Matcha Cookies: A Simple Yet Extraordinary Delight

หากพูดถึงคุ้กกี้ ขนมเบเกอรี่พื้นฐานที่สุดที่ทำได้ง่าย เห็นได้จากสถานการณ์ช่วงนี้ที่หลายคนเริ่มเปิดเตาอบขนมขายกันจนลูกค้าเองก็เลือกไม่ถูกว่าจะทานขนมจากร้านไหนดี ดังนั้น เพื่อให้เรามีร้านขนมที่แตกต่างจากร้านอื่น การใส่ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ลงไปจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในทุกๆขั้นตอน

เริ่มจากการทำคุ้กกี้เนยชาเขียวปกติที่สามารถสร้างความแตกต่างจากร้านอื่นได้ง่ายๆ เพียงเพิ่มลวดลายด้วยการเคลือบช็อคโกแลต หรือไวท์ช็อคโกแลต  โรยด้วยผงชาเขียวอีกเล็กน้อย หรือโรยช็อคโกแลตชิพ แต่งด้วยดอกไม้ที่รับประทานได้ เป็นการสร้างความแตกต่างที่ทำให้คุ้กกี้ชาเขียวเพลนๆดูมี Value มากขึ้น

matcha cookie

นอกจากการเพิ่มท้อปปิ้งบนคุ้กกี้ชาเขียวเพลนๆแล้ว การใส่ส่วนผสมเพิ่มความหลากสีให้คุ้กกี้ 1 ชิ้น ก็เป็นอีกไอเดียที่มือใหม่บางคนไม่กล้าทำ ด้วยเหตุผลที่ว่ากลัวรสชาติและสีที่ออกมาไม่สวยและอร่อย จึงเน้นทำแยกรสชาติไปเลย แต่ถ้าใครที่พอมีฝีมืออยู่แล้ว ก็แนะนำให้ผสมหลายๆรสชาติ ไว้ด้วยกัน จะยิ่งทำให้ขนมชิ้นนั้นมีมิติมากขึ้น

นอกจากนี้หากใครมีฝีมือในการปั้นก็ยังสามารถทำคุ้กกี้ชาเขียวเป็นรูปทรงต่างๆตามธรรมชาติ อย่างใบไม้ หรือรูปสัตว์เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าแม่และเด็กมากขึ้น

matcha cookie matcha cookie matcha cookie

นอกจากการทำคุ้กกี้เป็นลวดลายต่างๆแล้ว อีกสไตล์การทำคุ้กกี้ที่น่าสนใจ คือ การทำ โมจิมัทฉะคุ้กกี้

คุ้กกี้ชาเขียวสอดไส้โมจินุ่มหนึ่บ เป็นคุ้กกี้สไตล์ญี่ปุ่น ที่ในไทยยังไม่มีร้านไหนทำ หากใครสนใจลองเปิดเตาทำเมนูนี้ มาดูสูตรไปพร้อมๆกันเลย……

เริ่มจากใช้แป้งข้าวเหนียว 80 กรัม ผสมกับน้ำตาล 80 กรัม และน้ำ 90 กรัม คนให้เข้ากัน แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ 600 วัตต์ เป็นเวลา 1.20 นาที แล้วเอาออกมาคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำเข้าไมโครเวฟที่ 600 วัตต์ อีก 10 – 20 วินาที แล้วเอาออกมาคน ปั้นม้วนไว้เป็นทรงกระบอกเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว  ตัดแบ่งพักไว้ให้แต่ละชิ้นหนาประมาณ 1 ซม.

ขั้นต่อไป ทำคุ้กกี้ชาเขียวได้ตามสไตล์ที่ทางร้านชอบ เพียงแค่ช่วงที่ปั้นโดว์คุ้กกี้เอาโมจิที่ทำไว้แล้วใส่ไว้ตรงกลาง แล้วเข้าอบได้ตามปกติเลยเพราะแป้งโมจิสุกแล้ว ส่วนเทคนิคเพิ่มเติมที่แนะนำคือ คุ้กกี้ชาเขียวนี้ควรใช้น้ำตาลทรายแดงในการทำจะอร่อยยิ่งขึ้น

ส่วนใครที่อยากแตกต่างอีกวิธีคือการทำคุ้กกี้โอริโอ้แต่ใส่ไส้ครีมชาเขียวแทน ก็เป็นอีกเมนูที่น่าทานและทำไม่ยาก เพียงแค่ใช้สูตรคุ้กกิ้ที่ทางร้านทำอยู่แล้วมาดัดแปลงเพิ่มเล็กน้อย

moji matcha cookie คุ้กกี้โอริโอ้

นอกจากการให้ความสำคัญกับตัวสินค้าแล้ว แพคเกจในการใส่ขนมก็ควรแตกต่างและโดเด่นไม่ซ้ำใครเช่นกัน ร้านส่วนใหญ่นิยมใส่กระป๋องพลาสติกง่ายๆ หรือถุงใสแล้วติดสติกเกอร์โลโก้ร้าน เพราะเป็นต้นทุนแพคเกตที่ราคาประหยัดที่สุด แต่ถ้าเราเพิ่มลูกเล่นลงไปในคุ้กกี้ แต่ถ้าเราเพิ่มกิมมิคด้วยการติดโบว์ หรือข้อความน่ารักๆเหมาะกับการเป็นของฝาก ก็ช่วยเพิ่ม value ทำให้คนอยากซื้อให้กันมากขึ้น

cookie package cookie package

เราจะเห็นที่ญี่ปุ่นเวลาเราไปสถานที่ต่างๆ จะมีการทำขนมแล้วตีตราสถานที่นั้นๆ อย่างเช่นที่สวนสัตว์ หรืออะควาเรี่ยม ก็จะมีการทำคุ้กกี้เป็ฯลวดลายสัตว์เรียงแพ็คลงกล่องอย่างสวยงาม ทำให้คนที่ไปเที่ยวสถานที่นั้นๆ เห็นแล้วอยากซื้อกลับไปเป็นของฝาก

cookie box

การจัดชุดเสิร์ฟอีกวิธีที่ไม่ควรพลาด คือ กล่องของขวัญบ็อคเซ็ต สำหรับทุกเทศกาล เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆที่แม้ค้าออนไลน์ไม่ควรลืมที่จะคำนึงถึงตรงนี้ เพราะลูกค้ายุคนี้เน้นดูที่แพคเกจก่อนเป็นอย่างแรก เพราะฉะนั้น ถ้าขนมเราอร่อยแล้วอย่าลืมที่จะหาแพคเกจจิ้งเก๋ๆ มาเสิร์ฟขนมให้ลูกค้า ไปสร้างความประทับใจกับผู้รับอีกต่อนึง

cookie box set cookie box set cookie box set

ที่มา

https://raineorshinecakery.wordpress.com/recipes/cookies/matcha-moochie/

https://veggiekinsblog.com/2019/05/25/matcha-monstera-cookies/

https://www.pinterest.com/pin/811562795335676576/

บทความจาก : Fuwafuwa

เลือกใช้ Pantone สีชายังไงให้เป๊ะ

ทำไมเราจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการทำสื่อและการถ่ายภาพเมนูของที่ร้านมากๆ  ???

เพราะ สี คือ ส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในงานออกแบบ เพราะสีจะกำหนดความรู้สึกและสร้างอารมณ์ของผู้รับชม ไม่ว่าจะเป็นสีโทนเดียว(monochromatic), สดใส(bright), สดชื่น(cool), อบอุ่น(warm), หรือการเติมเต็มเฉดสีที่หลากหลายให้ทำหน้าที่ที่แตกต่างกันในหนึ่งชิ้นงานออกแบบ

tea pantone tea pantone

ชาแต่ละชนิด ให้สีที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีเก็บเกี่ยวและผลิต สเน่ห์ของสีชาที่ไม่ฉูดฉาด ดูแล้วสบายตาตามธรรมชาติ เช่น มัทฉะ ให้สีเขียวเข้ม ชาโฮจิฉะให้สีน้ำตาลแดงที่เกิดจากการนำชาเขียวไปคั่ว หรือชาอู่หลงที่ค่อนออกไปทางสีเหลืองทอง สีเหล่านี้ หากมาอยู่ในโปสเตอร์ หรือแพคเกจของร้าน การดึงจุดเด่นและเลือกใช้คู่สีที่เหมาะกัน เลือกใช้ชุดสี Pantone ที่ช่วยกันส่งเสริมให้ภาพดูเต็ม จะช่วยทำให้ภาพนั้นๆดูแล้วสบายตา ดึงดูดได้ง่ายขึ้น และที่สำคัญหากมีชุดสีในใจจะช่วยให้คุณบรีฟงานกราฟฟิคดีไซน์ที่ออกแบบไม่ว่าจะเป็นเมนูชา แพคเกจจิ้งของที่ร้าน เข้าใจไปในทิศทางเดียวกันมากขึ้น

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าPantone ที่ว่าหมายถึงอะไร ??

Pantone คือ ชื่อบริษัทที่ทำธุรกิจการพิมพ์และการออกแบบในสหรัฐอเมริกา หลายคนจะรู้จักกันในนามผู้ที่กำหนดมาตรฐานการเทียบสีที่เรียกว่า Pantone Matching System (PMS) เพื่อใช้ในโรงพิมพ์ทั่วโลก

เวลาเราพิมพ์โปสเตอร์ ทำฉลากออกมา หรือหาคู่สีสำหรับการทำสื่อของผลิตภัณฑ์ชาเขียว เชื่อว่าหลายคนคงเจอปัญหาที่ว่าเลือกยังไง สีชาก็เพี้ยนไม่ตรงตามต้องการอยู่ดี การมี Pantone ไว้เทียบสีที่ชอบสักชุด ก็จะช่วยให้ได้งานที่เป๊ะมากขึ้น เพราะบางทีหากเราดูงานพิมพ์จากหน้าจอ แต่ละหน้าจอ ความสว่างจะไม่เท่ากัน สีอาจจะเพี้ยนได้ง่ายซึ่งการเลือกใช้สีนี้ สามารถนำเทคนิคไปปรับกับการจัดเซ็ตองค์ประกอบภาพเพื่อถ่ายภาพได้เช่นเดียยวกัน

ประเด็นแรกที่ต้องคำนึงในการเลือกใช้สีคือ สีที่เยอะเกินไป อาจจะทำให้งานของดูสับสน ไม่ดึงดูดเท่าที่ควร วิธีที่คนส่วนมากแนะนำกันคือ เลือกใช้สีสัก 2 – 3 สีในงานออกแบบนั้นๆ ใช้เทคนิคประสว่างสีให้เข้มอ่อนจาก 2-3 สีนั้น จะทำให้งานชิ้นนั้นมีมิติมากขึ้น ลองใช้ color wheel เลือกดูได้เลย รับรองว่างานของคุณจะออกมาดูสะอาด สำหรับพื้นที่ว่างลองเพิ่ม  textures ลองไปสักนิด จะได้ออกมาไม่เรียบจนเกินไป หากเน้นขายเมนูชาโฮจิฉะ ที่มีสีน้ำตาลของชา ก็ควรใช้สีโทนส้ม คู่กันและปรับความเข้มอ่อนของสีชาลง

tea pantone tea pantone

เทคนิคการเลือกสีหลัก แล้วหาสีที่เข้าคู่กันลองคิดว่างานที่กำลังออกแบบเป็นงานอะไร เป็นกีฬา, แฟชั่น, ความงาม, หรือธุรกิจ เพราะอารมณ์ของแต่ละงานก็เลือกใช้สีที่ไม่เหมือนกัน อยากจะให้อารมณ์งานออกมาอ่อนนุ่มหรือรุนแรง แล้วลองใส่รายละเอียดเอาไปอีกนิด จะไดู้่สีที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างเช่น ชาเขียว สีหลักคือสีเขียว สีที่เข้าคู่กันได้คือ สีชมพู ที่จะช่วยให้ภาพดูอ่อนโยน เข้าถึงได้ง่าย เป็นมิตรต่อผู้บริโภค หรือถ้าเป็นสีชาโทนส้มน้ำตาล ก็สามารถนำสีชมพูมาใช้คู่ได้เช่นกัน

tea pantone tea pantone

หรือหากใครคิดไม่ออกจริงๆ ลองเข้า Pinterest แหล่งรวบรวมงานออกแบบมากมาย ที่จะทำให้ได้ไอเดียและกลุ่มโทนสีที่มีการจับคู่ไว้ให้แล้วเพื่อมาใช้ในการจัดองค์ประกอบภาพถ่ายรูปสินค้า และใน Pinterest ก็จะมีค่าสีแสดงอยู่ ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้นเพราะเราไม่ต้องมานั่งเทียบเองว่า ชาสีเขียว ต้องใช้เขียวแบบไหน แค่พิมพ์ค่าสีนั้นลงๆไปก็จะได้สีชาที่เป๊ะถูกต้องนั่นเองหรือถ้าไม่แน่ใจว่าต้องใช้ Code สีไหน อีกวิธี ทีจะช่วยให้ได้สีชาที่ใกล้เคียงกับของจริงมากที่สุด คือ การดูดสีเอาจากภาพที่มีสีชาที่เราต้องการ 

เราจึงรวบรวมตัวอย่างโทนสีที่นิยมใช้กันในการทำ Artwork มาให้คนรักชาเขียวเป็นไอเดียในการใช้งานที่ง่ายและสะดวกขึ้น

tea pantone tea pantone tea pantone

tea pantone tea pantone tea pantone tea pantone

ที่มา

https://colorpalettes.net/wp-content/uploads/2014/08/cvetovaya-palitra-478.jpg

http://color.romanuke.com/tsvetovaya-palitra-2164/

บทความจาก : Fuwafuwa

How Tea Leaf Size Influences Quality and Flavor?

ใบชาที่เราเอามาชงดื่มกันทุกวันนี้ จริงๆแล้วมีหลายเกรดมากๆ ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการผลิตและเก็บเกี่ยวใบชาที่แตกต่างกัน และมีหลากหลายชนิดให้เราได้เลือก ดังนั้นเพื่อเป็นการควบคุมคุณภาพของชา จึงมีการแบ่งเกรด ของใบชา โดยพิจารณาจากคุณภาพของใบชาที่ผลิตออกมาจากโรงงานหรือไร่ชาในแต่ละที่ การแบ่งเกรด แบ่งเป็น 3 เกรด ดังนี้

ขนาดใบชา ขนาดใบชา

  1. เกรดใบชาเต็มใบ (Whole Tea leaf)โดยทั่วไปชาเต็มใบถือว่าเป็นชาเกรดดี แบ่งได้ 4 เกรดย่อย คือ ใบอ่อน คือ ยอดใบอ่อนชั้นบนสุดของชาเต็มใบ ถือว่าเป็นชาที่ดีที่สุดใบชาคู่แรก  เป็นเกรดรองลงมา ขนาดของใบใหญ่ขึ้นมาหน่อยPekoeชาเกรดนี้ ใบจะมีลักษณะหนาและบิดเกลียว Pure Souchongมีลักษณะใบใหญ่ ค่อนข้างเหนียวและหยาบ เวลาผลิตเครื่องจักรจะปั้นใบชาเป็นก้อนกลมๆ เวลาชงก้อนชานี้จะขยายตัวออกให้เห็นลักษณะใบอย่างชัดเจน
  1. เกรดใบชาร่วง (Broken Tea Leaf) เป็นใบชาที่ไม่ผ่านการคัดเกรดตาม 4 ขั้นตอนแรก ผู้ผลิตก็จะนำใบชาที่เหลือมาผ่านกรรมวิธี หมัก คั่ว ตามกรรมวิธีของแต่ละโรงงาน เป็นชาที่เหลือจากการคัดเกรด โดยการนำเศษที่เหลือมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปรุงแต่งเพื่อผลิตขั้นตอนต่อไป โดยคุณสมบัติของชาผง คือ เวลาชงด้วยน้ำร้อนจะขับสีออกเร็วมาก จึงเป็นที่นิยมของผู้ดื่มชา กลิ่น สี และรสชาติขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ราคา จึงเหมาะสมสำหรับคนทั่วไป

Fine Leaf Teas

  1. เกรดใบชาผง (Fine Leaf Teas) เป็นชาที่เหลือจากการคัดเกรด โดยการนำเศษที่เหลือมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปปรุงแต่งเพื่อผลิตขั้นตอนต่อไป โดยคุณสมบัติของชาผง คือ เวลาชงด้วยน้ำร้อนจะขับสีออกเร็วมาก จึงเป็นที่นิยมของผู้ดื่ม กลิ่น สี และรสชาติขึ้นอยู่กับผู้ผลิต ราคา ก็เหมาะสมสำหรับคนทั่วไป

จะเห็นได้ว่าขนาดของใบชา คุณภาพทางรสชาติของใบชาไม่ได้ขึ้นกับขนาดของใบชาอย่างเดียว แต่ขึ่นอยู่กับลักษณะของใบชาว่าเป็นส่วนยอดใบชา หรือเป็นส่วนไหนของต้นชส ใบชาที่ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าจะมีรสชาติที่ดีกว่า หรือแม้แต่ยอดชา ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสุดยอดใบชาคุณภาพดี หากผ่านมือผู้ผลิตชาที่ไม่ดี  รสชาติชาก็อาจจะดร็อปลงได้เช่นกัน เพราะจริงๆแล้วขนาดของใบ ไม่มีการแยกคุณภาพหรือสารอาหารใดๆ แต่จะเกิดจากใบชาที่ขนาดใหญ่จะทำให้เกิดชาที่มีความเข้มข้นน้อยลงซึ่งสาเหตุมาจากพื้นที่ผิวสัมผัสที่มากกว่าเมื่อสัมผัสกับน้ำและทำให้ประสิทธิภาพในการสกัดลดลงนั่นเอง

การเก็บเกี่ยวชา

จุดสำคัญจะอยู่ที่การเก็บเกี่ยวชาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการผลิตชาให้ได้คุณภาพดีนั้น ต้องเริ่มจากใบชาสดที่มีคุณภาพ ก่อนซึ่งก็คือ ใบชาที่เก็บจากยอดชาที่ประกอบด้วย 1 ยอด กับ 2 ใบ การเก็บชาจะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤศจิกายน โดยเฉลี่ยจะเก็บยอดชา 10 วันต่อครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวยอดชาจะอยู่ประมาณ 5.00-14.00 น. การเก็บยอดชาจะต้องไม่อัดแน่นในตะกร้า หรือกระสอบเพราะจะทำให้ยอดชาชํ้าและคุณภาพใบชาเสียได้ เนื่องจากความร้อนที่เกิดขึ้นจากการหายใจของใบชา หลังจาเก็บเกี่ยวแล้ว ควรรีบนำ ส่งโรงงานผลิตภายใน 3-4 ชั่วโมง

วิธีการเก็บรักษาใบชา ใบชาจะต้องเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพื่อจะคงไว้ซึ่งกลิ่น สีและรสชาติ ภาชนะที่จะใช้บรรจุใบชาจะต้องแห้งและปราศจากกลิ่น อากาศเข้าไม่ได้ สิ่งสำคัญที่มีผลกระทบต่อคุณภาพใบชา คือ ความชื้น อุณหภูมิ และกลิ่น หากกระบวนการผลิต เก็บรักษาที่ไม่ได้มาตรฐาน ขนาดของใบชาจะเล็กจะใหญ่ หรือเก็บจากยอดชาหรือไม่ ก็ทำให้ชาเสื่อมคุณภาพอยู่ดี

วิธีการเก็บรักษาใบชา

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/491596115580846654/

http://www.taotealeaf.com/da-hong-pao-oolong-tea-premium/

บทความ : Fuwafuwa

Understanding the Difference Between Teapots

ชามีบทบาทในพิธีกรรมและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ในพิธีกรรมและกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ในหลายวัฒนธรรม การชงชาไม่ได้ชงเพื่อรสชาติเท่านั้น แต่การชงชาได้เป็นการแสดงออกถึงศิลปะความงามอีกประเภทหนึ่ง จึงส่งผลให้การเลือกใช้กาชาของแต่ละคนอาจจะลืมนึกถึงประโยชน์ในการใช้งานไป

เวลาเลือกกาน้ำชา บางคนเลือกเพียงจากความสวยงาม และใช้งานถนัดมือ แต่ความจริงแล้ว เราจำเป็นต้องคำนึงว่ากานั้นๆจะใช้ชงชาใบหรือชาซอง หรือใช้แค่ใส่น้ำร้อนเทลงถ้วยชาวังสำหรับตีผงมัทฉะ นอกจากวัตถุประสงค์ในการใช้แล้ว จะเห็นว่า กาน้ำชา สามารถทำได้จากวัสดุที่หลากหลายเช่นกัน ทั้ง หิน ดินเผา แก้ว เหล็กหล่อ เงิน และสเตนเลส วัสดุแต่ละประเภทมีผลต่อรสชาติของชาและก็เหมาะกับการชงชาแต่ละประเภทแตกต่างกันไป

กาน้ำชา กาน้ำชา

หากต้องการชงชาใบตะกร้ากรองชาที่มากับกาน้ำชาก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่ต้องดูความถี่ของตะแกรงให้ดี ไม่เช่นนั้น อาจจะมีใบชาเล็ดลอดออกมาตอนเท ทำให้เสียรสชาติการดื่มชาได้

หากเป็นกาชา “เครื่องกระเบื้อง” เป็นเครื่องปั้นดินเผาสีขาวขุ่นคุณภาพดีที่ผ่านการเผาที่อุณหภูมิสูง กาน้ำชาเครื่องกระเบื้องใช้ได้ดีกับชารสอ่อน เช่น ชาเขียว ชาอู่หลง และชาดำอ่อนๆ ยอมชาดาร์จีลิง แต่ถ้าเป็น กาชา”เหล็กหล่อ”เหล็กหล่อถูกใช้เพื่อทำภาชนะสำหรับต้มน้ำด้วยกองไฟเพราะเหล็กจะร้อนได้เร็วและรักษาความร้อนไว้ได้ดีเมื่อมีอุณหภูมิตามที่ต้องการแล้ว การใช้กาน้ำชาแบบเหล็กมาหล่อต้มชาเกิดขึ้นในช่วงที่เซนฉะเริ่มได้รับความนิยมในญี่ปุ่น

โดยกาน้ำชาเหล็กหล่อมีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับกาน้ำชาดินเผาแบบไม่เคลือบ เพราะมันจะดูดซับรสชาติบางส่วนของชาไว้ดังนั้นจึงไม่ควรใช้น้ำยาล้างจานล้างกาน้ำชาเหล็กหล่อ และควรทำให้แห้งสนิทเพื่อป้องกันสนิม

กาชาอีกประเภทที่เห็นทั่วไปคือ กาชา “แก้ว” วัสดุที่ไม่ค่อยจะเหมาะแก่การทำกาน้ำชาเพราะมันเก็บกักความร้อนได้น้อย เปื้อนง่าย และเปราะบาง เหมาะสำหรับการชงชาที่มีความสวยงามโดยเฉพาะชาดอกไม้บานเพราะเราจะเห็นใบชาที่กำลังคลี่ออกอย่างสวยงาม นอกจากนี้คุณยังรู้ด้วยว่าชาของคุณเข้มพอหรือยัง และกาน้ำชาแก้วมักจะมาพร้อมกับเตาอุ่นที่ให้ใส่เทียนเข้าไปด้านล่างเพื่อรักษาให้ชาอุ่น

กาชา “ดินเหนียว”  ยิ่งอุณหภูมิที่สูงเท่าไหร่ เครื่องปั้นดินเผาที่ได้ออกมาก็จะแข็งแรงขึ้นเท่านั้น กาชาประเภทนี้จะสามารถเก็บรักษาความร้อนได้ดีกว่าประเภทอื่น โดยธรรมชาติแล้วเครื่องปั้นดินเผาแบบไม่เคลือบที่ทำจากดินเหนียวที่มีรูพรุนช่วยให้การน้ำชาดูดซึมกลิ่นและรสชาติของชาในกาได้ดียิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามคำแนะนำสำหรับการใช้เครื่องปั้นดินเผาที่ไม่เคลือบ คือ ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาล้างจานเพราะมันจะดูดเอารสน้ำยาล้างจานไว้ ควรล้างด้วยน้ำเย็นจนแน่ใจว่าไม่มีเศษใบชาเหลืออยู่และนำไปตากให้แห้ง

กาน้ำชา กาน้ำชา

ส่วนกาน้ำชาที่ใช้ในพิธีชงชาของญี่ปุ่นที่ถูกเลือกมาเพื่อสะท้อนช่วงเวลาของปีหรือแต่ละโอกาส โดยการออกแบบตัวกาน้ำชาและอุปกรณ์ชงชาอื่นๆ จะสื่อถึงฤดูที่กำลังเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ผลิไปเป็นฤดูใบไม้ร่วงนั่นเอง

อย่างไรก็ตามการชงชาที่อร่อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับกาน้ำชาเพียงอย่างเดียว จริงหูที่กาน้ำชาที่ดีต้องน้ำหนักเบา เก็บความร้อน รินน้ำแล้วไม่หยด เมื่อเอียงกากลับมาน้ำต้องหยุดทันที ไม่ไหลเปียกโต๊ะ และฝากาต้องแน่นหนาพอให้เมื่อรินน้ำชาแล้วฝาไม่หลุดออกมา กาน้ำชาเซรามิกบางรุ่นหนักมาก ทำให้ควบคุมปริมาณน้ำที่เทออกมาได้ยาก แถมยังไม่เก็บความร้อน

อย่างระดับอุณหภูมิของน้ำร้อนเป็นสิ่งสำคัญมากในการชงชา ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับชาแต่ละชนิด ถ้าเป็น ชาขาวหรือ ชาเขียวที่ต้องการความสดใหม่ ควรใช้น้ำร้อนประมาณ 85 องศาเซลเซียส ชาอูหลงประมาณ 90 องศาเซลเซียส ชาแดงหรือ ชาพูเอ่อร์ประมาณ 100 องศาเซลเซียส

กาน้ำชา

อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ ควรอุ่นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชงชาก่อนด้วยการลวกน้ำร้อน รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะต่อให้ต้มน้ำร้อนได้อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับชงชาแล้ว แต่ถ้ากาน้ำชาและแก้วที่ใช้ยังเย็นอยู่ เมื่อเทน้ำร้อนลงไปอุณหภูมิของน้ำก็จะลดลง ทำให้ดึงรสชาติชาออกมาได้ไม่เต็มที่นั่นเอง

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/337066353331099228/

บทความจาก : Fuwafuwa

“ชาเขียว“ ของขวัญทุกเทศกาลของคนญี่ปุ่น

ชาวญี่ปุ่นมักจะมีของฝากเล็กๆน้อยๆถือติดไม้ติดมือมอบให้กันอยู่เรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นโอกาไหนๆ เช่น หากต้องเดินทางไปต่างถิ่นหรือแม้กระทั่งทริปเล็กๆ โดยทั่วไปก็จะนิยมซื้อของฝาก หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า “โอมิยาเกะ”มาให้ โดยของฝากมีทั้งเป็นห่อคุกกี้น่ารักๆ ช็อกโกแลต ชาเขียว หรือของหวานญี่ปุ่นชนิดต่างๆ

โอมิยาเกะ

ไม่เพียงแค่การซื้อของฝากจากการไปท่องเที่ยว แต่การมอบของขวัญให้แก่กันทได้เป็นวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกลงไปของคนญี่ปุ่น อย่างเช่น วันปีใหญ่ แต่งงาน คลอดบุตร ฯลฯ ซึ่ง”ชา”ถือว่าเป็นของขวัญที่นิยมมากๆเลยก็ว่าได้ การมอบชาเขียวให้กันนั้นก็จะแฝงความหมายที่แตกต่างตามวาระโอกาสที่ให้ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความยินดี การทักทาย หรือแสดงความขอบคุณ เพราะ”ชา”เป็นสิ่งที่ชาวญี่ปุ่นดื่มกันทุกวันอยู่แล้ว นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ให้ความรู้สึกถึงความมีคุณภาพ มีราคา ยิ่งส่งมอบให้กันเป็นชุด gift set หรือ ห่อด้วยผ้าฟุโรชิกิด้วยแล้ว ยิ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กลายเป็นเซ็ตชาที่ถูกใจผู้รับแน่นอน อีกเหตุผลที่นิยมให้ชาเป็นของขวัญ เพราะนอกจากนั้นยังเก็บรักษาได้นาน และมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป ทานได้ทุกเพศทุกวัย ชายังแฝงความหมายที่ดีและเป็นมงคลที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ด้วย เช่น

ฉะเมียว (茶寿)

  • คำว่า ฉะเมียว (茶寿)ที่สะกดด้วยตัว茶ที่แปลว่า ชา อยู่ในคำนั้นด้วย ฉะเมียว ในความหมายคนญี่ปุ่น หมายถึง “การแสดงความยินดีฉลองอายุครบ 108 ปี” การมอบชาเป็นของขวัญจึงถือเป็นการอวยพรขอให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อายุยืนยาว
  • ในงานแต่งงานของคนญี่ปุ่นบางพื้นที่ ได้แก่ ภูมิภาคคิวชู รวมถึง จังหวัดนีกาตะและฟุคุชิมะ จะมีการมอบ “ชุดชา”เป็นของขวัญสำหรับงานหมั้น เพราะต้นชามีอายุยืนยาว หยั่งรากลึกลงในดิน ยากที่จะถอนแล้วนำไปปลูกใหม่อีกครั้ง แสดงถึง “การแต่งงานออกเรือนของเจ้าสาวเพียงครั้งเดียว และยึดมั่นในคู่ครองไปตลอดชีวิต”

ชุดชา ชุดชา

  • ในวันขึ้นปีใหม่ของญี่ปุ่นจะมีธรรมเนียมการดื่มชาไดฟุคุฉะ (大福茶) เป็นชาที่ดื่มเพื่อขอให้ในปีนี้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ และโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ โดยเฉพาะที่เกียวโต สืบเนื่องมาจากในสมัยก่อนที่มีนักบวชเอาชาไปแจกให้ผู้ป่วยติดเชื้อดื่ม และอาการหายเป็นปกติ การรับประทานชุดอาหารโอเซจิ (おせち料理) ในวันขึ้นปีใหม่ พร้อมดื่มไดฟุคุฉะกับบ๊วยแห้งและสาหร่ายคอมบุ วัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมายาวนาน
  • คำว่า เมเดไต (めでたい) ที่แปลว่า “น่ายินดี” ในภาษาญี่ปุ่น พ้องเสียงกับคำว่า เมเดไต (芽出たい) ที่แปลว่า “ต้องการแตกหน่อ(ของยอดชา)” ดังนั้นการมอบชาเป็นของขวัญจึงมีความเป็นสิริมงคลที่คนญี่ปุ่นเชื่อว่า หมายถึง การแสดงความยินดีต่อผู้รับนั่นเอง

เมเดไต (めでたい)

อย่างไรก็ตาม บางตำรากล่าวว่ากชาเป็นเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นรับมาจากประเทศจีนพร้อมกับศาสนาพุทธ จึงให้ภาพพจน์ที่เกี่ยวข้องกับพิธีทางพุทธศาสนา ซี่งส่วนมากจะเป็นพิธีศพ จึงควรหลีกเลี่ยงที่จะให้ชาเป็นของขวัญ แต่อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ความเชื่อนั้นก็ได้หายไป และยังมีความนิยมส่งชินชะ (新茶)ซึ่งเป็นชาแรกของฤดูที่ทำจากยอดอ่อนที่เก็บได้ครั้งแรก ให้เป็นของขวัญตามฤดูกาลมากขึ้น

ชินชะ (新茶)

นอกจากโอกาสมงคลต่างๆ ที่เราส่งมอบชากันเป็นของขวัญแล้ว ยังมีวัฒนธรรมการดื่มชาอื่นๆที่คนญี่ปุ่นจะดื่มกันอีก เช่น

  • ซากุระยุ (桜湯)ที่ได้จากการชงน้ำร้อนกับกลีบดอกซากุระที่ปรุงรสด้วยเกลือ แทนชาเขียว นิยมดื่มในโอกาสมงคล คู่กับขนมฮิกาชิ เป็นขนมแห้ง ชิ้นเล็กมีลวดลายและสีสันงดงาม คล้ายขนมผิงบ้านเรา
  • ในฤดูร้อนนิยมดื่มมุงิชะ (麦茶)ชาข้าวบาร์เลย์เย็นๆ คลายร้อน
  • ถ้าใช้รับรองแขก จะนิยมเสิร์ฟเกียวกุโระ ( 玉露) หรือ เซ็นชะ ( 煎茶)คู่กับขนมวากาชิ
  • แต่ในชีวิตประจำวันจะนิยมดื่มโฮจิฉะ ( ほうじ茶) บันชะ ( 番茶) เก็นไมฉะ ( 玄米茶) คู่กับขนมเซมเบ้

เลือกชาให้ถูกประเภท ถูกเทศกาล การส่งมอบของขวัญด้วยชา จะทำให้ผู้รับประทับใจมากยิ่งขึ้น

ที่มา

https://www.hibiki-an.com/index.php/cPath/26

https://www.ooigawachaen.co.jp/blog/2015/12/16/249

https://www.alfemminile.com/none/none-s4002149.html

บทความจาก : Fuwafuwa

ส่งต่อความอร่อย เพิ่มยอดขายด้วยกลยุทธ์ OEM

ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ค่อยดี ร้านค้าหลายร้านก็ถูกปิดตัวลง ร้านที่ยังอยู่รอดก็พยายามงัดหลากหลายกลวิธี ทั้งออกสินค้าใหม่ จัดกิจกรรม จัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าให้กลับเข้าร้านมากขึ้น แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่หลายแบรนด์อาจจะมองข้ามไป นั่นคือ การรับผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ OEM

OEM ย่อมาจาก Original Equipment Manufacturer คือ การที่ร้านค้าไหน หรือแบรนด์ใดที่มีจุดเด่นในเรื่องการผลิตสินค้าสามารถเข้ารับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทอื่นๆได้ โดยเป็นลักษณะของการ Collaboration หรืออาจจะเป็นการผลิตให้แบรนด์อื่นๆเพื่อไปขายในแบรนด์ของตัวลูกค้าเองขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้าโดยการใช้กระบวนการผลิตของโรงงานหรือร้านค้าเองตั้งแต่ฝ่ายผลิต ไปจนถึง เครื่องจักรต่างๆสำหรับการผลิต ซึ่งลูกค้าที่มาจ้างร้านค้าหรือโรงงานผลิต อาจจะมีความเชี่ยวชาญไม่มากพอในการทำสินค้าชนิดนั้นๆ หรือเล็งเห็นถึงความสามารถและเอกลักษณ์ของโรงงานหรือร้านค้านั่นๆว่าสามารถผลิตสินค้าตามเสปคได้ 

ในมุมมองลูกค้าหรือแบรนด์อื่นๆที่มาจ้าง

  • ถือว่าช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงได้เพราะสามารถย้ายฐานการผลิตไปที่อื่นๆที่ต้นทุนต่ำกว่าได้ตลอด
  • เจ้าของแบรนด์ไม่ต้องมีโรงงานเป็นของตัวเอง ง่ายต่อการเปลี่ยนลักษณะหรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ
  • มีผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาทางการผลิตคอยดูแลให้ ได้วัจถุดิบตามมาตรฐานที่ต้องการโดยไม่ต้องลงแรงในการเสาะหาเองตั้งแต่ขั้นแรก

แต่ถ้ามองในมุมมองของร้านค้าหรือโรงงานที่รับผลิตสินค้าให้

  • มีร้ายได้อีกช่องทางเพิ่มมากขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงทุนคิดสินค้าเองตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะมีสูตรจากทางผู้ว่าจ้างมาให้แล้ว
  • ประหยัดต้นทุนทางการตลาดในการโฆษณาสินค้านั้นๆ เพราะผู้ผลิตไม่ได้เป็นคนขายสินค้าเอง
  • ไม่ต้องคำนึงถึงการบริหารจัดการสต็อกสินค้าเอง เพียงแค่ทำตามออเดอร์ที่แบรนด์อื่นๆมาว่าจ้างให้ผลิต

อย่างไรก็ตามการรับทำ OEM ให้แบรนด์อื่นๆ นอกจจากจะต้องคิดต้นทุนให้รอบคอบก่อนนำเสนอราคาขายให้แบรนด์ที่มาว่าจ้างแล้ว ยังต้องคำนึงถึงราคาที่แบรนด์นั้นๆจะไปขายต่อผู้บริโภคด้วย เพราะถ้าเราตั้งไว้สูงตั้งแต่แรก เจ้าของแบรนด์เขาต้องไปบวกราคาเพิ่มอีกกว่าจะถึงลูกค้า สินค้าชิ้นนั้นๆอาจจะราคาสูงเกิน ทำให้ยอดขายไม่ดีได้เช่นกัน

นอกจากนั้นแล้วการรับ OEM ต้องคำนวนถึงค่าขนส่งสินค้า ด้วยเช่นกันว่า ราคาที่เราตั้งนั้นรวมถึงค่าขนส่งหรือยัง และจำเป็นจะต้องมองยาวไปถึงเรื่องการที่ของอาจจะแตก พัง เสียหาย ความสูญเสียทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยว่า ควรมีระบบรับเคลมสินค้า รับประกันสินค้าที่เราผลิตให้อย่างไรบ้าง

หากใครยังไม่เห็นภาพว่าจะเริ่มรับ OEM แบรนด์ไหนได้บ้าง มาลองดูไอเดียตัวอย่างที่เหมาะกับการเริ่มหาลูกค้าในกลุ่ม B2B แบบนี้ดู เช่น

  • ร้านที่เน้นขายขนม เครื่องดื่มสำหรับคนรักสุขภาพโดยเฉพาะ สูตรต่างๆเป็นเมนูหวานน้อย ไม่ใส่น้ำตาล แนะนำให้นำรับผลิตเครื่องดื่มหรือขนมสำหรับผู้แพ้อาหารให้กับโรงพยาบาล หรือ ออกเครื่องดืมชาเพื่อสุขภาพให้กับฟิตเนส ผลิตขนม หรือ ชา โดยให้ตีตราเป็นของโรงพยาบาลหรือฟิตเนสนั้นๆไปเลย

OEM OEM

  • ร้านที่มีจุดเด่นเรื่องการใช้ผงชาเขียวพรี่เมี่ยม สามารถนำวัตถุดิบนี้ในการรับผลิตขนมตามสูตรที่่แบรนด์ต่างๆต้องการเพื่อให้ได้รสชาติชาเขียวออริจินัล ตามแบบที่โรงงานหรืิร้านค้าเราใช้อยู่แล้ว สามารถรับผลิตได้หลากหลายสินค้าเลย เช่น คุกกี้ พุดดิ้ง หรือเมนูเสปรดต่างๆจากชาเขียว ซึ่งไลน์การผลิตขนมหลากหลายรูปแบบนี้ เหมาะกับการทำให้บริษัททัวร์ สายการบิน หรือ โรงแรม หรือแม้แต่ตามร้านอาหารญี่ปุ่นที่ไม่มีเมนูของหวาน เพราะเชี่ยวชาญด้านการทำเมนูของคาวมากกว่า ก็สามารถนำเสนอเมนูขนมหวานแล้วให้ตีตราเป็นแบรนด์ของร้านอาหารนั้นๆไปเลย ก็สามารถทำได้เช่นกัน

OEM

OEM OEM

การเพิ่มยอดขายให้ร้านของคุุณ ไม่ได้มีแต่การลดราคา แจกของแถม แต่มองมุมให้กว้างขึ้น อย่าโฟกัสแต่ผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าปกติ แต่ให้มองถึงกลุ่มบริษัท ร้านอาหาร หรือธุรกิจอื่นๆด้วย ก็จะเจออีกหลายกลยุทธ์ ที่ใช้ส่งต่อความอร่อยได้

ที่มา

https://www.moshimoshi-nippon.jp/115252

https://www.pinterest.com/pin/Ab-c8jUkof2iYtJeTFNSBg58sGUXOAgBICxwy85elSDMHu7Ky4Yqygw/

http://www.thirstyfortea.com/2016/12/18/tea-shortbread-coins/

บทความจาก : Fuwafuwa

Sipping Philosophy: Insights from a Teacup

เคยสังเกตมั้ยว่า ถ้วยชงชาญี่ปุ่น เมื่อเทียบกับของทางฝั่งยุุโรป จะมีลักษณะที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก ถ้วยชาญี่ปุ่น จะไม่เรียบ 100% ลักษณะส่วนมากเป็นถ้วยชาจากการปั้นด้วยมือ มีความขรุขระบ้าง ลวดลายสีสันที่ดูเป็นงานคราฟต์ บางใบดูดีๆจะเห็นว่าเป็นถ้วยที่แตกแล้ว แต่ถูกประสานด้วยทองจนเนียนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของลวดลายถ้วยชานั้นๆ ซึ่งวิธีการทำแบบนี้เราเรียกว่า การทำคินสึงิ (Kintsugi)นั่นเอง

Kintsugi

คินสึงิ มีประวัติศาตร์อันยาวนาน ย้อนไปในศตวรรษที่ 15 โชกุนของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า อาชิกางะ โยชิมาสะ (Ashikaga Yoshimasa) ได้ส่งถ้วยชาที่เสียหายไปยังประเทศจีนเพื่อซ่อมแซม และมันก็ถูกส่งกลับมาในสภาพที่มีตัวเย็บเหล็กที่ไม่สวยงาม ทำให้โชกุนต้องคิดค้นหาวิธีที่ดีกว่าในการซ่อมแซมสิ่งที่พังไป ช่างฝีมือของเขาจึงมองหาวิธีอันงดงามในการประกบเครื่องปั้นดินเผาอีกครั้งด้วยการใช้ครั่งผสมทอง เทคนิคนี้เป็นการเชื่อมรอยต่ออันงดงามที่ถูกพูดถึงกันมากในประวัติศาสตร์ จึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว นักสะสมจำนวนมากรู้สึกชื่นชอบเทคนิคนี้มากถึงขั้นตั้งใจทุบเครื่องปั้นดินเผาอันมีค่า เพื่อที่จะได้ซ่อมแซมมันโดยใช้เทคนิคคินสึงิซึ่งแน่นอนว่าเครื่องปั้นเซรามิคมีความวิจิตรงดงามมากยิ่งขึ้นหลังจากการซ่อมแซมทุกครั้ง การซ่อมแซมภาชนะที่แตกบิ่นเสียหายด้วยวิธีคินสึงิแบบนี้ อีกนัยนะหนึ่งเกิดจากการที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่า ถ้วยชามที่แตกบิ่นนั้นไม่ควรทิ้งขว้าง แต่ควรซ่อมมันด้วยรักทองเพื่อให้พวกมันกลับคืนมามีชีวิตอีกครั้ง เหมือนกับชีวิตของเราทุกคนนั้นล้วนหลีกหนีความเจ็บปวดทางใจไม่พ้น เช่น การสูญเสียผู้เป็นที่รักหรือสิ่งที่เป็นที่รัก เผชิญกับอาการเจ็บป่วยร้ายแรงหรืออุบัติเหตุที่ส่งผลต่อชีวิต แม้แต่ความเจ็บปวดที่ต่อเนื่องมาจากอดีต บาดแผลทางใจเหล่านี้ควรได้รับการเยียวยาและสมานให้กลับมาดีดังเดิม ดังนั้นปรัชญาคินสึงิจึงถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อซ่อมแซมบาดแผลทางใจที่หนักหนาและค้างคา เพื่อที่เราจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น และเข้าใจผู้ที่ยังเจ็บปวดคนอื่นๆ มากขึ้นนั่นเอง

ปรัชญาของคนญี่ปุ่นที่แฝงถึงแนวคิดที่ว่า ไม่มีชีวิตใดที่สมบูรณ์แบบอย่างหลักคินสึงิ คือ การทำให้ตัวเองเข้าใจถึงความแตกหัก เปราะบางภายในจิตใจของตัวเอง เป็นการสร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอก ทำให้มีสภาวะจิตใจที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะการซ่อมแซมถ้วยที่แตกร้าวอย่างใส่ใจและเต็มไปด้วยความรักจะทำให้เราเข้าใจว่าเราควรยอมรับ, เคารพในรอยร้าวและรอยแผลเป็น, ความอ่อนแอและความไม่สมบูรณ์พร้อมทั้งในตัวเราและผู้อื่น เพื่อพบความสุขที่แท้จริงในชีวิต

Wabi-sabi

อย่างไรก็ตาม ถ้วยชาที่ผ่านการทำคินสึงิมาแล้ว  แม้จะยังใช้งานได้ แต่ถ้วยที่แตกแล้วก็คือแตกแล้ว ไม่ได้สมบูรณ์แบบเหมือนเดิม เพียงแต่เป็นความเรียบง่ายที่ไม่ต้องดิ้นรนหาถ้วยชาใบใหม่ แต่เต็มใจที่จะใช้ถ้วยชาที่มีริ้วรอย ผ่านการผุกร่อนตามกาลเวลาแบบนี้ เป็นอีกหนึ่งปรัชญาแห่งการดำรงชีวิตที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นมานานเช่นกัน นั่นคือ สุนทรียภาพอันเรียบง่าย สมถะ ไม่ยึดติดในความสมบูรณ์แบบ ชื่นชมในริ้วรอยและความผุกร่อนของสรรพสิ่งที่เสื่อมสลายไปตามกาลเวลามอย่างเต็มใจ แนวคิดนี้คนญี่ปุ่นเรียกว่า  วะบิ สะบิ” Wabi-sabi (侘寂)

วะบิ สะบิ” Wabi-sabi (侘寂)  เป็นแนวคิดที่ถูกนำไปปรับใช้และแทรกตัวอยู่ในงานตกแต่งสไตล์ Loft, Industrial, Rustic, Minimal ซึ่งสังเกตได้อย่างง่ายด้วยถ้วยชา ที่เราเห็นคนญี่ปุ่นใช้กัน ขอบถ้วยที่ไม่มีการปรับให้เรียบ เมื่อริมฝีปากจรดจะสัมผัสได้ถึงผิวอันดิบหยาบ ส่วนถ้วยชา ไม่ได้เนี๊ยบเรียบหรู แต่เป็นถ้วยชาที่เปี่ยมด้วยสุนทรียะที่มุ่งนำพาจิตผู้ดื่มชาให้สัมผัสได้ถึงความสงบและเรียบง่าย เพื่อแสดงถึงแก่นแท้แห่ง “วะบิ สะบิ” นั่นเอง

วะบิ สะบิ

แนวคิดถ้วยชาดังกล่าว เกิดในสมัยที่พิธีดื่มชาทีได้รับอิทธิพลจากภิกษุนิกายเซน ได้รับความสนใจอยากแพร่หลาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะ ปรัชญา เกิดชาโนยุ หรือ วิถีแห่งชา ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่งในหมู่ชนชั้นสูง นักรบและพ่อค้าที่ร่ำรวย เครื่องใช้ต่างๆ ในพิธีชงชา ล้วนถูกซื้อหาจากต่างแดนและประดับประดาด้วยสิ่งอันหรูหรา โดยเฉพาะถ้วยชาที่สวยงามเป็นหนึ่งในสิ่งที่ชนชั้นสูงและผู้มีฐานะใน ยุคนั้นต่างแสวงหาความหรูหราฟุ่มเฟือยนี้ เห็นได้จากช่วงปี ค.ศ.1585-1586 ฮิเดโยชิมีคำสั่งให้ริคิวจัดสร้างห้องชาที่ปิดด้วยทองคำทั้งหลัง เพื่อรับเสด็จสมเด็จพระจักรพรรดิโอะกิมะจิ โดยฮิเดโยชิเองทำหน้าที่เป็นผู้ชงชา เขาจึงเสิร์ฟชาด้วยถ้วยชาที่ปั่นขึ้นอย่างง่ายเพื่อโน้มนำให้ผู้ดื่มเข้าถึงความงามอันปราศจากการปรุงแต่ง ตระหนักถึงความงามอันจริงแท้ที่มิได้ขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก ความไม่สมบูรณ์แบบก็ทำให้ได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของชาได้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ วะบิ-ซะบิยังสะท้อนให้เห็นได้ชัดผ่านสถาปัตยกรรมและหัตถกรรมที่เกี่ยวข้องกับพิธีชงชาของชาวญี่ปุ่นนั่นคือ เรือนชงชา ซึ่งแยกตัวจากสิ่งปลูกสร้างอื่น มีขนาดเล็กแค่เพียงพอดีกับกิจกรรม สร้างขึ้นจากวัสดุที่ไม่มีลักษณะความคงทนถาวรที่จะต้องเสื่อมสลายไปซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น เช่น ตัวบ้านทำจากไม้ และบานประตูทำจากกระดาษ ต่างจากสถาปัตยกรรมโมเดิร์นของตะวันตกที่ถูกสร้างให้มีภาพลักษณ์ของความสมบูรณ์ เป็นอมตะและไม่สามารถทนต่อปัจจัยที่มากระทำผ่านกาลเวลาได้

ถัดมาที่ห้องในเรือนชงชามักออกแบบให้คนเข้าไปได้ไม่เกินครั้งละ 5 คน ประตูทางเข้าของแขกมีความสูงเพียง 80 เซนติเมตร ทุกคนต้องคลานด้วยมือและเข่าเป็นแถวเดียวเข้าไปด้วยความสงบและเสมอภาคกัน อันเป็นการลดทิฐิและทำให้เกิดความเรียบง่ายในการอยู่ร่วมกัน

ภายในห้องมีถ้วยชามอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีซึ่งทำมากวัสดุตามธรรมชาติ แต่ละชิ้นมีร่องรอย มีคราบผ่านการเวลาในแบบฉบับของตนเอง เพื่อแสดงถึงความงดงามของสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบของสิ่งต่างๆ ที่ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่เมื่อสิ่งเหล่านั้นมาอยู่รวมกันแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดมุมมองต่างๆที่เปลี่ยนไป เกิดสุนทรียะในการใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องสมบูรณ์แบบเสมอไปนั่นเอง

พิธีชงชาของชาวญี่ปุ่น

ที่มา

https://www.bareo-isyss.com/service/decor-guide/wabi-sabi-decor/

https://www.hibiki-an.com/contents.php/cnID/61

https://www.bareo-isyss.com/service/decor-guide/wabi-sabi-decor/

https://jpninfo.com/thai/11264

https://gaskimishima.wordpress.com

https://etsy.me/2MjfImy

https://themomentum.co/wabi-sabi/

บทความจาก : Fuwafuwa

Discover the Origins of Matcha Green Tea Powder

ว่ากันว่า ชาเขียวได้ถูกค้นพบโดยจักรพรรดิเสินหนงซึ่งเป็นบัณฑิตและนักสมุนไพรผู้รักความสะอาดเป็นอย่างมาก ดื่มเฉพาะน้ำต้มสุกเท่านั้น วันหนึ่งขณะที่เสินหนงกำลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นชาในป่า และกำลังต้มน้ำอยู่นั้น ปรากฏว่าลมได้โบกกิ่งไม้ เป็นเหตุให้ใบชาร่วงหล่นลงในน้ำซึ่งใกล้เดือดพอดี เมื่อเขาลองดื่มก็เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ชาเขียวถูกพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ชาวบ้านก็เริ่มหันมาปลูกชาและพัฒนาต่อกันมาเรื่อยๆ มีทั้งการเติมเครื่องเทศน์ หรือดอกไม้ลงไป เพื่อให้มีกลิ่นและรสชาติที่แตกต่างมากยิ่งขึ้น ซึ่งชาที่ปลูกในจีนทั้งหมดเป็นชาเขียว กระบวนการผลิตชาจะเกิดจากการรวมใบชา นำมานึ่ง และอบแห้ง ซึ่งจะเก็บได้ไม่ดีนัก สูญเสียกลิ่นได้ง่าย และรสชาติไม่ดี ในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการค้าขายกับชาวยุโรปการผลิตเพื่อจะรักษาคุณภาพชาให้นานขึ้น โดยการหมักแล้วก็จะนำไปอบ ซึ่งก็เป็นที่มาของชาอูหลง และชาดำ ในประเทศจีน

ไร่ชา ไร่ชา

การเข้ามาของชาในประเทศญี่ปุ่นนั้น เริ่มราวต้นสมัยเฮอัน ในสมัยนั้นจีนและญี่ปุ่นเริ่มมีการติดต่อทางด้านศาสนาพุทธและวัฒนธรรมกัน บ้างแล้ว นักบวชญี่ปุ่นได้เดินทางไปเป็นทูตเรียนรู้เรื่องต่างๆ จากประเทศจีนรวมทั้งการศึกษาตัวยาสมุนไพรจากจีนอีกด้วย ชาจีนจึงเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกๆ โดยพระสงฆ์นั่นเอง เริ่มจากนักบวชจากจังหวัดไอจิ ได้นำชาอัดแข็ง (ต้องฝนกับหินก่อนแล้วจึงใส่น้ำร้อนถึงจะดื่มได้) และเมล็ดชาจำนวนไม่มากเข้ามาที่ญี่ปุ่นก่อน เมื่อจักรพรรดิได้เข้ามาเยี่ยมพระที่วัด พระ จึงชงชาใส่ถ้วยนำมาถวาย เมื่อองค์จักรพรรดิได้ดื่มชาก็เกิดความประทับใจในรสชาติ จึงสั่งให้นำเมล็ดชาไปปลูกที่สวนสมุนไพรภายในบริเวณราชวัง ชาได้แพร่หลายไปในแถบภูมิภาคคิงคิ (เกียวโต) แต่ความนิยมยังคงมีอยู่แต่ในเฉพาะกลุ่มชนชั้นสูงเท่านั้น

Matcha

ต่อมาในช่วงตอนต้นสมัยคามาคุระ (Kamakura) นักบวชในพุทธศาสนาเซน ได้นำเมล็ดชามาจากจีนเป็นจำนวนมากพร้อมกับกรรมวิธีการผลิตชากลับมาด้วย วิธีการผลิตดังกล่าวนั่นก็คือ การนำใบชามาบดโดยครกหินที่ทำให้เกิดความร้อนน้อยที่สุด เพื่อรักษารสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ ออกมาเป็นผงละเอียดเหมือนแป้ง หรือที่เราเรียกว่า ผงมัทฉะนั่นเอง ซึ่งการทำผงมัทฉะใช้เวลานานกว่าจะได้ผงชาออกมาจำนวนหนึ่ง ราคาจึงสูงกว่าชาเขียวชนิดอื่นๆ และมีวิธีการชงที่ค่อนข้างพิเศษที่ต้องใช้แปรงชงชาในการตีตาให้ละลายก่อน

ในสมัยนั้นมีการส่งเสริมการเพาะปลูกชาเพื่อใช้เป็นสมุนไพรให้แพร่หลายมากขึ้น และมีประโยคหนึ่งในหนังสือที่ท่านได้เขียนไว้ว่า ชาเป็นพื้นฐานทางจิตใจและเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่สุด ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็มและมีความสมบูรณ์มากขึ้น”จากนั้นก็เริ่มมีการค้นคว้าสรรพคุณของชา ที่ช่วยดับกระหายได้ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น และช่วยล้างพิษด้วยการขับสารพิษออกทางปัสสาวะอีกด้วย

สมัยที่โชกุน มินาโมโตะ ซาเนะโมโตะ ทนทุกข์ทรมานจากการดื่มสุราอย่างหนัก ได้ลองดื่มชาและอาการของโชกุนก็หายไปในที่สุด ต่อมา เหล่านักบวชจึงเริ่มมีการเดินทางเพื่อออกเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับชาไปทั่วญี่ปุ่น จากนั้นชาจึงกลายมาเป็นส่วนหนึ่งพิธีกรรมบางอย่างและใช้เพื่อการรักษาโรค

Matcha History Matcha History

ในสมัยมุโระมาจิ เริ่มมีพิธีชงชาในแบบฉบับดั้งเดิมของญี่ปุ่นแล้ว เรียกว่า Chanoyu และในยุคนี้การชงชาเริ่มมีการผสมผสานทางด้านความคิด จิตวิญญาณ และการสร้างสรรค์ศิลปะในแบบธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว เริ่มมีการลงรายละเอียดในภาชนะที่ใช้ในพิธีชงชา รวมไปถึงการเสิร์ฟชาเขียวในร้านอาหารอีกด้วย

Matcha History

การดื่มชาด้วยความเรียบง่ายและมีสมาธิในแบบของเซนจะช่วยให้จิตใจสามารถพัฒนา ขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ นักบวชจึงออกแบบห้องพิธีชงชาขนาดเล็ก เพื่อใช้สนับสนุนการชงชาตามอุดมคติของนิกายเซน หลังจากนั้นจึงเริ้มมีพิธีชงชาตามแบบฉบับญี่ปุ่นเกิดขึ้นอย่างที่เราเห็นกันทุกวันนี้ แม้ว่าในสมัยยุคเอโดะ พิธีชงชาและการดื่มชาเริ่มมีการขยายวงกว้างลงมาถึงชนชั้นล่างมากขึ้น แต่กระนั้นเมื่อถึงการเก็บเกี่ยวชาที่ดีที่สุดในช่วงแรกของปีก็ต้องส่งมอบ ให้กับชนชั้นซามูไรก่อน ส่วนชาที่ชาวบ้านดื่มกันจะเป็นชาที่เก็บเกี่ยวในครั้งต่อมาคุณภาพก็จะด้อยลงมานั่นเอง จนช่วงหลังๆได้มีการเผยแพร่และลดการแบ่งชนชั้นตามกาลเวลา ประเพณีชงชาจึงยังคงเป็นที่แพร่หลายสืบทอดต่อกันมาถึงทุกวันนี้ เพราะประเพณีชงชานอกจากจะช่วยฝึกสมาธิแล้ว ยังช่วยให้จิตใจสงบ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น โรงเรียนในญี่ปุ่นบางแห่งมีการสอนประเพณีชงชาให้เด็กญี่ปุ่นด้วย

ที่มา

http://fineartamerica.com/featured/oolong-tea-bud-jung-pang-wu.html

https://moyamatcha.com/en/moya-matcha/history-of-matcha/#

http://d.hatena.ne.jp/keibunsha2/20110508

https://www.pinterest.com/pin/339951471845392656/

https://www.flickr.com/photos/aligatorpics/6240407574/in/photostream/

http://japan-web-magazine.com/japanese-tea/japan-japanese-tea-ceremony0.html

https://traditional-japan.tumblr.com/image/153431720372

shorturl.at/brstQ

บทความจาก : Fuwafuwa

นำผงมัทฉะมาประกอบอาหารอย่าง โซบะชาเขียว

ใครที่ชื่นชอบชาเขียวเป็นชีวิตจิตใจ ยิ่งได้ชาเขียวพรี่เมี่ยมที่มีทั้งกลิ่น และรสชาติแบบออริจินัลใช้ทำเครื่องดื่มหรือขนมแล้ว เมนูนั้นจะยิ่งพิเศษ ชวนทานมากยิ่งขึ้น แต่หลายคนก็คงสงสัยเหมือนกันว่า ผงมัทฉะ เอาไปทำอย่างอื่นนอกจากเครื่องดื่มและขนมได้มั้ย????

ถ้านึกดีๆแล้ว ที่ญี่ปุ่น เรามักจะเห็นหลายๆร้านมีการนำผงมัทฉะมาประกอบอาหาร แต่เราอาจะลืมคิดไปว่าที่ไทย เมนูของคาวจากชาเขียว มีขายอยู่น้อยมาก ทั้งๆที่บางร้านเองก็ใช้ผงมัทฉะนำเข้าจากญี่ปุ่นเหมือนกัน การนำผงมัทฉะนั้นมาประกอบอาหารบ้างจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน แถมยังได้สัมผัสชาเขียวดั้งเดิมอีก ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น ก็ทำกินเองได้ที่บ้าน แถมยังนำมาใส่ในเมนูของคาวที่ร้านคาเฟ่ได้อีก “เส้นโซบะชาเขียวโฮมเมด” ที่ไม่ต้องผ่านกรรมวิธีทางโรงงานให้ยุ่งยาก

ส่วนผสม :

แป้งสาลีอเนกประสงค์ 100 กรัม

แป้งบัควีต 100 กรัม

น้ำ 200 กรัม

ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา

เริ่มจากการผสมแป้งบัควีตกับแป้งสาลีอเนกประสงค์เข้าด้วยกัน ร่อนแป้งลงในอ่างผสม ใส่ผงมัทฉะ แล้วค่อยๆ ใส่น้ำทีละน้อยพร้อมใช้มือคนแป้งไปเรื่อยๆ นวดแป้งให้ค่อยๆ ดูดน้ำ นวดและซุยแป้งจนรู้สึกว่ามีเนื้อสัมผัสคล้ายเม็ดทราย

ใส่น้ำให้เหลือประมาณ ¼ ของน้ำทั้งหมด จากนั้นใส่น้ำที่เหลือลงไปพร้อมนวดให้แป้งจับตัวเป็นก้อน ใช้ฝ่ามือนวดแป้งตรงกลางแล้วพับริมแป้งขึ้นมาทับกัน นวดแป้งแบบนี้วนไปเรื่อยๆ จนกว่าแป้งจะนุ่ม (กดแล้วเป็นรอยบุ๋ม) จากนั้นปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม

โรยแป้งนวลบนไม้กระดานเล็กน้อย ย้ายก้อนแป้งของเรามาวางไว้ ใช้ฝ่ามือกดก้อนแป้งให้ขยายออก จากนั้นใช้ไม้คลึงรีดแป้งให้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมจัตุรัสบางประมาณ 0.2 มิลลิเมตร โรยแป้งนวลให้ทั่ว พับแป้งมาประกบกัน จากนั้นใช้มีดหั่นเป็นเส้นเล็กๆ คลุกเส้นด้วยแป้งนวลให้ทั่วอีกครั้ง ห่อด้วยกระดาษทิชชู ใส่ในภาชนะปิดสนิท หรือจะใส่ถุงพลาสติกแล้วรีดเอาอากาศออกให้หมดก็ได้ เก็บไว้ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้ประมาณ 1-2 วัน

การลวกเส้นให้ตั้งหม้อน้ำบนไฟกลางจนเดือดจัด ใส่เส้นโซบะที่เราบรรจงหั่นลงต้มประมาณ 1 นาที ตักขึ้นแช่ในอ่างน้ำเย็น 20 วินาที ตักขึ้นพักให้สะเด็ดน้ำ โซบะต้มเสร็จใหม่ๆ ต้องกินทันทีอย่าปล่อยไว้นาน เพราะเส้นจะดูดน้ำเข้าไปทำให้เส้นอืด เละ ไม่อร่อยนั่นเอง

…………………..พอเราได้วิธีทำเส้นโซบะชาเขียวแล้ว มาดูกันว่าเส้นโซบะชาเขียว เอาไปทำอาหารเมนูอะไรได้อีกบ้าง

เริ่มจาก โซบะชาเขียวเย็น ที่คนญี่ปุ่นมักทานคู่กับ วาซาบิ ซอสสียุสำหรับทานกับโซบะ ประมาณ 50 ml. สาหร่ายแผ่นหั่นฝอย หอมญี่ปุ่นซอย โดยบางคนก็ทานคู่กับกุ้งเทมปุระ หรือ ผงเทมปุระทอดกรอบ นิยมทานกันในหน้าร้อน เพื่อเพิ่มความสดชื่น คลายร้อนนั่นเอง

matcha soba

นอกจากโซบะเย็นแล้ว มัทฉะโซบะ ยังสามารถนำไปทำได้อีกหลายเมนูเลยอย่างเช่น

Ginger Miso Soup With Green Tea Soba Noodles

Ginger Miso Soup With Green Tea Soba Noodles

Let’s Cook : ขิงบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำเปล่า 6 ถ้วย + น้ำมะขาม ¼ ถ้วย เทรวมกันลงหม้อ ต้มไฟอ่อนประมาณ 10 นาที แล้วถึงเติม มิโสะ ¼ ถ้วย ลงไป ต้มต่ออีกประมาณ 3 นาที ไม่ต้องให้เดือดเกินไป เพราะ เวลาเสิร์ฟลูกค้าจะได้ซดน้ำได้ ไม่ลวกปาก

Serve ! ในชามเสิร์ฟจะมีโซบะมัทฉะ ไข่ต้ม 1 ฟอง แบบยังไม่ต้องสุกมาก เพราะไข่จะแห้งเกินไป และเห็ดหอม & บล็อคโคลี่ ย่างปริมาณตามชอบ ตกแต่งเพิ่มเติมด้วย โต้วเหมี่ยว และหอมญี่ปุ่นซอย ปริมาณตามชอบ โรยด้วยงาดำเล็กน้อยด้านบน

มาต่อกันที่อีกเมนูอย่าง

Green Tea Sesame Soba Noodles With Stir Fried Tofu

Let’s Cook : วอร์มเตาอบที่ 180c หั่นเต้าหู้เป็นก้อนสี่เหลี่ยม ขนาดประมาณ 1.5 ซม วางบนแผ่นรองอบ เข้าเต้าอบ 15 นาที แล้วลวกเส้นโซบะชาเขียวพักไว้ ผัดน้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ + ขิงบด 2 ช้อนชา + น้ำส้มสายชู ½ ช้อนชา ผัดที่ไฟกลางให้หอม แล้วเอาเต้าหู้ที่อบเสร็จแล้วมาใส่ในกระทะ ใส่โชยุ 1 ช้อนโต๊ะ +  วาซาบิ ½ ช้อนโต๊ะ + มิโสะ 2 ช้อนชา ผัดจนเข้ากัน ปิดไฟ

Serve ! นำเต้าหู้ที่ผัดเสร็จแล้วมาใส่ในชามที่มีเส้นมัทฉะโซบะที่ลวกรอไว้แล้ว โรยหน้าตกแต่งด้วยงาขาวอีกที เป็นอันเรียบร้อย

Green Tea Sesame Soba Noodles With Stir Fried Tofu

แต่ถ้าใครอยากสลับเป็ฯใช้เส้นโซบะธรรมดา แต่ทานคู่กับซอสชาเขียว ลองใช้เป็นสูตรนี้แทน

Matcha Soba With Spicy Tofu Nuggets

Matcha Soba With Spicy Tofu Nuggets

Let’s Cook : เริ่มจากใส่น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ เปิดไฟกลาง ใส่หอมใหญ่สับละเอียดปริมาณตามชอบ และกระเทียมสับ 3 กลีบ ผัดจนหอม แล้วเอาไปเทใส่เครื่องปั่น เติมน้ำ 1 ถ้วย +เมเปิ้ลไซรับ 2 ช้อนโต๊ะ + เกลือ 1½ ช้อนชา + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา+ ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา + เม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบ ½ ถ้วย ปั่นให้เข้ากัน

นำเต้าหู้ หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมไทอดในน้ำมันงาให้หอม ข้างนอกกรอบเล็กน้อย

Serve ! นำซอสครีมชาเขียว ไปคลุกกับเส้นโซบะที่ลวกไว้แล้วและเต้าหู้ทอดโรยหน้าด้วยหอมญี่ปุ่นซอย และงาขาวเล็กน้อย เป็นอันเรียบร้ออยอีกเมนูนึง ……อิตาดาคิมัส ทานแล้วนะคะ 🙂

ที่มา

https://foodie.sysco.com/recipes/matcha-soba-with-spicy-tofu-nuggets/

https://www.japancentre.com/en/recipes/1265-cold-green-tea-soba-noodles

shorturl.at/uIRX7

shorturl.at/mnCU2

shorturl.at/bqsxX

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha Ice Cream Recipes: Delightful Green Tea Treats for All

ไอศกรีมชาเขียวเมนูที่ทำไม่ยาก แต่มีรายละเอียดเล็กน้อยที่ถ้าปรับส่วนผสมแค่เล็กน้อย จะส่งผลต่อรสชาติความเข้มข้นของชาเขียวอย่างร้านไอศกรีมชื่อดังแถวย่านอาซากุสะที่โตเกียวที่มีการทำไอศกรีมชาเขียวหลายระดับขาย แต่รอบนี้ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นก็เข้าครัวทำไอศกรีมชาเขียวอร่อยๆได้หลายระดับ แถมยังใช้สูตรเดียวกันนี้ไปปรับกับไอศกรีมชาโฮจิฉะได้เช่นกัน

ไอศกรีมมัทฉะ

สูตรเจือจาง   สูตรธรรมดา  สูตรเข้มข้น

ผงชาเขียว               2 g.            8 g.         14 g.

น้ำอุ่น                   10 g.          20 g.         40 g. >>> น้ำ จะใ้ช้อุณหภูมิประมาณ 80 องศา

น้ำตาล                 50 g.          50 g.         50 g.

นม                     200 g.       200 g.       200 g.

ครีมสด                 70 g.          70 g.         70 g.

matcha ice cream matcha ice cream

วิธีการทำไอศกรีมชาเขียวเริ่มจากนำผงชาเขียวมาละลายน้ำตีจนไม่เหลือผงชา เติมน้ำตาล ครีมสด นม ลงไปแล้วตีให้เข้ากัน นำเข้าช่องฟรีซ แล้วเอาออกมาคนทุกๆ 1 ชั่วโมงจนกว่าเนื้อจะเนียนเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ซึ่งไอศกรีมชาเขียว คนญี่ปุ่นมักนิยมทานคู่กับดังโงะโมจิ แป้งนุ่มหนึ่บสไตล์ขนมญี่ปุ่น หรือจะเป็น ผลไม้สด อย่างสตอเบอรี่ หรือส้ม รวมถึงถั่วแดงกวน ที่มีความหวานเล็กน้อย เพื่อตัดความเข้มข้นของชาเขียว

หากใครลองทำตามสูตรนี้แล้วอยากได้ความเข้มข้น หรือเจือจางของชาเขียวแบบอื่นๆสามารถเทียบอัตราส่วนเพิ่มลดได้อีกตามชอบ

เพิ่มความอร่อยและแตกต่างให้ไอศกรีมชาเขียวแบบธรรมดาด้วย 3 สูตรแนะนำ ให้คุณต่อยอดเมนูชาเขียวให้ว้าว!! กว่าเดิม วิธีทำง่ายมากเพียงแค่นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นเข้ากันแล้วนำไปแช่ช่องฟรีซ หมั่นเอาออกมาคนให้เนียน ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 5-6 ชั่วโมงแล้วแต่ความเย็นของตู้เย็นแต่ละบ้านเริ่มด้วยVegan Matcha Avocado Ice Cream สูตรนี้เป็นเมนูวีแกน เหมาะสำหรับคนที่แพ้นมวัว

Vegan Matcha Avocado Ice Cream Vegan Matcha Avocado Ice Cream

ส่วนผสม

  • อะโวคาโดครึ่งลูก
  • นมอัลมอนด์ ¾ ถ้วย
  • อะกาเวไซรัป หรือ เมเปิ้ลไซรัป ¼ ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผงชาเขียว 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ ½ ช้อนชา
  • เพิ่มท็อปปิ้งโรยหน้าทานคู่กับไอศครีมชาเขียวอะโวคาโดด้วยถั่วพิซาชิโอ้ ใบมิ้นต์ หรือโกโก้นิปส์ ก้ได้

ตามด้วยอีกเมนูที่กลิ่นหอมสดชื่นอย่าง Matcha Mint Chocolate Chunk Ice Cream

Matcha Mint Chocolate Chunk Ice Cream Matcha Mint Chocolate Chunk Ice Cream Matcha Mint Chocolate Chunk Ice Cream

ส่วนผสม

  • ครีม 1 ถ้วยครึ่ง
  • ผงชาเขียว 4 ช้อนชา
  • นมจืด 1 ถ้วย
  • ไข่แดง 4 ใบ
  • น้ำตาล ½ ถ้วย
  • เกลือ หยิบมือ
  • ใบมิ้นต์ 1 ถ้วย
  • ดาร์คช็อคโกแลต 70% 100 กรัม

วิธีทำ

  1. นำไข่แดง เกลือ น้ำตาลผสมให้เข้ากัน ตีจนขึ้นฟูเนียน อุ่นนมด้วยไฟกลาง แล้วเทนมลงส่วนผสมของไข่ค่อยๆตี พอเริ่มเข้ากันใส่ครีมและผงชาเขียวลงไป คนต่อเนื่องช้าๆจนเนียนเป็นเหมือนเนื้อคัสตาร์ด
  2. นำใบมิ้นต์ใส่ตะแกรงแล้วเอาน้ำร้อนเทลงไปประมาณครึ่งถ้วย พอใบมิ้นต์เหี่ยว ให้เอามาช้อนบดใบมิ้นกับตะแกรงบีบน้ำออกจากใบให้มากที่สุดใส่ลงไปในข้อ 1 ส่วนใบมิ้นต์ที่เป็นกากที่เหลือนำไปปั่นให้ละเอียด เทผสมลงไปในข้อ 1 คนให้เข้ากัน แล้วนำไปเข้าตู้เย็น วิธีนี้จะทำให้ได้ไอศครีมมิ้นต์แท้ๆที่ไม่ต้องแต่งกลิ่น หรือใช้สีสังเคราะห์
  3. นำไปเข้าช่องฟรีซ มันเอาออกมาคนทุกๆ 1 ชม. หลังจากนำออกมาคนรอบที่ 2 ให้เทดาร์คช็อคโกแลตครึ่งนึงที่นำไปละลายไว้ก่อนแล้วลงไป แล้วคนให้เข้ากันอีกครั้ง แช่ช่องฟรีซต่อเหมือนเดิม
  4. หลังจากไอศครีมเซ็ตตัว โรยดาร์คช็อคโกแลตที่แบ่งไว้ที่เหลือด้านบนไอศครีม ใช้ที่ตักไอศครีมตักม้วนทั้งไอศครีมชาเขียวมิ้นต์ และดาร์คช็อคโกแลตเข้าด้วยกัน เสิร์ฟใส่ถ้วยหรือโคน ตกแต่งด้วยใบมิ้นต์อีกครั้งเพื่อเพิ่มความสดชื่นและให้กลิ่นหอม

เมนูสุดท้ายที่อยากแนะนำเป็นHoney Matcha Raspberry Ice cream

Honey Matcha Raspberry Ice cream

ส่วนผสม

  • ผงชาเขียว 2 ช้อนโต๊ะ
  • นมอัลมอนด์ ¾ ถ้วย
  • น้ำผึ้ง ¼ ถ้วย
  • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ราสเบอรี่แช่แข็ง 1 ถ้วย

ที่มา

http://www.chopstickchronicles.com/matcha-green-tea-ice-cream/

https://www.diannesvegankitchen.com/2019/03/10/vegan-matcha-avocado-ice-cream/

https://momentsofsugar.com/2019/03/10/pistachio-cardamom-matcha-ice-cream/

https://bojongourmet.com/matcha-mint-chip-ice-cream/#wprm-recipe-container-25879

บทความจาก : Fuwafuwa

Exploring the Versatility of Green Tea: Perfect Pairings for Every Occasion

การเติมสมุนไพร ผลไม้ หรือ ดอกไม้ ลงไปในเครื่องดื่มชา เป็นการต่อยอดเมนูชา จากรสชาติออริจินัล ให้มีสีสัน รสชาติ กลิ่น ที่เปลี่ยนไป เพิ่มความน่าสนใจแปลกใหม่ให้ผู้ที่ชื่นชอบการลองของใหม่ การเติมสิ่งต่างๆเหล่านี้ อาจจะส่งผลต่อการลดคุณประโยชน์ของชาที่ควรได้รับอย่างเต็มที่ลงไปบ้าง แต่เมนูเหล่านี้เหมาะกับการเสิร์ฟในคาเฟ่ที่บรรยากาศดีๆ ให้ลูกค้าได้รู้สึกผ่อนคลายจากความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการทำงานได้เป็นอย่างดี เพราะของอร่อยๆย่อมทำให้คนยิ้มได้

มาลองดูกันมานอกจากชาเขียวผสมนมที่เป็นมัทฉะลาเต้แล้ว เมื่อไปมิกซ์กับส่วนผสมอื่นๆอย่างอัญชัน

สตอเบอรี่ กุหลาบ หรือสับปะรด จะต้องใช้ส่วนผสม หรือวิธีทำยังไงบ้าง

Matcha Hot Chocolate

Matcha Hot Chocolate

ส่วนผสม :

  • นมจืด 2 ถ้วย
  • ไวท์ช็อคโกแต ½ ถ้วย
  • ผงมัทฉะ 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1 ช้อนชา
  • มาชแมลโล่เบิร์นไฟเล็กน้อย

Start :อุ่นนมมในไฟกลางให้พออุ่น ใส่ไวท์ช็อคโกแลตลงไปคนจนละลาย เติมผงมัทฉะ น้ำผึ้ง เกลือ ลงไปคนให้เข้ากัน เทใส่แก้วเสิร์ฟ หรือจะท็อปปิ้งด้วยมาร์ชแมลโล่เล็กน้อยตามชอบ ก็จะได้ชาร้อนๆพร้อมเสิร์ฟ

Iced Matcha Rose Latte

Iced Matcha Rose Latte

ส่วนผสม :

  • นมจืด ½ ถ้วย
  • น้ำร้อน½ ถ้วย
  • ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา
  • สีกุหลาบ 2 ช้อนโต๊ะ
  • กลิ่นกุหลาบ 1 ช้อนโต๊ะ
  • กลีบกุหลาบอบแห้ง

Start :ผสมสีกุหลาบกับนมจืด ด้วยการใส่ shaker และเขย่าให้เข้ากัน จนกลายเป็นสีชมพูแล้วเทลงในน้ำแข็งที่เตรียมไว้ ตีผงมัทฉะกับน้ำจนละลายแล้วเทลงทับนมกุหลาบในแก้ว โรยกลีบกุหลาบอบแห้งตกแต่งด้านบน

Layered Iced Watermelon Matcha

Layered Iced Watermelon Matcha

ส่วนผสม :

  • แตงโมหั่นชิ้นสี่เหลี่ยม 2 ถ้วย
  • น้ำเย็นครึ่งถ้วย
  • ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา
  • น้ำแข็ง
  • แตงโมหั่นชิ้นสำหรับตกแต่ง

Start : ปั่นเนื้อแตงโมให้เป็นสมูตตี้ เชคผงมัทฉะกับน้ำเย็นด้วยshaker 10 วินาที เอาน้ำแตงโมที่ปั่นใส่แก้วครึ่งแก้ว เทชาเขียวที่เชคแล้วลงไป แล้วเทสมูตตี้แตงโมทับอีกชั้นให้เห็นเป็น layer สีตัดกัน

Matcha Pineapple Smoothie

Matcha Pineapple Smoothie

ส่วนผสม :

  • กล้วยหอม 1 ลูก
  • สับปะรด 1 ชิ้นใหญ่
  • ผักโขม 1 ใบ
  • ผงชาเขียว ½ ช้อนชา
  • นมถั่วเหลือง ½ ถ้วย
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
  • น้ำแข็ง

Start : เอาส่วนผสมทุกอย่างปั่นเข้าด้วยกัน พร้อมเสิร์ฟ

Banana Matcha Smoothie

Banana Matcha Smoothie

ส่วนผสม :

  • กล้วยหอมแช่ฟรีซ 1 ถ้วย
  • ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา
  • ผักโขม 1 ถ้วย
  • แฟล็กซีด 1 ถ้วย
  • กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  • นมอัลมอนด์ ¾ ถ้วย

Start : เอาส่วนผสมทุกอย่างปั่นเข้าด้วยกัน พร้อมเสิร์ฟ

Butterfly Pea Flower Matcha Lemonade

Butterfly Pea Flower Matcha Lemonade

ส่วนผสม :

  • น้ำ 1 ถ้วย ผสมน้ำตาลครึ่งถ้วยและน้ำมะนาว1/4 ถ้วยอุ่นเข้าด้วยกัน
  • ดอกอัญชัน 2 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 1 ถ้วย 3-5 นาทีเพื่อให้สีออก
  • ผงมัทฉะ 2 ช้อนชา
  • น้ำอุ่น1 ถ้วย

Start : นำน้ำมะนาวที่ผสมแล้ว เทผสมกับน้ำอัญชันสีฟ้าที่ได้จากการต้ม สีน้ำมะนาวจะเปลี่ยนเป็นสีม่วง เทให้ได้สัดส่วน ⅔ ของแก้ว ตีมัทฉะกับน้ำจนละลาย เทใส่น้ำมะนาวอัญชันด้านบนจนเต็มแก้ว

Matcha Ginger Beer

Matcha Ginger Beer

ส่วนผสม :

  • 1 bottle ginger beer
  • ผงมัทฉะ 1 ช้อนชา

Start : นำผงมัทฉะละลายน้ำโดยให้ผสม ginger beer 4 ช้อนชา เข้าไปตีให้เข้ากัน แล้วเทลงในแก้วทรงสูงแล้วเติมginger beer ลงไปให้เต็มแก้ว

ไอเดียใหม่ๆหาได้ง่ายๆทุกวัน หยิบโน่นผสมนี้ทดลอง จดบันทึกในทุกรายละเอียด เพียงเท่านี้ร้านของคุณก็จะมีเมนูใหม่น่าทานมาให้ลูกค้าได้ผลัดกันแวะเวียนมาชิมเรื่อยๆเอง

ที่มา

https://www.ohhowcivilized.com

https://matchazuki.com/

https://www.feastingathome.com/matcha-green-tea-and-pineapple-smoothie/

บทความจาก : Fuwafuwa

รวมเทคนิคการถ่ายชวนลูกค้าเข้าร้าน

ยุคโซเชียลแบบนี้ภาพที่เราใช้โพสต์ลงโซเชียลของร้าน ส่งผลต่อลูกค้าอย่างมาก ยิ่งภาพสวย ดูแล้วน่าทาน ยิ่งทำให้ลูกค้าอยากเข้ามาลองมากขึ้น มาดูเทคนิคการถ่ายภาพที่ใครเห็นแล้วก็อยากเข้าร้าน โดยต้องคำนึงไว้เวลาถ่ายว่า ถ่ายอย่างไรให้เพื่อนหิว ทำได้โดยการเข้าไปใกล้ๆ แล้วดูว่าในจานนี้มีสิ่งใดที่น่าจะยั่วน้ำลายได้ดีที่สุด ซูมถ่ายโดยให้สิ่งสิ่งนั้นเด่นที่สุดไปเลย

matcha matcha

1. เน้นใช้สีโทนอุ่นในการถ่าย  ลดแสงสว่างของภาพลงหน่อย แต่อย่าลดมากเกินไปจะทำให้อาหารดูหมอง ไม่เห็นรายละเอียดของสิ่งที่กำลังถ่าย ถ้าจะให้ดีให้ใช้แสงธรรมชาติจะดีที่สุด พยายามเลี่ยงการใช้แฟลชของมือถือที่ใช้ถ่ายภาพ เนื่องจากจะทำให้เกิดเงา และทำให้อาหารดูแบน ไม่มีมิติ หากแสงไม่พอจริงๆ ควรใช้มือถือเครื่องอื่นส่องไฟมาในระยะห่างๆ จะดีกว่า  และให้ความสำคัญกับเงาจกแสงธรรมชาติ เพราะจะทำให้ภาพเูสมจริง น่าค้นหามากขึ้น

matcha shooting

2.ถ่ายด้วยมุมที่เรานั่งทานอาหาร และมี Action กับอาหารบ้างเป็นการช่วยเพิ่มชีวิตชีวาและเรื่องราวให้กับภาพถ่าย การจับภาพช่วงเวลาต่างๆ เช่น ขณะกำลังเทนมลงในแก้วชา ขณะที่กำลังจะยกชาขึ้นมาดื่ม เห็นมือ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายบ้าง จะทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น

shooting shooting shooting

3.ทำขนาดภาพเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นขนาดอัตราส่วน 1:1 หรือ Square เป็นที่นิยมค่อนข้างมาก เพราะรูปขนาดนี้จะช่วยทำให้เราเห็นดีเทลของอาหารได้ชัดขึ้น เห็นได้ใกล้ขึ้น ก็จะดูน่าทานมากขึ้นไปด้วย

4.ลองเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆเข้าไปในภาพ ภาพอาหารแบบที่ใส่ในจานหรือถ้วยแบบเดิมๆอาจจะดูน่าเบื่อเกินไปสำหรับบางคน ลองวางของตกแต่งอื่นๆที่แปลกตาไว้ข้างๆจาน อาจจะเป็นของที่เกี่ยวข้องกันอย่างฉะเซน กาชา ในขณะชงชา หรือ ต้นไม้  ผ้าสวยๆสักผืน ขณะดื่มชา จะช่วยสร้างบรรยากาศใหม่ๆ และทำให้ภาพดูสวยแปลกตาขึ้นได้

shooting shooting shooting

5.ถ่ายภาพจากด้านบนตรงๆ เพื่อเน้นสีสันและรูปทรง โดยถ่ายภาพจากด้านบนตรงๆเช่น จากมุมสูงเมื่อคุณสามารถหาตำแหน่งถ่ายภาพได้แล้ว ขยับเข้าใกล้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แม้ว่าบางส่วนของจานจะต้องหลุดเฟรมภาพไปก็ตาม แต่จะทำให้อาหารเครื่องดื่มนั้นๆ ดูน่าทานมากยิ่งขึ้นจะทำให้เห็นรายละเอียดของอาหารครบ และดูน่ารับประทาน มากกว่าการถ่ายแนวราบ หรือ 45 องศา ที่อาจจะเห็นเพียงแค่บางส่วน 

shooting shooting

6.หาจุดเด่นของภาพ จัดภาพให้เมนูที่ต้องการเด่นนั้นดูชัด ใช้สีพื้นหลังเรียบๆ เช่น นำมาวางด้านหน้า หรือถ่ายโดยเน้นจานนั้นเป็นพิเศษ ก็จะทำให้ภาพไม่ดูรกจนเกินไป การเว้นที่ว่างในภาพบ้างก็ช่วยเพิ่มความสบายตา และทำให้เมนูที่ต้องการเน้น เห็นชัดมากขึ้น

shooting

  1. อย่าลืมที่จะถ่ายภาพเมนูอาหารให้เห็นบรรยากาศของที่ร้านบ้างเพื่อให้คนที่เห็นภาพร้านเราในโซเชียล ได้ซึมซับบรรยากาศร้านที่ตกแต่งอย่างสวยงามกับเครื่องดื่ม ขนมที่ดูน่าทาน ว่าถ้าได้ไปอยู่ที่ร้านนั้นจริงๆ จะรู้สึกดีแค่ไหน

ลองปรับสไตล์การถ่ายภาพเมนูที่ร้านของคุณให้เหมาะกับบรรยากาศร้าน และคอนเซปต์ของร้าน ก็จะช่วยให้เมนูนั้นๆน่าทานมากยิ่งขึ้นได้นะ ^^

ที่มา

https://www.pinterest.com/pin/374713631499402090/

https://www.flickr.com

https://www.ohhowcivilized.com/matcha-latte/

http://matchaeologist.com/

https://www.notonthehighstreet.com

https://tendingthetable.com

บทความจาก : Fuwafuwa