต่ละชนิดที่แตกต่างกัน เลยให้รสสัมผัสที่ต่างกัน การฝึกลิ้มรสและมีการให้เกร็ดความรู้กับลูกค้าในแต่ละประเภทชา เป็นกิจกรรมที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรักชาตัวจริง อาจจะดูวิชาการไปหน่อย แต่ถ้าที่ร้านสร้างบรรยากาศให้ดูผ่อนคลาย และให้ข้อมูลแต่ละประเภทชาที่ชัดเจน จะยิ่งแสดงให้เห็นว่าร้านเรา specialist ด้านชาตัวจริง

workshop workshop

3.การทำขนมจากชาเขียว กิจกรรมนี้ทำได้ง่ายมากๆ ไม่ต้องมีความเชี่ยวชาญเจาะลึกเหมือนกิจกรรมอื่น เพียงแค่ร้านคุณมีเบเกอรี่ ที่ทำจากชาเขียว ก็สามารถเปิด Workshop เล็กๆ ให้กับคนที่อยากลองเข้าครัวเปิดเตาทำขนม แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงได้มีโอกาสได้ลองทำขนมจากชาเขียวที่ชื่นชอบโดยมีร้านคุณคอยให้คำแนะนำตลอด อาจจัดให้แต่ละสัปดาห์ เมนูขนมจากชาเขียว หรือชาโฮจิฉะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อดึงกลุ่มฐานลูกค้าที่ติดใจวนกลับมาทำได้อีกไม่ซ้ำเมนู เช่น ทำไอศครีมชาเขียว คุ้กกี้ชาเขียว พุดดิ้งชาโฮจิฉะ เป็นต้น

workshop

4.การห่อผ้าฟุโระชิกิสไตล์ญี่ปุ่นสำหรับการมอบผงชาเป็นของขวัญอีเว้นต์นี้จะเหมาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลอย่างวาเลนไทน์ วันพ่อ วันแม่ และช่วงคริสต์มาสต์ ปีใหม่ ช่วงที่ทุกคนส่งมอบของขวัญให้แก่กัน ให้ลูกค้าของคุณมาอินกับวัฒนธรรมญี่ปุ่น ด้วยการห่อของขวัญที่ซื้อมา หรือจะเป็นซื้อชุดผงชาของที่ร้าน มาจัดแพคเกจรักษ์โลก ไม่ใช้ถุงพลาสติก ด้วยผ้าเก๋ๆ อาจจะทำเป็นมีผ้าหลายลวดลายให้ลูกค้าเลือกตามบุคลิคของผู้รับ

workshop

5.การเพ้นถ้วยชา หรือการทำคินสึงิกิจกรรมสำหรับสายอาร์ต ที่เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ด้วยปรัชญาที่ได้จากถ้วยชาพวกนี้ได้เริ่มเป็นกระแสมากขึ้น แน่นอนว่าถ้วยชา เป็นภาชนะคู่ใจของคนเลิฟชา หากได้ลองเพ้นลวดลาย หรือรู้จักการทำเทคนิคลงรักเชื่อมถ้วยชาที่แตกได้เอง จะยิ่งทำให้อินกับการดื่มชามากขึ้นแน่นอน

workshop

ลูกค้าที่สนใจมาร่วมกิจกรรมเหล่านี้ ทางร้านสามารถตั้งเงื่อนไขได้หลายแบบเลย เช่น

  • ต้องซื้อสินค้าภายในร้านก่อน เพื่อรับสิทธิ์ workshop ในราคาที่ถูกลง หรือ
  • เข้าร่วมฟรีได้เลย หากมียอดซื้อถึง XX บาท

ในทางกลับกัน อาจจะทำส่วนลดพิเศษให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคน หลังเสร็จการ workshop เพื่อเทิร์นลูกค้ากลุ่มนี้ให้กลายมาเป็นลูกค้าหน้าร้านได้ด้วยโปรโมชั่นที่ทางร้านตั้งขึ้นนั่นเอง

ที่มา

http://moichizen.exblog.jp/5313611/

http://evergreenhostel.com

http://www.boredpanda.com/flower-14/

บทความจาก : Fuwafuwa

4 Reasons Why Matcha Should Be Enjoyed Without Bubbles

ปกติของการชงชาเขียวด้วยผงชาเขียวนั้น จะมีการใช้ฉะเซ็น หรือ ที่ตีฟองนมช่วยในการตีชาให้ละลายไปกับน้ำ บางครั้งตีผงชาด้วยอุปกรณ์และเทคนิคแบบเดิม กลับได้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนเดิม ผงชาอาจจะไม่ละลาย ตีแล้วไม่ขึ้นฟองที่สวยงาม ทำให้เวลาถ่ายภาพเมนูอาหารไม่น่าทาน สาเหตุเกิดจากอะไรนั้น ลองมาสังเกตไปพร้อมๆกัน

Matcha Frothy

1. ไม่ได้กรองชาเขียวก่อนตีโดยทั่วไปแล้วผงมัทฉะไม่จำเป็นต้องผ่านการร่อน แต่ถ้าต้องการให้เกิดฟองที่สวยงามในตอนตี ควรจะผ่านการร่อนสักรอบเหมือนก่อนที่เราจะนำแป้งมาใช้ทำขนม เพาะ ผงชา และแป้งพวกนี้เมื่อถูกเก็บอยู่ในภาชนะนานๆ อาจเกิดการจับตัวเป็นก้อนได้อีกครั้ง การร่อนก่อนที่จะตีจะช่วยให้คุณได้เครื่องดื่มชาเขียวที่นุ่มขึ้น และยังทำให้ได้ฟองเป็นชั้นๆสวยงาม

2.ปริมาณน้ำกับชาไม่ได้สัดส่วนกัน  หากใส่น้ำในปริมาณที่มากเกินไปฟองมัทฉะก็ทำได้ยาก และอาจจะได้ฟองอากาศขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ เพราะการชงมัทฉะที่สวยงามน่าทานจะต้องเป็นฟองน้อยๆ หากใส่ผงมัทฉะในปริมาณที่มากเกินไปคุณจะได้ชาเขียวที่เข้มข้นมาก ๆ แต่มักจะเกิดกรณีที่เมื่อใช้ผงมัทฉะมากขึ้นเพื่อรสชาติที่เข้มขึ้น แต่ปริมาณของเหลว คือ น้ำ อยู่ในเรทเท่าเดิม ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำละลายของผงมัทฉะ จึงเป็นเรื่องยาก โดยปกติแล้วปริมาณความเข้มข้นของชาจะขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่อัตราส่วนทั่วไปในการตีผงชามัทฉะคือ ไม้ไผ่ 2 ช้อน (หรือ 1 ช้อนชา) ต่อน้ำ 2-3 ออนซ์ หากต้องการปรับระดับความเข้นข้นเอง อย่าลืมที่จะเติมน้ำมากขึ้นตามระดับที่สามารถทำละลายผงชาได้

Matcha Frothy

3. อุณหภูมิของน้ำต่ำลงเกินไปหากน้ำเย็นเกินไปการพักมัทฉะในน้ำจะเป็นเรื่องยาก ซึ่งจะส่งผลให้มีการจับตัวเป็นก้อนมากกว่าฟอง อุณหภูมิของน้ำขึ้นไม่ได้มีสูตรบังคับตายตัว เพียงแต่มีคำแนะนำ เพื่อรสชาติที่ดีท่สุดเท่านั้นตามแบบฉบับของแต่ละร้านว่าควรใช้อุณหภูมิที่เท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่า การใช้น้ำร้อนเกินไปก็ไม่ได้ทำให้การตีผงชาละลายได้ดีที่สุด แต่ถ้าอุณหภูมิของน้ำ ต่ำมากเกินไป ก็จะทำให้การละลายชาไม่ดีเท่าที่ควร อุณภูมิ 85 องศาเซลเซียส จึงเป็ฯอุณภูมิที่พอเหมาะที่สุดนั่นเอง

Matcha Frothy Matcha Frothy

4.ชาเขียวที่ใช้เป็นชาเขียวที่เสื่อมคุณภาพแล้วหากผงมัทฉะเป็นผงชาที่อยู่ในเกรดธรรมดาคุณภาพไม่สูงคุณนัก หรือเป็นชาที่ถูกเก็บไว้นานเกินด้วยวิธีการเก็บที่ผิดวิธี แม้จะสามารถตีต่อไปได้เรื่อยๆและดื่มได้ตามปกติ แต่ฟองมัทฉะที่สมบูรณ์แบบจะไม่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพราะผงมัทฉะคุณภาพต่ำจะตีฟองได้ยาก แม้จะมีฟองอากาศอยู่บ้าง แต่จะไม่เป็นชั้นเรียบ มีโอกาสที่ของเหลวจะถูกเปิดเผยใต้พื้นผิวของฟองด้วย

การตีชาให้เกิดฟองเป็นเพียงความสวยงามที่ทำให้ชาแก้วนั้นดูน่ารับประทานมากขึ้น  บางร้านอาจจะต้องการฟองน้อยๆ หรือไม่มีฟองเลย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการจัดเสิร์ฟที่ร้านตั้งใจไว้ ดังนั้นหากเห็นชาที่ไม่เกิดฟอง ไม่ได้แปลว่าชาแก้วนั้นมีคุณภาพไม่ดี 100% แต่อย่างใดจ้า…

ที่มา

https://creativemarket.com/Foxys/2137243-Flat-lay-of-freshly-brewed-Japanese

https://www.instagram.com/p/BoOKZJ5AQa-/

http://www.flickr.com/photos/corylum/3814974483/in/photostream

บทความจาก : Fuwafuwa

Uncovering the History of Green Tea in Thailand

การดื่มชาได้เริ่มขึ้นในประเทศจีน คาดว่าไม่น้อยกว่า 2,167 ปีก่อนคริสตกาล ตำนานการเริ่มต้นของการดื่มชามีหลายตำนาน บ้างก็กล่าวว่าจักรพรรดิเสินหนิงของจีน (Shen Nung) ค้นพบวิธีชงชาโดยบังเอิญ เมื่อพระองค์ทรงต้มน้ำดื่มใกล้ๆ กับต้นชา ขณะรอคอยให้น้ำเดือด กิ่งชาได้หล่นลงในหม้อชา สักพักหนึ่งกลิ่นหอมกรุ่นก็โชยออกมา เมื่อพระองค์เอากิ่งชาออกแล้วทรงดื่ม ก็พบว่า มันทำให้สดชื่น การดื่มชาจึงแพร่หลายมากขึ้นในเวลาต่อมา นอกจากทรงค้นพบสรรพคุณของชาแล้ว พระองค์ยังทรงค้นคว้าและทดสอบสมุนไพรชนิดต่างๆ กว่า 200 ชนิด จนได้มีการเผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ ทั้งญี่ปุ่น อินเดีย รวมถึงที่ไทยเอง

matcha history matcha history

ในสมัยสุโขทัยช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่มชากัน แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาอย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์ ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มน้ำชาแล้ว โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล แต่บางตำราก็บอกว่าคนสมัยนั้นจะอมน้ำตาลกรวดใส่ปากก่อน แล้วจิบน้ำชาร้อนๆตาม ระหว่างนั้นเจ้าบ้านก็จะรินน้ำชาใส่ถ้วยให้เรื่อยๆ ถ้าแขกดื่มพอแล้วก็ให้คว่ำถ้วยชาลงเป็นการส่งสัญญาณว่าน้ำตาลในปากละลายหมดเกลี้ยง แต่น้ำชาร้อนก็ไม่ได้เป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันทุกบ้านทุกครัวเรือน เพราะคนไทยชอบกินน้ำเย็นดับร้อนอย่างน้ำฝนมากกว่า น้ำชาร้อนจึงจัดเสิร์ฟเฉพาะในจวนข้าราชการหรือถวายพระเท่านั้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าเป็นชาสายพันธุ์ไหน แล้วมีปลูกที่ไทยหรือเป็นเพียงชาที่ทูตใช้ชงดื่มกันในราชสำนัก

หลักฐานที่เห็นได้ชัดอีกประการ คือ ชาที่ปลูกในเมืองไทย เริ่มเมื่อสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จประภาสยุโรปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกล่าอาณานิคมจากชาวยุโรป เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านได้เสด็จประพาสยุโรปโดยเฉพาะที่อังกฤษ ที่นั่นนิยมดื่มชาและ กาแฟ ในสมัยนั้นประเทศอินเดียเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษตั้งแต่สมัย สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เอาสินค้าเกษตรจากประเทศอินเดียมากมาย ชาอินเดียที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ชาที่รัฐอัสสัม อยู่ที่ศรีลังกา เรียกว่า “ชาอัสสัม” แต่พอมาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนชื่อจากชาอัสสัมมาเป็นชาซีลอน โดยระหว่างที่รัชกาลที่ 5 เจริญสัมพันธไมตรีอยู่นั้น ก็ได้นำต้นกล้าชาซีลอนจากอังกฤษกลับมาที่เมืองไทยด้วย ชาชนิดนี้จะชอบภูมิศาสตร์ที่เป็นภูเขาสูง และอากาศหนาวเย็น จึงได้ปลูกไว้ที่ดอยสะเก็ด สมัยนั้นเทือกเขาที่ดอยสะเก็ดจะมีภูเขาที่เชื่อมต่อเป็นแนวยาวถึงดอยวาวี ดอยแม่สลองและดอยตุง ปัจจุบันนี้ที่ดอยสะเก็ดและดอยวาวีก็ยังมีต้นชาอัสสัมอยู่ และได้รับการขนานนามใหม่ในการท่องเที่ยวว่า “ต้นชาร้อยปี”

เมื่อเริ่มการเพาะปลูกใบชาอย่างจริงจังทางภาคเหนือของประเทศ ในช่วงที่ปลูกพืชผักชนิดอื่นแทนฝิ่น จึงเริ่มมีการคิดค้นสูตรชาไทย ซึ่งทำจากชาอัสสัม ให้มีรสเข้มข้นถูกปากคนไทยมากขึ้นจนเป็นชาไทย เครื่องดื่มขึ้นชื่อของไทยทุกวันนี้

matcha history

สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น แหล่งกำเนิดเดิมจะอยู่ตามภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ โดยจะกระจายอยู่ในหลายจังหวัดแถบภาคเหนือ ที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลำปางและตาก จากข้อมูลของสถาบันชาและกาแฟแห่งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้มีบันทึกว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของประเทศไทย เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2480 โดย นายประสิทธิ์ และนายประธาน พุ่มชูศรี สองพี่น้องได้ตั้งบริษัท ใบชาตราภูเขา จำกัด และสร้างโรงงานชาขนาดเล็กขึ้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยรับซื้อใบชาสดจากชาวบ้านที่ทำเมี่ยงอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่าพบปัญหาอุปสรรคหลายประการ เช่น ใบชาสดมีคุณภาพต่ำ ปริมาณไม่เพียงพอ ชาวบ้านขาดความรู้ความชำนาญในการเก็บเกี่ยวยอดชาและการตัดแต่งกิ่งชา จึงได้นำผู้เชี่ยวชาญทางด้านชาชาวฮกเกี้ยนมาจากประเทศจีน เพื่อมาถ่ายทอดความรู้ให้กับคนไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 สองพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี ได้แก้ปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเริ่มปลูกสวนชาเป็นของตนเอง ใช้เมล็ดพันธุ์ชาพื้นเมืองมาเพาะ ที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ในเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่และต่อมาได้ขยายพื้นที่ปลูกมาที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในช่วงนั้นเองภาครัฐได้มีการนำชาพันธุ์ดีมาจากประเทศอินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่นมาทดลองปลูก เพื่อทำการค้นคว้าและวิจัยต่อไป

ในปี พ.ศ. 2508 ได้ส่งเสริมการผลิตมากขึ้น โดยขอสัมปทานทำสวนชาจากกรมป่าไม้จำนวน 2,000 ไร่ ที่บ้านบางห้วยตาก ตำบลอินทขิน อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ชาที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะเป็นชาฝรั่ง ต่อมาเอกชนเริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมการผลิตชามากขึ้นโดยในปี พ.ศ. 2530 บริษัทชาระมิงค์ได้ขยายสัมปทานสวนชา ให้แก่บริษัทชาสยาม จากนั้นชาสยามได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรที่ปลูกไร่ในบริเวณใกล้เคียงปลูกสวนชาแบบใหม่ และรับซื้อใบชาสด จากเกษตรกรนำมาผลิตชาฝรั่งนามชาลิปตัน จนกระทั่งปัจจุบันนี้

matcha history

ส่วนชาเขียวนั้นแม้ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่าเข้ามาในไทยช่วงสมัยไหน แต่มีารคาดการณ์ว่าเข้ามาในช่วงที่มีการทดลองปลูกที่ภาคเหนือ และเริ่มแพร่หลายชัดขึ้นในช่วงที่ไทยรับวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ามา และเริ่มปลูกอยู่ทางภาคเหนือ ซึ่งก่อนที่จะมีการรับวัฒนธรรมการดื่มชาแบบญี่ปุ่น คือแบบเป็นผงมัทฉะมาตีกับฉะเซนนั้น ชาเขียวในไทยมี 2 ประเภท

  1. ชาเขียวแบบญี่ปุ่น ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่วใบชา ชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีนน้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง
  2. ชาเขียวแบบจีน ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกะทะร้อนนั่นเอง

หากถอยกลับไปชาเขียวญี่ปุ่นก็ได้รับอิทธิพลมาจากจีนเช่นกันราวต้นสมัยเฮอัน โดยเผยแพร่ผ่านทางนักบวชญี่ปุ่นที่ได้เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่างๆจากประเทศจีนรวมทั้งการศึกษาตัวยาสมุนไพรจากจีนอีกด้วย เมื่อพระ ได้ชงชาใส่ถ้วยนำมาถวายองค์จักรพรรดิได้ดื่มชาก็เกิดความประทับใจในรสชาติ จึงสั่งให้นำเมล็ดชาไปปลูกที่สวนสมุนไพรภายในบริเวณราชวัง ชาจึงได้แพร่หลายไปในแถบภูมิภาคคิงคิ (เกียวโต) แต่ความนิยมยังคงมีอยู่แต่ในเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น

ต่อมาในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ นักบวช Eisai ในพุทธศาสนาเซน ได้นำเมล็ดชามาจากจีนเป็นจำนวนมากพร้อมกับกรรมวิธีการผลิตชากลับมาด้วย นั่นก็คือการดื่มชาในสไตล์ Matcha นั่นเอง ได้มีการส่งเสริมการเพาะปลูกชาเพื่อใช้เป็นสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้น และมีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ว่า “ชาเป็นพื้นฐานทางจิตใจและเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่สุด ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็มและมีความสมบูรณ์มากขึ้น”จากนั้นก็เริ่มมีการค้นคว้าสรรพคุณของชามากขึ้นอีกด้วย

ในสมัยมุโระมาจิ เริ่มมีพิธีชงชาในแบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว เริ่มมีการลงรายละเอียดในภาชนะที่ใช้ในพิธีชงชา รวมไปถึงการเสิร์ฟชาเขียวในร้านอาหารอีกด้วย การดื่มชายังเป็นที่นิยมในงานพบปะสังสรรค์ของชนชั้นนักรบมากขึ้น แต่เป็นการดื่มชาเพื่อเล่นเกมทายปัญหาต่างๆ เพื่อชิงรางวัลเป็นเหล้าสาเก และมีการร้องเล่นเต้นรำไปด้วย ต่อมานักบวชเซน Shuko Murata ไม่เห็นด้วยกับการดื่มชาเพื่อความสนุกสนานเช่นนั้น เขาคิดว่าโลกแห่งความเรียบง่ายของเซนนั้นมีแนวคิดแตกต่างออกไปในการดื่มชา การดื่มชาด้วยความเรียบง่ายและมีสมาธิในแบบของเซนจะช่วยให้จิตใจสามารถพัฒนา ขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ นักบวชจึงออกแบบห้องพิธีชงชาขนาดเล็ก เพื่อใช้สนับสนุนการชงชาตามอุดมคติของนักบวช Eisai และในขณะที่ชงชานั้นก็ได้ผสมผสานจิตวิญญาณของพุทธศาสนานิกายเซนไปด้วย

ต่อมาในสมัยยุคเมจิ การผลิตชามีมากขึ้น มีหนังสือเทคนิคการผลิตต่างๆ ออกมาอย่างแพร่หลาย เริ่มมีเครื่องจักรเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิต และเริ่มมีการส่งออกชาไปยังต่างประเทศแล้ว และปริมาณการส่งออกยังมากเป็นอันดับสองรองจากประเทศจีนอีกด้วย แม้การส่งออกจะกระท่อนกระแท่นไปบ้างในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เพราะตอนนั้นชาดำเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นในต่างประเทศ แต่ไม่นานในศตวรรษที่ 20 ชาเขียวก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนทั้งประเทศญี่ปุ่นและ แพร่หลายออกมาทั่วโลกอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

matcha history

ที่มา

http://photography.nationalgeographic.com

http://web2.mfu.ac.th/other/teainstitute/?p=291&lang=th

บทความจาก : Fuwafuwa

MATCHA MOONCAKE

เทศกาลไหว้พระจันทร์ของแต่ละประเทศก็มีธรรมเนียมที่ไม่เหมือนกัน อย่างที่ญี่ปุ่น แม้จะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศจีน แต่ขนมที่ใช้ไหว้ในช่วงเทศกาลนี้กลับแแตกต่างกันออกไป ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนชนมไหว้พระจันทร์ที่เราคุ้นเคยเพราะคนญี่ปุ่น มีความเชื่อกิดขึ้นเมื่อมีขุนนางเป็นผู้ที่นำเข้ามาในช่วงสมัยนาระ-สมัยเฮอัน ในวันขึ้น 15 ค่ำ พลังงานที่มาจากดวงจันทร์จะมีสิ่งลี้ลับที่จะสามารถให้พรที่ขอนั้นเป็นจริงขึ้นมาได้ (บางครั้งคนญี่ปุ่นจะจินตนาการเห็นเงาบนพื้นผิวพระจันทร์นั้นเป็นรูปร่างคล้ายกระต่ายที่กำลังตำขนมโมจิ) โดยส่วนใหญ่ชาวนามักจะไหว้เพื่อแสดงการขอบคุณหลังจากที่ได้เก็บเกี่ยวพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง โดยส่วนใหญ่ชาวนามักจะขอพรจากดวงจันทร์ให้เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตที่ดี พืชผลอุดมสมบูรณ์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและเพื่อขอพรให้ได้พืชผลที่ดีในปีต่อๆไป

mooncake mooncake

วันนั้นผู้คนจะเฉลิมฉลองด้วยการเตรียมอาหารประจำฤดูใบไม้ร่วงในการบวงสรวงพระจันทร์ คือขนมไหว้พระจันทร์ซึกิมิ ดังโงะ (月見 団子tsukimi dango)ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเจ้าและน้ำตาล นำไปนึ่งพร้อมปั้นเป็นลูกกลมๆ ส่วนมากก็จะปั้นโมจิทรงกลมทั้งหมด 12 ลูกตาม 12เดือนในหนึ่งปี หรือ 15ลูกตามคำเรียก “คืนที่สิบห้า” ซึ่งดังโงะแต่ละพื้นที่ก็มีหน้าตาแตกต่างกันออกไป และขนมสมัยใหม่ ก็มีการดัดแปลงเอาโยคัง หรือเนริกิริมาปั้นให้เป็นรูปร่างกระต่ายมากขึ้น เพื่อให้เข้ากับเทศกาล

mooncake

อย่างไรก็ตามในไทยยึดความเชื่อตามแบบจีนแท้ๆ ที่มีการใช้ขนมไหว้พระจันทร์ หลากหลายไส้ อย่างไส้ยอดนิยมหรือไส้ดั้งเดิมจะเป็น ไส้ทุเรียน , ไส้ลูกบัว เป็นต้น แต่เดี๋ยวนี้มีไส้แปลกใหม่ เช่น ไส้ช็อกโกแลต, ไส้ชาเขียว, ไส้คัสตาร์ด และอีกมากมาย แน่นอนว่าไส้ต่างๆของขนมไหว้พระจันทร์ช่วยสร้างความตื่นเต้นแปลกใหม่ให้กับช่วงเทศกาลเป็นอย่างยิ่ง นอกจากไส้ขนมที่มีมากขึ้นแล้ว หลากหลายร้านก็ยังเพิ่มเติมความแปลกใหม่ให้กับตัวแป้งขนมไหว้พระจันทร์ด้วย ถ้าเป็นขนมไหว้พระจันทร์ต้นตำรับก็ต้องเป็น “แป้งอบ”แต่เดี๋ยวนี้ก็จะมีแป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบไม่อบหรือที่หลายคนเรียกว่า “แป้งบัวหิมะ”มาช่วยเพิ่มสีสันด้วย เพราะในแป้งแบบไม่อบนี้สามารถเติมสีสันได้ตามต้องการ ส่วนมากจะนำมาห่อไส้สมัยใหม่หรือไส้ที่ต้องกินแบบเย็นๆ

mooncake mooncake mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบอบไม่มีอะไรที่ซับซ้อนนัก เพียงผสมส่วนผสมเข้าด้วยกันแล้วนวดจนเนียนเข้ากันดี จึงนำไปห่อไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่เตรียมไว้ กดใส่พิมพ์ เคาะออกมา แล้วนำไปอบให้สุกตามสูตรก็เป็นอันเสร็จ ซึ่งวิธีทำแต่ละร้านก็จะแตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ขนมไหว้พระจันทร์แบบอบจะทำเป็นสอดไส้ชาเขียวผสมเม็ดบัว หรือเกาลัด เพื่อให้ได้กลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น และความกลมกล่อมของชาเขียวที่เข้ากันกับเกาลัด นอกจากทำเป็นไส้ขนมได้แล้วยังสามารถเอามาผสมกับแป้งเพื่อทำให้สีแป้งเป็นสีชาเขียวได้เช่นกัน

mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบอบให้เป็นสีชาเขียว

1.แป้งสาลี 130 กรัม

2.น้ำมันถั่วลิสง 15 กรัม

3.น้ำเชื่อม 65 กรัม

4.ผงมัทฉะ 8 กรัม ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้แป้งสีเข้มอ่อนแค่ไหน

ขั้นตอนการทำ

  1. การเตรียมแป้ง ผงมัทฉะ ผสมน้ำมันถั่วลิสงและน้ำเชื่อมเข้าด้วยกัน จากนั้นเทแป้งสาลีลงบนโต๊ะแล้วเปิดพื้นที่ว่างเป็นวงตรงกลางแป้ง จากนั้นเทส่วนผสมของน้ำมันถั่งลิสงที่ผสมแล้วลงไปในตรงกลางแล้วผสมให้เข้ากัน นวดจนเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน ตัดแบ่งเป็นชิ้นชิ้นละ 12 กรัม (ปรับขนาดได้ตามต้องการ)
  2. การเตรียมไส้ขนม 50 กรัม ห่อไข่เค็มหั่นครึ่ง 1 ชิ้น โดยวางไข่เค็มไว้ตรงกลาง
  3. การเตรียมขนม กดตัวแป้งให้แบนแล้วจึงใส่ไส้ลงไปและเป็นก้อนกลม เมื่อปั้นเสร็จแล้วให้โรยแป้งบนพิมพ์ขนมเล็กน้อย แล้วจึงใส่ตัวขนมลงไป กดขนมให้แน่น จากนั้นเคาะออกจากพิมพ์แล้ววางบนถาดอบ
  4. การอบ นำขนมเข้าอบในเตาที่ปรับอุณหภูมิไว้แล้ว ที่ไฟบน 230 องศาและไฟล่าง 200 องศา เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นนำออกมาและทาผิวขนมด้านบนด้วยไข่ ก่อนจะเอาเข้าไปอบต่ออีก 10 นาทีก็เป็นอันเสร็จ

ต่อกันด้วย ขนมไหว้พระจันทร์แบบแป้งไม่อบเมื่อไม่ต้องนำไปอบให้สุกอีกครั้งหนึ่ง จึงต้องทำแป้งให้สุกก่อนนำไปห่อไส้ขนมไหว้พระจันทร์ที่เตรียมไว้ แป้งขนมแบบนี้จริงๆ แล้วมีอยู่มากมายหลายสูตร หากใครเคยกิน “แป้งบัวหิมะ – Snow Skin” ของหลายๆ ร้านก็จะรู้ว่าแต่ละเจ้ามีกลิ่นและรสชาติที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ส่วนมากแล้วขนมไหว้พระจันทร์แบบแป้งไม่อบจะกินแบบเย็น หากนำไปแช่ตู้เย็นแล้วแข็งเกินไป เพียงนำออกมาวางข้างนอกให้คลายความเย็นลงก็กินได้เลย ซึ่งขนมไหว้พระจันทร์แบบนี้จะสามารถใส่ผงมัทฉะเข้าไปในระหว่างผสมแป้งได้ เพื่อให้ได้แป้งรสชาเขียว สีสวยสดใสตามที่ต้องการ หรือถ้าใครครีเอทไปอีก อยากจะลองใส่ผงชาโฮจิฉะลงไป ก็น่าสนใจไม่น้อย

mooncake

แป้งขนมไหว้พระจันทร์แบบไม่อบ

  1. แป้งข้าวเหนียว 50 กรัม
  2. แป้งข้าวเจ้า 50 กรัม
  3. แป้งสาลีอเนกประสงค์ 40 กรัม
  4. น้ำตาลทราย 70 กรัม
  5. นมสด 200 กรัม
  6. นมข้นหวาน 40 กรัม
  7. น้ำมันพืช 40 กรัม
  8. ผงมัทฉะ 5 กรัม

ขั้นตอนการทำ

  1. ผสมส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน นำไปนึ่งด้วยไฟกลาง ประมาณ 20-30 นาที (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับขนาดภาชนะ)
  2. เมื่อนึ่งส่วนผสมเสร็จแล้ว นำออกมาพักไว้ให้พออุ่น แล้วจึงนำแป้งมานวดให้เนียน
  3. ส่วนไส้ ก็สามารถใส่ได้หลายแบบ หลังจากที่นำแป้งไปห่อไส้แล้ว กดปั้นกลม แล้วนำไปกดด้วยพิมพ์ขนมไหว้พระจันทร์ตามชอบเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

ไอเดียเมนูใหม่ ที่ร้านขนมหลายร้านอาจจะนึกไม่ถึง ให้ช่วงเทศกาลพิเศษ มีขนมแบบใหม่ๆออกมา เพื่อเรียกลูกค้าทั้งลูกค้าเก่าและใหม่ ยิ่งถ้าได้แพคเกจดีๆสวยๆ ทั้งแบบชิ้นเดี่ยว หรือซื้อเป็นชุด ยิ่งเพิ่มมูลค่าให้กับขนมไหว้พระจันทร์ สร้างความประทับใจให้ผู้รับแน่นอน

mooncake

ที่มา

https://www.huangkitchen.com/matcha-green-tea-snowskin-mooncake/

https://songdaygivral.hatenablog.com/entry/cac_loai_banh_trung_thu_givral

https://mobile.twitter.com/mo_hotels/status/500360064214241280

Pumpkin Snowskin Mooncakes 南瓜冰皮月饼

https://goodyfoodies.blogspot.com/2013/09/recipe-homemade-snowskin-mooncakes-with.html

บทความจาก : Fuwafuwa

ออกแบบโลโก้ร้านชา ให้ลูกค้าจำได้ง่าย

Logo ถือเป็นส่วนสำคัญที่เปรียบเสมือนหน้าตาของร้าน มีผลต่อการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักได้ โดยเฉพาะในยุคนี้ที่มีร้านของหวานเครื่องดื่มออกใหม่มากมาย โลโก้ที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์อาหารถ้ายิ่งจดจำได้ง่าย มีเอกลักษณ์ ก็จะยิ่งช่วยให้ลูกค้าเกิดการบอกต่อได้ง่ายขึ้นด้วย หลักการในการออกแบบโลโก้ที่ดี ให้จดจำง่ายไม่ซ้ำร้านอื่นมีเทคนิคอะไรบ้าง มาดูกัน

เริ่มจากต้องมีเอกลักษณ์ของร้านเพราะโลโก้ของร้านควรจะสื่อสารถึงตัวตนของร้าน สไตล์อาหารที่ขาย มองแล้วรับรู้ทันทีว่านี่คือร้านอาหารอะไร มีลักษณะที่สัมพันธ์กับการตั้งชื่อร้าน ถ้าไม่ไปซ้ำซ้อนกับร้านอื่นๆได้จะยิ่งดีเพราะป้องกันความสับสนของลูกค้า อย่างร้านที่ขายชาเขียวแท้ๆจากญี่ปุ่น ก็อาจจะมีการใช้ภาษาญี่ปุ่น เพื่อสื่อถึงที่มาของวัตถุดิบพระเอกของร้าน หรือใช้ดีไซน์ที่เป็นเหมือนอินตัง ( ตรายาง ) ของคนญี่ปุ่น เพื่อดึงเอกลักษณ์ดีไซน์ความเป็นญี่ปุ่นออกมาสื่อถึงที่มาของวัตถุดิบแท้ๆ

logo logo logo

โลโก้ที่ดีควรสื่อความหมายเพราะโลโก้ที่ดีจะต้องสามารถสื่อความหมายได้มากกว่าแค่บอกชื่อร้าน อย่างเช่นการใช้รูปใบชา ถ้วยชงชา หรือฉะเซ็นที่เป็นอุปกรณ์ชงชา เพื่อบ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในรสชาติของชาที่้ร้าน รูปที่อยู่ในโลโก้ควรจะผ่านการคิดว่ามีความหมายอย่างไร เห็นเข้าใจและจดจำได้ง่าย เพื่อสื่อสารไปให้ถึงลูกค้าได้ตรงประเด็น ซึ่งนอกจากรูปภาพ ที่ใช้ในการสื่อความหมายแล้ว สีของโลโก้ ก็ยังเป็นอีกส่วนสำคัญที่ช่วยให้นึกถึงสินค้าในแบรนด์ได้ง่ายขึ้น  อย่างเช่นการใช้สีเขียวในโลโก้ ทำให้นึกถึงชาเขียวได้ง่ายขึ้น สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งจากสารสังเคราะห์

ให้โลโก้สื่ออารมณ์ของร้าน  ต้องรู้ก่อนว่าอยากให้ภาพออกมามีอารมณ์แบบไหน สอดคล้องกับร้านของเราอย่างไร เช่น ร้านขายชา ที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิง ไม่ได้เน้นชาที่เข้มข้น แต่เน้นการปรับสูตรไปให้หลากหลาย ผู้หญิงทานง่ายขึ้นและมีขนมอื่นๆที่ทำจากชา จะต้องใช้โลโก้ที่มีโทนสีชมพูปนเข้ามา เพื่อดึงดูดสายตาผู้หญิงที่มีความอ่อนหวาน หรือปรับเป็นโลโก้ที่เรียบๆนิ่งๆ แต่เน้นแพคเกจจิ้งสีหวานเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้หญิง

logo logo

ไม่ใช้สีสันที่มากจนเกินไปจำนวนสีที่ใช้บนโลโก้ควรอยู่ที่ 1 – 3 สี จึงจะพอเหมาะ และไม่ทำให้เกิดความสับสนนอกจากนี้ อารมณ์ของสีที่ใช้ก็เป็นสิ่งสำคัญ เช่น สีเขียว ที่สื่อถึงธรรมชาติ สุขภาพ ความสดใหม่ และการเจริญเติบโต นอกจากนั้นยังให้อารมณ์สดชื่น ผ่อนคลายอีกด้วย

logo logo logo

อย่าลืมที่จะเช็คคู่แข่งบ้างการเข้าไปดูเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียของแบรนด์อื่นๆ ช่วยให้เราฝึกการคิดวิเคราะห์ได้ ว่าโลโก้นั้นดูดี สื่อความหมาย มีเอกลักษณ์เพียงพอรึยัง เพื่อเอามาปรับที่ร้านให้ดีขึ้น เป็นการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง ของแบรนด์ก็ว่าได้ และอย่าลืมติดตามเทรนด์ของการดีไซน์อยู่เสมอ เช่น ใช้สีแห่งปีอย่างสีม่วงอัลตราไวโอเลต หรือจะใช้การไล่เฉดสีและลูกเล่นในการพิมพ์ก็จะช่วยสร้างความโดดเด่นให้กับโลโก้ของคุณได้

แต่ก็จะเห็นได้ว่าโลโก้มีหลายแบบ ทั้งที่เป็นตัวอักษรปกติ รูปภาพ ลายกราฟฟิค หรือมาสคอต แต่ละแบบก็สื่อความหมายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้แตกต่างกัน เช่น แบรนด์ที่มีรูปการ์ตูน โลโก้ประเภทนี้จะช่วยดึงดูดกลุ่มลูกค้าเด็กและครอบครัวได้ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการกระตุ้นให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้อีกด้วย หรือสำหรับการใช้แค่เพียงสัญลักษณ์บางอย่าง อย่าง ใบชา ช้อนตักชา หรือฉะเซย ก้เพียงพอที่จะสื่อความหมายได้แล้วว่าร้านนี้เน้นขายชา

logo

หากลองครีเอทมาแล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าควรใช้จริงมั้ย ทดลองเทสต์บนหน้าเว็บไซต์หรือทำเป็นโปรไฟล์ดูก่อน หรือบางทีอาจจะทำโพลขึ้นมาให้คนเข้ามาให้ฟีดแบค เช่น ถามว่ามันดูสวยพอหรือยัง อยากแก้ตรงไหนไหม ดูเข้ากันกับเว็บไซต์หรือเปล่า เผื่อที่จะปรับแก้บางจุดเพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ง่ายขึ้นก่อนผลิตสื่อต่างๆจริง

พอจะได้ไอเดียกันแล้วมั้ยคะ สำหรับท่านที่จะลองเปิดกิจการเป็นของตัวเอง ที่นี่ก็เริ่มลงมือออกแบบ โลโก้แบบที่ชอบ แล้วเอาไปต่อยอดลงนามบัตรร้าน แพคเกจสินค้า ในรูปแบบเดียวกันเพื่อให้เป็นภาพจำกับลูกค้า แล้วเกิดความรู้สึกอยากบอกต่อ ได้ง่ายขึ้น

logo logo logo

ที่มา

https://www.freepik.com

https://gdc.jp/archives/category/works/food

https://www.packagingoftheworld.com/2012/07/kotoha-with-yuica.html

https://www.behance.net

บทความจาก : Fuwafuwa

An Introduction to Tea Leaves for Roasting Hojicha

อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าชาโฮจิฉะ คือ ชาเขียวคั่วด้วยอุณหภูมิที่สูงจนมีกลิ่นหอม เป็นชาที่ทิ้งรสชาติและความหอมให้ยังคงหลงเหลือในปากหลังดื่ม จึงทำให้ชาชนิดนี้นิยมดื่มหลังอาหาร หรือระหว่างมื้ออาหาร ด้วยวิธีการคั่วนี้เองจึงทำให้สารคาเทชินซึ่งเป็นสารที่ทำให้มีรสฝาดและคาเฟอีนน้อยลง ชาประเภทนี้จึงอ่อนโยนต่อร่างกาย สามารถดื่มได้ทั้งเด็ก คนท้อง และผู้ใหญ่ทั่วไป และยังสามารถดื่มก่อนนอนได้อีกด้วยเพราะมีปริมาณคาเฟอีนในชาที่ต่ำมาก โดยใบชาที่นิยมนำมาคั่วเป็นโฮจิฉะมี 3 ชนิด ได้แก่ เซนฉะ (煎茶) บังฉะ (番茶) และคุคิฉะหรือชาที่ทำจากก้านชา (茎茶) แต่ละชนิดที่นำมาคั่วก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน หากใครอยากลองที่จะคั่วชาเขียวให้เป็นชาโฮจิฉะ มาทำความรู้จัก ชาทั้ง 3 ชนิดนี้ก่อนว่าแตกต่างกันยังไง

ชาโฮจิฉะ ชาโฮจิฉะ

เริ่มที่ เซนฉะ (煎茶) ชาเขียวที่ชาวญี่ปุ่นดื่มในชีวิตประจำวัน ไม่ต้องเลี้ยงในร่ม สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี เป็นชาที่ผลิตเยอะที่สุดในญี่ปุ่น เพราะ เก็บใบชาได้ปีละ 4 ครั้ง โดยเริ่มเก็บตั้งแต่ เดือนพฤษภาคมโดยเก็บยอดอ่อน 3 ใบแรก และใช้กรรไกรตัด เซนฉะจะถูกแบ่งเกรด 3 ระดับ คือ เกรดสูง เกรดกลาง และ เกรดธรรมดา หลังจากเก็บใบชาจะนำมาเป่าให้แห้ง และปั่นใบชาให้เป็นเกลียว และม้วนภายในระยะเวลาที่สั้นที่สุด เพื่อหยุดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของเอนไซม์ เพราะจะทำให้คงสภาพสีและกลิ่นของของชาเอาไว้ได้ รสชาติออกไปทางรสฝาด แต่เป็นชาที่มีความหอมอยู่แล้ว เลยทำให้เวลานำมาคั่ว จะทำให้มีกลิ่นหอมยิ่งขึ้น

ชาเซนฉะ

แต่ถ้านำใบชาเซนฉะไปอบนานขึ้น ประมาณ 2-3 เท่า ทำให้ได้สีและรสชาติที่เข้มกว่าเซนฉะ จะเรียกว่า ฟุคะมุชิฉะ (深蒸し茶) นั่นเอง

ชาเซนฉะ ชาเซนฉะ

ส่วน บังฉะ (番茶) คุณภาพรองลงมาจากชาเซนฉะ เพราะเก็บเกี่ยวในช่วงที่สามหรือสี่ของปี เป็นใบชาที่เหลืออยู่ที่ยอดชาหลังเก็บใบชาเซนฉะไปแล้ว ใบชาบังฉะจะมีขนาดใหญ่กว่าที่นำไปผลิตเป็นชาเซนฉะ หลังจากนั้นก็นำมานวดเล็กน้อย รสชาติจะอ่อนๆ ใช้ดื่มทั่วไป เป็นใบชาที่เหลือจากยอดต้น มีรสชาติอ่อน แต่มีกลิ่นหอมที่ชัดเจน ฝาดเล็กน้อย ส่วนใหญ่ใบชาประเภทนี้เป็นใบแข็ง ไม่ค่อยสมบูรณ์ มีสีน้ำตาลอ่อนออกเหลือง และมีรสชาติขมกว่าเกียวคุโระและเซนฉะ

บังฉะ (番茶)

เมื่อนำบังฉะไปอบด้วยความร้อนในอุณหภูมิที่พอเหมาะ แล้วนวดให้แห้ง จะได้ใบชาหอม สีน้ำตาลแดง เรียกว่า “โฮจิฉะ” นั่นเอง ซึ่งชาบังฉะนี้  มีสารแทนนิน (tannin) มาก แต่มีคาเฟอีนน้อย  อีกเอกลักษณ์โดดเด่นของบังฉะ คือ ดื่มแล้วทำให้รู้สึกสดชื่นในปาก เทคนิคการดื่มก็คือการชงด้วยน้ำร้อนแบบเร็วๆ ให้รสชาติที่ค่อนข้างขมและฝาด เหมาะกับการดื่มเพื่อล้างปากหลังอาหาร ให้ความรู้สึกสดชื่นได้ นอกจากนั้นยังมีฟลูโอไรด์อยู่มากจึงมีผลในการลดแบคทีเรียในช่องปาก ช่วยบรรเทากลิ่นปากด้วย

มาถึงชาประเภทสุดท้าย  คุคิฉะหรือชาที่ทำจากก้านชา (茎茶) มีอีกชื่อหนึ่งว่า Boucha (棒茶) เป็นชาที่เป็นผลพลอยได้มาจากลำต้นและก้านของ ชาเซนฉะ หรือ ชามัทฉะ มีใบชาผสมน้อยมาก มีรสชาติหวานนวลกว่าชาชนิดอื่นๆ เพราะมีสาร L-theanineสูง ซึ่งสารนี้จะพบในลำต้น หรือรากของต้นชานั่นเอง ชาคุคิฉะสามารถชงซ้ำได้หลายครั้ง  และยังสามารถนำไปผสมกับน้ำผลไม้สำหรับเด็กๆ ได้ด้วย ชงในอุณหภูมิน้ำที่ 70-80 องศา จะได้รสชาติที่ดีที่สุด ชาชนิดนี้มีกลิ่นที่หอมมากเมื่อเทียบกับชาชนิดอื่นๆ เมื่อนำไปอบรมควันจึงจะได้ชาโฮจิฉะที่มีความหอมที่เป็นเอกลักษณ์

Boucha (棒茶)

เพียงแค่ชาเปลี่ยนกรรมวิธีในการผลิตและเก็บเกี่ยว ก็สามารถกลายเป็นชารูปแบบต่างๆ ให้คนเลิฟชาได้ลิ้มรสทั้งกลิ่น และรสชาติที่แตกต่างกัน

ที่มา

https://en.wikipedia.org/wiki/H%C5%8Djicha

https://subsc.jp/notes/534

http://www.amazon.com/gp/product/

บทความจาก : Fuwafuwa

ดื่มชาเขียวร้อนดีกว่าชาเขียวเย็นจริงมั้ย ?

ชาเขียว เครื่องดื่มที่อุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สามารถดื่มได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น แต่ในทางกลับกันการดื่มชาเขียวอาจไม่ได้ช่วยให้เกิดประโยชน์อะไรต่อร่างกายเลยหากดื่มไม่ถูกวิธี ซึ่งที่ทุกคนทราบกันอย่างแน่ชัด คือ การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็น ไม่ควรแต่งรสด้วยน้ำตาล หรือ นมทุกชนิด ไม่ว่าจะนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา และทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ปรุงแต่ง

Hot Matcha Cold Matcha

อย่างไรก็ตาม แม้จะดื่มชาเขียวเพียวๆ แต่ก็มีคนเข้าใจว่าการดื่มชาเขียวเย็นไม่เกิดประโยชน์แล้วกลับทำให้เกิดโทษต่อร่างกาย เพราะชาเขียวเย็น ก่อให้เกิดการเกาะตัวแน่นของสารพิษที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ชาเขียวเย็นยังส่งผลให้ไขมันในร่างกายก่อตัวมากขึ้นตามผนังหลอดเลือด และอุดตันตามผนังลำไส้ ทำให้เกิดโรคร้ายตามมา เช่น หลอดเลือดหัวใจอุดตัน มะเร็งลำไส้ เส้นเลือดตีบ แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานการวิจัยยืนยันอย่างชัดเจนว่าชาเขียวเย็นส่งผลเสียแบบนั้นจริงมั้ย

บางกระแสก็บอกว่า หากดื่มแบบเย็นที่มีน้ำแข็งผสม ความเย็นจากน้ำแข็งจะทำให้ประสิทธิภาพของชาเขียวเจือจางไปพร้อมน้ำแข็ง แทนที่จะได้รับประโยชน์แบบเต็มที่ก็ทำให้ได้รับคุณประโยชน์น้อยกว่า แต่สำหรับใครที่อยากดื่มชาเขียวแบบเย็นก็สามารถทำได้ เพียงให้ดื่มชาที่ชงด้วยตัวเองแล้วนำไปแช่เย็นไว้ แค่ไม่ใส่น้ำแข็งไปผสมเพิ่มก็พอ และเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระจากในชาเขียวยังคงมีอยู่

ในทางกลับกัน มีสมมติฐานที่ยังคงเป็นที่ถกเกียงกันว่าการดื่มชาเขียวร้อนที่ว่ากันว่าช่วยยับยั้งการเกิดมะเร็งได้ เพราะยอดใบชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสร แต่ก็ยังไม่ได้มีวิจัยที่ชัดเจน และบางคนก็เชื่อว่าการดื่มชาเขียวร้อน ยิ่งเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหาร แม้จะยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน แต่คนเลิฟชาเขียวก็ควรดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ และดื่มอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้คุณค่าทางสารอาหารมากที่สุด

สำหรับผู้ที่นิยมดื่มน้ำชาร้อนๆ สารสำคัญที่เป็นประโยชน์ คือ คาเทคชินส์ (Catechins) จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายแต่ยังนิยมชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีนแต้จิ๋ว ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรซโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่พอจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ

Hot Matcha

นอกจากนี้ยังมีวิจัยที่ว่า การดื่มชาร้อนช่วงอากาศร้อนๆๆ ช่วยให้รู้สึกเย็นมากกว่าชาเย็น เพราะเหงื่อจะออกเยอะ เป็นการช่วยระบายความร้อนได้อีกทาง ถ้าดื่มชาเขียวเย็นในช่วงที่อากาศร้อนชาเย็นที่เราดื่มเข้าไปจะสูญเสียความเย็นเมื่อไหลผ่านอวัยวะต่างๆ ถ้าดื่มในปริมาณที่มากเกินๆ

แม้จะยังไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจนรองรับการดื่มชาเขียวเย็น หรือชาเขียวร้อนว่าการดื่มประเภทไหนจะเกิดผลร้ายต่อร่างกายมากกว่ากัน เพียงแค่โดยหลักการแล้วเราจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระมากที่สุดตอนดื่มชาร้อน โดยเฉพาะชาที่ต้มในอุณหภูมิ 70-78 องศาเป็นเวลา 2-4 นาที แล้วสารต้านอนุมูลอิสระจะหายไปประมาณ 20% หากโดนความร้อนนานๆนั่นเอง และปริมาณที่บริโภคในแต่ละวันก็ไม่ควรมากเกินไปเพราะอาจจะเกิดอาการท้องผูกได้ และกินหลังมื้ออาหาร เพื่อให้คาเฟอีนในชาไม่ไปทำให้เกิดกรดในกระเพาะนั่นเอง

ที่มา

shorturl.at/jtwDM

https://www.dotfit.com/content-35820.html

DIY Beauty and Natural Skincare Recipes, Essential Oils, Non-Toxic Lifestyle & More

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Croissants: A Green Tea Twist on a Classic Pastry

ครัวซองค์เบเกอรี่ที่หลายคนชื่นชอบ มีหลายร้านที่ทำครัวซองค์ออกมาขายในรสชาติยอดนิยม อย่างครัวซองค์อัลมอนด์ , ครัวซองค์เนย, ครัวซองช็อคโกแลต ซึ่งถ้าใครชื่นชอบชาเขียวเป็นพิเศษ ก็อาจจะรู้สึกว่าครัวซองค์ชาเขียวเป็นอะไรที่หากินยาก รอบนี้เลยเอาใจร้านที่มีเมนูครัวซองค์อยู่ในร้านแล้ว แต่อยากต่อยอดให้มีรสชาติแปลกใหม่อย่างชาเขียว ว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะทำให้ครัวซองค์ที่ร้าน แต่ต่างจากร้านอื่นๆ

มาเอาใจคนเลิฟมัทฉะครัวซองค์แบบแรกด้วยไอเดียแสนง่ายเพียงเติมผงมัทฉะลงไปในแป้งที่มาทำเป็นโดว์ครัวซองค์  และเวลาอบออกมาแป้งจะได้สีเขียวสวยแตกต่างจากครัวซองค์เนยทั่วไป

Matcha Croissants Matcha Croissants

ไอเดียต่อมาที่ทำง่ายและสีสวยน่ารับประทานคือการบีบครีมสดชาเขียวนุ่มละมุนลงครัวซองค์ การบีบก็ทำได้หลายวิธีและมีหลายหัวบีบที่ทำให้ครัวซองค์แต่ละร้านมีหน้าตาต่างกันออกไป การนำเทคนิคแบบการทำมองค์บลังค์มาบีบครีมสด ก็เป็นอีกไอเดียที่ทำให้ครัวซองค์น่าทานมากขึ้น ซึ่งครีมที่บีบตรงนี้อาจจะผสมถั่วขาวเข้าไปตามสไตล์ขนมญี่ปุ่นก็ช่วยตัดเลียนได้เช่นกัน

Matcha Croissants

นอกจากครีมสดแล้วอีกวิธีที่เห็นได้ทั่วไป คือครัวซองค์เคลือบช็อคโกแลตชาเขียว ตัวนี้เคลือบได้หลายวิธีเลย ทั้งการเคลือบทั้งชิ้น หรือเคลือบแค่ส่วนเดียวแล้วโรยท้อปปิ้งด้วยช็อคโกแลต หรือผงครัมเบิ้ล อัลมอนด์าไลด์ตามชอบ หรือเพิ่มความเข้มข้นให้ถูกใจคนรักชาเขียวด้วยดิปซอสชาเขียว ยิ่งทำให้ขนมน่าทานและเกิดการถ่ายภาพแชร์ต่อกันในโซเชียลได้

Matcha Croissants Matcha Croissants

Matcha Croissants Matcha Croissants Matcha Croissants

ส่วนตัวไส้ครัวซองค์ที่นิยมทานคู่ชาเขียว คงหนีไม่พ้น ถั่วแดงและครีมสด ขนมสไตล์ลูกครึ่งญี่ปุ่นฝรั่ง

ครัวซองต์ชาเขียว

ส่วนครัวซองที่เป็นชิ้นเล็กๆที่เหลือจากการหั่นครัวซองค์เพื่อขึ้นรูป แนะนำให้หาพิมพ์ CUBE มาแล้วเอาเศษที่เหลือหั่นเป็นชิ้นเล็กๆใส่เข้าไป ก็จะได้ครัซองค์หน้าตาแบบใหม่ที่ต่างจากร้านอื่นแน่นอน หรือถ้าหากใครอยากได้ลวดลายครัวซองค์ CUBE ที่สวยงาม แทนที่จะขึ้นรูปครัวซองค์ปกติ สามารถขึ้นโดว์ด้วยการม้วนแล้วให้ขึ้นฟูในแม่พิมพ์ก็ได้ พออบออกมาจะได้ลายก้นหอยที่สวยงาม และสามารถใส่ไส้ครีมสดชาเขียว โรยหน้าตกแต่งด้วยไอซิ่ง หรือถั่วพิตาชิโอ้ ยิ่งทำให้น่ารับประทานมากขึ้น

Cube Cube Cube

ถัดจากขนมอีกส่วนที่เป็นหน้าตาของร้านพอกันคือ แพคเกจ ร้านส่วนใหญ่นิยมใช้มักเป็นกระดาษห่อปกติ หรือใส่รวมกันในกล่อง หากอยากสร้างความแตกต่างให้ครัวซองค์ชาเขียว สามารถทำแพคเกจที่แตกต่างออกมาได้ นอกจากจะช่วยสร้างเอกลักษณ์ให้ที่ร้านแล้วยังช่วยให้ครัวซองค์แต่ละชิ้นถูกเก็บในกล่องแยกชิ้นกันอย่างดี ไม่เสียหาย

สร้างสรรค์เมนูเดิมๆให้เป็นเมนูใหม่ๆตามแบบฉบับคนรักชาเขียว จะช่วยสร้างมูลค่าให้ขนมที่ร้านน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น

ที่มา

https://www.packagingoftheworld.com/2019/10/sweet-home.html?m=1

https://www.pinterest.com/pin/33706697196821794/

IG : @koidb

IG : @tini.artisanbakehouse

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Breakfast Dish เมนู Matcha Yogurt

หลายคนอาจคิดว่าการได้จิบชาอุ่นๆ ในตอนเช้านั้นเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็กต์ แต่ความจริงแล้วตอนเช้าเป็นช่วงที่ท้องกำลังว่าง หากเราดื่มชาเขียวเข้าไปจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร จนอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ แถมคาเฟอีนที่อยู่ในชาเขียวยังจะกระตุ้นให้ร่างกายขับน้ำออกมา อาจทำให้เรารู้สึกขาดน้ำ สมองช้า ไม่สดชื่นอีกด้วย ทางที่ดีควรกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตามด้วยชาเขียวสัก 1 แก้ว หรือถ้าอยากทานชาเขียวจริงๆ ลองเอาไปผสมในซุป โยเกิร์ต หรือเมนูอื่นๆที่เหมาะกับการเป็นมื้อเช้า ทำให้ได้มื้อเช้าแสนอร่อยสไตล์คนเลิฟมัทฉะ และยังเป็นการเพิ่มเมนูมื้อเช้าให้ร้านคาเฟ่ของคุณได้อีกด้วย

เริ่มกันที่เมนูเบาๆง่ายๆไม่หนักท้องและดีต่อสุขภาพ อย่าง Matcha Yogurtเมนูที่หลายคนลืมนึกไปว่าชาเขียวก็ทานคู่กับโยเกิร์ตได้

Matcha Yogurt

เพียงแค่นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 300 กรัม มาผสมกับผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ เมเปิ้ลไซรัป 2 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วท้อปปิ้งด้วย กีวี ลูกพีช บลูเบอรี่ แอปเปิ้ล หรือผลไม้อื่นๆตามที่ชอบ

แต่ถ้าใครไม่ชอบทานโยเกิร์ แนะนำเป็น Matcha Breakfast Bowl ที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร ด้วยการนำเมล็ดเจีย 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนมอัลมอนด์ หรือนมแมคคาดีเมีย หรือนมวัวแล้วแต่ชอบในปริมาณ 1 ถ้วย และผงมัทฉะ 2 ช้อนชา ปั่นรวมเข้ากัน สามารถเติมน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหวานได้ตามชอบ หรือถ้าใครอยากเพิ่ม texture สามารถนำอะโวคาโดไปปั่นรวมได้ หลังปั่นแล้วสามารถเก็บในตู้เย็นได้นาน 1 วีค  ตกแต่งท้อปปิ้งด้วยสตอเบอรี่สด อัลมอนด์สไลด์ตามชอบ

อีกเมนูมื้อเช้าเบาๆสไตล์คนยุโรปอย่างMatcha Pancakeด้วยสูตรแป้งกลูเตนฟรี เหมาะกับคนที่แพ้อาหารกลุ่มแป้งสาลีใช้เวลาทำเพียงแค่ 12 นาที เหมาะกับคนที่เร่งรีบยามเช้า เริ่มด้วยผสมไข่ 2 ฟอง กับนมอัลมอนด์ ⅔ ถ้วย + น้ำมันมะพร้าว ¼ ถ้วยที่ละลายแล้ว กับน้ำตาลอ้อยและกลิ่นวนิลา คนให้เข้ากัน ร่อนแป้งกลูเตนฟรี 1 ถ้วย + ผงมัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะ + ผงฟู  1 ช้อนโต๊ะ และเกลือเล็กน้อย ลงไปคนให้เข้ากัน หลังจากนั้น ตั้งกระทะเปิดไฟกลาง ใส่น้ำมันมะพร้าวลงไป  พอกระทะร้อน ตั้งส่วนผสมที่เตรียมไว้ใส่ลงไป ตามขนาดที่ต้องการ พอเริ่มสุกให้พลิกกลับอีกด้านจนเป็นสีเหลืองทอง สุกเท่ากันทั้ง 2 ด้าน เสิร์ฟคู่น้ำผึ้ง ผลไม้สด ตามชอบ มื้อเช้าแสนง่าย อิ่มอยู่ท้อง ^^

Matcha Pancake

เติมความหวานมื้อเช้าได้ง่ายๆกับอีกเมนูสำหรับคนเลิฟของหวานMatcha Sugar Toast ที่ใช้ส่วนผสมแค่ 3 อย่าง ทำเสร็จได้ง่ายๆภายใน 5 นาที ด้วยการนำ ผงชาเขียว ¼ ช้อนชา ผสมกับเนยเค็ม 2 ช้อนโต๊ะโดยเป็นเนยที่อยู่ในอุณหภูมิห้องและน้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน ไปทาขนมปัง แล้วอบขนมปังในเตาให้กรอบสีสวยตามระดับความชอบ แนะนำที่อุณหภูมิ 175 องศา 2-5 นาที

Matcha Sugar Toast Matcha Sugar Toast

เพิ่มความอร่อยอีกระดับกับ Matcha cashew Butter on Toastเมนูวีแกน ที่ทำง่าย อิ่มอร่อยอยู่ท้องมื้อเช้า และสามารถนำไปทานคู่กับแพนเค้ก วาฟเฟิล หรือ สโคนก็อร่อยไปอีกแบบ เพียงแค่นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับที่อบแล้ว 2 ถ้วย ผสมกับผงมัทฉะ 3 ช้อนชา กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา เกลือเล็กน้อย เมเปิ้ลไซรัป 2 ช้อนชา และน้ำมันมะพร้าว 3 ช้อนชา ปั่นด้วยเครื่องปั่นอาหารให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ทานคู่กับกล้วย โรยเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ และผงซินนาม่อนเล็กน้อย ยิ่งอร่อย

Matcha cashew Butter on Toast

ปิดท้ายด้วยMatcha Soup Tofu ซุปมัทฉะเต้าหู้เริ่มด้วยละลายเนยจืด ½ ถ้วย เปิดไฟกลางใส่่เห็ดหอมและต้นหอมหั่นละเอียดลงไป เติมผงมัทฉะ 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำสต็อกไก่ประมาณ 8 ถ้วย และครีม 1 ถ้วย พร้อมทั้งเกลือ พริกไทยเล็กน้อย และผักโขม 1 ถ้วย เคี่ยวให้เข้ากัน ตั้งไฟคนประมาณ 10 นาที เสิร์ฟคู่กับเต้าหู้ที่นำไปกริลในกระทะจนสุกแล้ว

Matcha Soup Tofu

หากใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอาหารเช้าทานเองได้ยังไง สามารถลองทำตามสูตรนี้ได้ ก็จะได้เมนูมื้อเช้าอร่อยๆ เหมือนไปทานที่ร้าน 

ที่มา

https://veggiekinsblog.com/2020/01/10/matcha-cashew-butter/

https://www.bbcgoodfood.com/recipes/matcha-breakfast-bowl

https://www.menshealth.com/nutrition/g22552078/best-keto-breakfast-ideas/

https://teasquirrel.com/home/2019/9/25/the-only-matcha-pancakes-recipe-you-will-ever-need?format=amp

บทความจาก : Fuwafuwa

Preserve Freshness: Extend the Shelf Life of Ingredients with Matcha Chocolate

เคยสงสัยกันมั้ยว่า ช็อคโกแลตมีวันหมดอายุมั้ย ทำไมถึงเก็บได้นานกว่าขนมชนิดอื่นๆ???

ช็อคโกแลต เป็นของหวานที่อยู่ได้นาน เพราะทำมาจาก เนยโกโก้ถูกนำมาใช้เพื่อให้ขนมหวานสีน้ำตาลนี้อยู่ได้นานเป็นปี เพียงแค่แช่ตู้เย็นรักษาอุณหภูมิเอาไว้ ไม่เพียงเท่านั้น เนยโกโก้ยังถูกนำมาใช้กับโลชันทาผิวและทาหน้า เพื่อให้มันสามารถอยู่ได้นานเป็นปีอีกด้วย เนยโกโก้ไม่ได้มีดีเพียงเท่านั้น มันยังมีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถแข็งตัวเมื่ออุณหภูมิพอเหมาะ และละลายได้เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกายประมาณ 34 องศาขึ้นไป นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ช็อกโกแลตละลายในปากนั่นเอง

ด้วยความที่เก็บรักษาได้ยาวนาน จึงทำให้บางครั้งมีคราบขาวๆบริเวณผิวช็อคโกแลตได้ แต่นั่นเป็นเพียงไขมันที่ละลายแล้วขึ้นไปเกาะที่ผิวหน้าช็อกโกแลต ไม่ใช่เชื้อราแต่อย่างใด

ด้วยลักษณะพิเศษของช็อคโกแลตที่เก็บได้นานจึงเป็นขนมที่เหมาะสำหรับการใช้ช่วยแปรสภาพวัตถุดิบในร้านที่อาจจะซื้อมาสต็อกไว้มากเกินไป จนระบายไม่ทัน และยังเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบที่มีอยู่ให้เป็นขนมรูปแบบใหม่ที่น่าทานมากกว่าเดิม ด้วยการทำช็อคโกแลตชาเขียวนั่นเอง

Two - tone Matcha Chocolate

Two – tone Matcha Chocolate เมนูช็อคโกแลตชาเขียวแสนง่าย 2 สี ขนาดพอดีคำ

  1. ละลายเนยโกโก้ 100 กรัม ค่อยๆเติมน้ำผึ้งลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ในขณะที่ช็อคโกแลตยังอุ่นอยู่
  2. ยกออกจากเตา แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกเติมผงมัทฉะ 1 ช้อนชา เกลือเล็กน้อย และกลิ่นวนิลา คนให้เป็นเนื้อเดียวกัน
  3. เทใส่พิมพ์ตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ เข้าช่องฟรีซ 10 นาที
  4. ส่วนช็อคโกแลตที่แบ่งทิ้งไว้อีกส่วนให้เติมผงโกโก้ 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วเทใส่พิมพ์ในข้อ 3 ที่เซ็ตตัวแล้ว แล้วนำเข้าช่องฟรีซอีกครั้ง เป็นอันเสร็จเรียบร้อย

Matcha Nama Chocolate Matcha Nama Chocolate 1

อีกเมนูช็อคโกลต ที่ชาวญี่ปุ่นนิยมทานกัน จะเป็นMatcha Nama Chocolate ด้วยการละลายไวท์ช็อคโกแลต 200 กรัม ให้ละลายเกือบหมด เติมผงมัทฉะ 12 กรัม ( และผงซากุระ  2 กรัม เพื่อให้ได้รสและกลิ่นของซากุระปนอยู่เล็กน้อย )  + เนยจืด 20 กรัม + วิปปิ้งครีม 70 กรัมคนให้เข้ากัน แล้วเทใส่พิมพ์ที่รองกระดาษรองอบไว้แล้ว นำไปแช่ตู้เย็น 4-5 ชั่วโมงจนเริ่มเซ็ตตัว เอาออกมาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ โรยผงชาเขียวด้านบนเล็กน้อย และตกแต่งด้วยราสเบอรี่อบแห้งชิ้นเล็กๆ หรือแปะด้วยดอกซากุระด้านบนให้เข้ากับเทศกาลก้ได้

Strawberry Matcha Chocolate Bark  ช็อคโกแลตชาเขียวสีสันสดใสด้วยสตอเบอรี่อบแห้งและ ไวท์ช็อคโกแลต วิธีทำคือ

  1. ละลายไวท์ช็อคโกแลต 280 กรัม แล้วแบ่งออกมาใส่ถ้วยเล็ก ⅓ ของส่วนผสมที่ได้ แล้วเอาส่วนที่เหลือ ใส่ผงมัทฉะลงไป 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน พยายามรีบคนในขณะที่ช็อคโกแลตยังอุ่นๆเพื่อให้ผงมัทฉะละลายได้ง่ายขึ้น
  2. เทช็อคโกแลตลงไปบนกระดาษรองอบ ใช้ตะเกียบ หรือ สเครปเปอร์ เกลี่ยใ้ห้บางเท่ากันทั้งแผ่น
  3. เทไวท์ช็อคโกแลตที่แบ่งไว้ เป็นหย่อมๆลงบนช็อคโกแลตชาเขียวในข้อ 2 ใช้ไม้จิ้มฟันหมุนวนไปมาให้เกิดลายบนช็อคโกแลตตามภาพ
  4. โรยผลไม้อบแห้งเช่น สตอเอบรี่ ราสเบอรี่ลงไปให้ทั่วๆ โรยเกลือเล็กน้อยตัดรสชาติ แช่ฟรีซ 15 นาที
  5. หลังจากแข็งได้ที่เอาออกขากกระดาษไข หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยมตามชอบ แพ็คใส่แพคเกจใสๆเพื่อให้เห็นลวดลาย สามารถตั้งขายเป็นสินค้า Grab & Go ที่แคชเชียร์หน้าร้านได้ด้วย

Matcha chocolate Bark Matcha chocolate Bark Matcha chocolate Bark

Matcha chocolate Bark 3 Matcha chocolate Bark 2

การทำ Matcha chocolate Bark ยังสามารถโรยแต่งหน้าด้วยงาดำ ถั่วพิตาชิโอ เกนไมฉะ หรือเปลี่ยนจากไวท์ช็อคโกแลต เป็นดาร์คช็อคโกแลตได้อีกด้วย เพียงแค่มีผงมัทฉะ และช็อคโกแลตเป็นส่วนผสมหลัก ก็สามารถดัดแปลงไปได้อีกหลากหลายเมนู

Matcha chocolate Bark 4 Matcha chocolate Bark 5

Matcha chocolate Bark 6 Matcha chocolate Bark 7

อีกเมนูที่จะช่วยให้เราจัดการกับวัตถุดิบที่เหลืออย่างพวกเค้กต่างๆได้ คือการเอามาทำMatcha Chocolate Ball โดยเอาเนื้อเค้กอาจจะเป็ฯบัตเตอร์เค้ก หรือเนื้อเค้กชิฟฟ่อนก็ได้ ที่เหลือจากการขายไม่หมด หรือส่วนเกินของขอบเค้กเวลาหั่นเนื้อเค้ก มาผสมรวมกันกับช็อคโกแลตที่ละลายแล้ว ปั่นให้กลายเป็นก้อนกลมๆ แล้วนำไปจุ่มเคลือบด้วยช็อคโกแลตอีกครั้ง เสียบไม้ตั้งพักไว้ แล้วโรยหน้าตกแต่งด้วยผงมัทฉะเล็กน้อย เก็บแช่ตู้เย็นได้นานถึง 3 สัปดาห์ โดยไม่ต้องทิ้งเค้กส่วนเกินนั้นไป

หากใครที่ชอบความพิเศษ ก็สามารถผสมพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์สับ อัลมอนด์สับลงไปตอนปั้นเป็นก้อนกลมได้

Matcha Chocolate Ball

ต่อไปก็จะหมดปัญหาวัตถุดิบเหลือเยอะจนหมดอายุไปโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อเรารู้จักยืดอายุของวัตถุดิบด้วยการทำเป็นช็อคโกแลต และหากเรารู้จักวิธีการเก็บรักษาวัตถุดิบแต่ละอย่างให้ถูกวิธี ก็จะสามารถยืดอายุของอาหาร รวมถึงคงรสชาติให้เหมือนวันแรกที่ซื้อมาเลย

ที่มา

https://themerrymakersisters.com/matcha-chocolate-recipe/

https://www.ohhowcivilized.com

https://www.pinterest.com/pin/843158361476790634/

บทความจาก : Fuwafuwa

Innovative Matcha Cheesecake Creations: A Delight for Green Tea Lovers

ช่วงนี้หันไปทางไหนก็จะเจอเมนูชีสเเค้กแทบจะทุกร้าน ไม่ว่าจะเป็น Baked Cheesecakeชีสเค้กแบบอบ เพื่อทำให้น้ำจากเนื้อเค้กระเหยออกบางส่วน เค้กมีรสชาติเข้มข้นและสีออกน้ำตาลไหม้ ส่วนหน้าเค้กจะยุบลงพอสมควร หรือจะเป็น นิวยอร์กชีสเค้กชีสเค้กที่อบพร้อมกับด้วยน้ำร้อน  เพื่อทำให้เนื้อเค้กยังคงความชุ่มฉ่ำหนานุ่ม และมีรสเปรี้ยวจากซาวน์ครีมที่โดนเด่น  ส่วนหน้าเค้กมีสีน้ำตาลอ่อนกำลังสวย หรือชชีสเค้กอีกแบบที่เนื้อฟูเบา แถมลายได้ในปาก ชีสเค้กสไตล์นี้ เรียกว่า ซูเฟลชีสเค้กชีสเค้กที่มีส่วนผสมของเมอแรงเนื้อฟูเบา  เมื่อนำไปอบพร้อมกับถ้วยน้ำร้อน  จะได้เนื้อเค้กฟูสวย  และมีสีเหลืองอ่อนคล้ายไข่ไก่  ดูน่ารับประทาน ไม่ว่าจะเป็นชีสเค้กแบบไหน

Matcha Basque Cheesecake

Matcha Basque Cheesecake ( ใช้แม่พิมพ์ 15 cm. ) ชีสเค้กหน้าไหม้ที่นิยมมากที่สุดในช่วงนี้ แต่น้อยคนมากๆที่จะทำชีสเค้กหน้าไหม้เป็นรสชาเขียว รอบนี้เลยเอาสูตรชีสเค้กชาเขียวหน้าไหม้มาให้คนรักขนมได้เปิดเตาลองทำกันดู

วัตถุดิบ

  1. ครีมชีส 200กรัม
  2. น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลอ้อย 70 กรัม
  3. ไข่แดง 1 ฟอง
  4. ไข่ทั้งลูก 2 ฟอง
  5. ครีมสด 115 มล.
  6. แป้งเค้ก 5 กรัม
  7. ผงชาเขียว 4 ช้อนชา

วิธีทำ

1. นำครีมชีสกับน้ำตาลมาผสมกัน คลุกจนเป็นเนื้อเดียวกัน

2. ใส่เฉพาะไข่แดง 1 ฟองลงไปแล้วคนให้เข้ากัน

3. ตอกไข่อีก 2 ใบ ตีให้เข้ากันก่อน จากนั้นค่อยๆ เทใส่ลงไปในข้อ 2 และคนต่อให้เข้ากัน

4. ใส่ครีมสดคนไปสักพัก ใส่แป้งเค้ก ผงชาเขียวแล้วคนให้เข้ากัน

5. นำกระดาษไขมาปูแม่พิมพ์ หากมีเนยให้นำเนยหรือน้ำมันพืชมาทาระหว่างแม่พิมพ์กับกระดาษไข ตอนเอาออกจะได้ไม่ติด และถ้าอยากให้เนื้อเนียนให้กรองด้วยตะแกรงค่ะ

6. ใส่ในเตาที่ มีการ pre-heated 220 องศา 20-25 นาที โดยใส่ 220 องศา 20-25 นาที หรือเกือบ 1 ชม. จนกว่าหน้าจะไหม้

7. หลังนำออกมาแล้วรอจนเย็น ใส่ตู้เย็นข้ามคืน จะทำให้อร่อยมากยิ่งขึ้น

8. สามารถตกแต่งด้วยการโรยไอซิ่งแล้วท้อปปิ้งด้วยผลไม้สดหลากสี

No Bake Chocolate Matcha Cheesecake No Bake Chocolate Matcha Cheesecake

No Bake Chocolate Matcha Cheesecake( หลังทำเสร็จแล้วแนะนำให้นำขนมเข้าตู้เย็นไว้ตลอดเวลา ) เมนูนี้สามารตกแต่งจัดเสิร์ฟได้หลายแบบตามความชอบและสไตล์ของที่ร้าน  เป็นชีสเค้กแบบไม่อบ ที่ง่ายและทำให้คนไม่มีเตาอบที่บ้านสามารถทานขนมอร่อยๆได้ด้วยฝีมือตัวเอง

1. ส่วนผสมฐานขนม

ข้าวโอ้ต 100 กรัม

อินทผาลัม ½ ถ้วย

ผงโกโก้ 40 กรัม

กลิ่นวนิลา ½ ช้อนชา

เกลือ เล็กน้อย

น้ำมันมะพร้าว ½ ถ้วย

**ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วกรุลงพิมพ์

—————

2. ส่วนด้านบน

เม็ดมะม่วงหิพานต์ และ แมคคาดีเมียอย่างละ 1 ถ้วย

อะกาเว่ไซรัป ⅔  ถ้วย

นม 1/4 ถ้วย

ผงชาเขียว 1  ช้อนชา

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

เกลือ เล็กน้อย

น้ำมันมะพร้าว ¼  ถ้วย

**ผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันด้วยเครื่องปั่นอาหารแล้วเททับฐานขนม เข้าตู้เย็น 2-3 ชั่วโมง หรือจนกว่าจะเซ็ตตัว ตกแต่งหน้าขนมด้วยผลไม้ตามชอบ

หากใครชอบสไตล์เปรี้ยวสดชื่นสามารถเพิ่มปริมาณน้ำมะนาวลงไปได้ หรือดัดแปลงให้ทำด้วยพิมพ์ที่ขนาดเล็กลง เพื่อให้ไม่ซ้ำกับร้านอื่นก็น่ารกไปอีกแบบ

No Bake Chocolate Matcha Cheesecake

หรือหากจะเพิ่มความครีเอทให้กับชีสเค้กไปอีกแบบสามารถทำได้ด้วยการเพิ่มชั้น layer ของขนมที่มีสีและรสชาติที่แตกต่างตัดกัน อย่างราสเบอรี่ ด้วยการใช้ราสเบอรี่แช่แข็ง  100 กรัม เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 120 กรัม เมเปิ้ลไซรัป 60 ml. นมอัลมอนด์ 2 ช้อนโต๊ะ น้ำเลม่อน 2 ช้อนชา เนยมะพร้าว 100 กรัม ปั่นรวมกัน เทลงไปก่อนเป็น 1 layer แล้วค่อยนำส่วน

No Bake Chocolate Matcha Cheesecake

ส่วนใครที่เป็นคนแพ้อาหารกลุ่ม นม ไข่ เนย หรือทานวีแกน หรืออยากทานขนมี่ไม่อ้วนจนเกินไป Vegan matcha cheesecakeเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คนเลิฟมัทฉะจะต้องติดใจ

Vegan matcha cheesecake Vegan matcha cheesecake

วัตถุดิบส่วนฐานที่เป็นแป้งสีน้ำตาล

ข้าวโอ้ต 1 ถ้วย

มะพร้าวคั่วชิ้นเล็ก ¼ ถ้วย

แป้งอัลมอนด์ ¾ ถ้วย

ผงซินนาม่อน ½ ช้อนชา

เกลือ ¼ ช้อนชา

น้ำมันมะพร้าว ¼ ถ้วย

อะกาเว่ไซรัป 3 ช้อนโต๊ะ

** นำทั้งหมดผัดในกระทะไฟกลางจนเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปปั่นรวมกันให้เป็นนื้อเดียว แล้วตัดกระดาษไขรองอบเป็นวงกลมวางไปในพิมพ์ กรุส่วนลงพิมพ์ขนาด เส้นผ่านศก 7 นิ้ว ให้หน้าประมาณ ¼ นิ้ว อบไฟ 170 องศา 10 นาที หรือจนกระทั่งเป็นสีเหลืองทอง แล้วนำออกมาพักให้เย็น

ส่วนผสมที่เป็นไส้หน้าขนม

เม็ดมะม่วงหิมพานต์ 1 ½ ถ้วย

นมมะพร้าว ½ ถ้วย

อะกาเว่ไซรัป ⅓ ถ้วย

โยเกิร์ตมะพร้าว ¼ ถ้วย

น้ำมะนาว 1 ช้อนชา

กลินวนืลา 1 ช้อนชาเกลือ ¼ ช้อนชา

ผงชาเขียว 4 ช้อนชา

**ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน หากใครที่ชอบชาเขียวเข้มข้น สามารถเพิ่มปริมาณผงชาเขียวได้อีก 1 ช้อนชา เทส่วนส่วนที่ปั้นลงในฐานชีสเค้กที่ทำเตรียมไว้ แล้วเข้าช่องฟรีซประมาณ 1-2 ชั่วโมงให้ขนมเซ็ตตัว แนะนำให้นำออกมาตั้งในอุณหภูมิห้อง 10-15 นาทีก่อนตัดเสิร์ฟ สามารถตกแต่งท้อปปิ้งด้านบนด้วยดอกไม้ ผลไม้ตามชอบได้

matcha cheesecake matcha cheesecake

ชีสเค้กยังสามารถดัดแปลงได้อีกหลายแบบ เพียงแค่เปลี่ยนพิมพ์จากกลมๆที่ทุกร้านชอบใช้เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมบ้าง หรือใช้ผลไม้ตัวอื่นนอกจาสตอเบอรี่ที่หลายร้านนิยมใช้กันมาทานคู่กัน และยังสามารถดัดแปลงเป็นชีสเค้กชาโฮจิฉะได้อีก คนเลิฟมัทฉะทั้งที ต้องลองเข้าครัวปรับสูตรชีสเค้กปกติที่เคยทำ ให้ใส่ผงมัทฉะลงไปตามเทรนด์ช่วงนี้กัน!!

ที่มา

https://www.nathaliesader.com/blog/2018/09/07/raw-matcha-chocolate-cheesecake

https://www.marumura.com/green-tea-basque-burnt-cheesecake/

https://www.twospoons.ca/vegan-matcha-cheesecake/

บทความจาก : Fuwafuwa