ต่อยอดเมนูจากไอเดียจากร้านสุดครีเอทีฟ

เมืองอูจิ เมืองขึ้นชื่อเรื่องชาเขียว ที่หลายคนคงเคยได้ยินว่าทั้งเมืองจะมีแต่ร้านขายขนม เครื่องดื่ม ที่ทำจากชาเขียว แค่คิด ก็ได้กลิ่นชาหอมๆตลอดเส้นทางการไปเยือนเมืองนี้แล้ว นอกจากจะขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย และเต็มไปด้วยไอเดียในการทำขนมหวานเป็นรสชาติชาเขียวแล้ว ที่น่าสนใจกว่านั้นคือแต่ละร้านมีหลากหลายไอเดียที่ผู้ประกอบการร้านอาหาร คาเฟ่ชาเขียวของไทยน่าเอามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มจุดขายให้ที่ร้าน และยังเป็นการใช้วัตถุดิบผงชาเขียวที่มีอยู่แล้วในร้านให้เกิดมากที่สุดด้วย

ร้านแรกที่จะพาไปรู้จัก คือ ร้าน そば処 ながの( Sobadokoro Nagano )ร้านนี้เขาทำโซบะชาเขียว ขั้นแรกให้ลองชิมเส้นโซบะแบบยังไม่จิ้มกับซอสก่อน เราจะรู้สึกถึงความหอมของชาเขียวที่ผสมอยู่ในเส้นแบบเต็มๆคำ พอจิ้มซอสแล้วก็จะได้รสชาติหวานเล็กน้อย ส่วนอินาริซูชิ ก็เป็นแบบพิเศษเพราะด้านในไม่ใช่ข้าวแต่เป็นเส้นโซบะแบบธรรมดาผสมกับโซบะชาเขียวเช่นกัน

ดูแผนที่ได้ที่https://goo.gl/maps/TdDzEQUNB4CE8vzz5

uji kyoto uji kyoto

ร้านต่อไปที่จะพาไปรู้จักคือร้านMatcha Republicที่ขายเครื่องดื่มชาเขียวแบบบรรจุลงขวดหมึกเก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร มีทั้งแบบผสมไข่มุก แบบผสมซากุระ ที่บรรจุลงขวดให้เห็นเป็น Layer ที่สวยงาม จะซื้อทานเองหรือซื้อเป็นของฝากก็เก๋ไก๋ไม่ซ้ำใคร ลืมหน้าตามัทฉะลาเต้แบบปกติกันไปได้เลย

ดูแผนที่ ได้ที่ https://goo.gl/maps/UB6RqZceBngnw3XZ9

uji kyoto uji kyoto

อีกร้านที่หน้าร้านเหมือนร้านขายเนื้อแสนธรรมดา แต่กลับมีโครเกต์ชาเขียวกลิ่นหอมชา มันหวานๆเนื้อสัมผัสเนียนนุ่ม ยิ่งทอดใหม่ๆ ยิ่งอร่อย แถมหาทานได้ยาก ใครผ่านไปแถวนั้นอย่าลืมแวะไปลองที่ ร้าน Niku no Hariyoshi

ดูแผนที่ได้ที่https://goo.gl/maps/zx8MdGeTdBreQbpr7

uji kyoto uji kyoto

อีกร้านหนึ่งที่น่าสนใจคือ ร้าน Tako Q (蛸Q) ที่นำผงชาเขียวไปผสมกับแป้งและซอสเพื่อทำเป็นทาโกะยากิชาเขียว และ เกี๊ยวซ่าชาเขียว ทานคู่กับผงชาเขียวผสมเกลือเล็กน้อย เป็นอีกไอเดียที่หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่าสามารถนำผงชาเขียวมาประยุกต์ทำอาหารว่างได้ และที่สำคัญคือ ในไทยแทบจะไม่มีการนำผงชาเขียวมาทำเป็นอาหาร เป็นอีกไอเดียที่อาจจะสร้างความว้าวให้ร้านของคุณได้

ดูแผนที่ได้ที่https://goo.gl/maps/3dQqrKTm4PJPYLwh7

uji kyoto uji kyoto

สำหรับร้านไหนที่อยากเพิ่มเมนูใหม่ให้ที่ร้าน แต่ไม่รู้จะเพิ่มเมนูไหน ลองมองให้กว้างขึ้นกว่าการนำชาเขียวไปทำขนมและเครื่องดื่ม เปลี่ยนแนวการจัดเสิร์ฟของเมนูชาเขียวในร้านแบบเดิมๆ ก็จะสร้างสีสันและความน่าตื่นเต้นให้ลูกค้าได้

ที่มา

https://tabelog.com/kyoto/A2607/A260701/26005936/

https://www.matcha-republic.com/menus

บทความจาก : Fuwafuwa

Uncovering the Best Ways to Combine Matcha and Milk 

ชาใส่นม ไม่ว่าจะเป็นมัทฉะลาเต้ หรือ ชานมเย็น ที่เป็นที่ชื่นชอบของหลายๆคน ด้วยความเข้มข้น ของชา และความกลมกล่อมด้วยนมที่ผสมตามสูตรของที่ร้าน ชาจึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ อย่างที่ไทยบ้านเรา ก็มีทั้งชาดำเย็น ชานม หรือฝั่งญี่ปุ่น คนนิยมบริโภคชาเขียว ฝั่งยุโรปยังมีธรรมเนียมในการดื่มชากับขนมหวาน หรือที่เรียกว่า Afternoon tea นอกจากรสชาติที่อร่อยแล้วยังเป็นเพราะชาอุดมด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากๆ อย่างที่รู้กัน เช่น สารคาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ และสารธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำงานสัมพันธ์กันกับเส้นประสาท หากดื่มไปแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่งและสมองปลอดโปร่งมากขึ้น ซึ่งการจะได้ประโยชน์จากสารอาหารเหล่านี้อย่างเต็มที่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าต้องดื่มแบบไม่ผสมนม หรือน้ำตาล

Matcha Latte

แต่การผสมชากับนมนั้นมันไม่ดีจริงเหรอ? 

มีการค้นพบโดย นักวิจัยจากโรงพยาบาลคาริตของมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน เยอรมนี ว่า ชาจะหมดประโยชน์ได้ ถ้าหากใส่นม เพราะโปรตีนในนมจะไปยับยั้งการทำงานของสารคาเทซิน ทำให้ประโยชน์ของชาในการปกป้องโรคหัวใจหมดไปการวิจัยดังกล่าวทดลองเปรียบเทียบ ระหว่างสุขภาพของผู้ดื่มน้ำอุ่น ดื่มชา และดื่มชาแบบเติมนม พบว่า

“ คนที่ดื่มชาทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับการดื่มน้ำอุ่น แต่พอมีการเติมนมลงไปในน้ำชาคุณประโยชน์ชาก็จะหายไปทันที ”

Matcha Latte

แต่ถ้าต้องการดื่มชาแบบเติมนมจริงๆ ก็ยังมีการโต้เถียงอีกว่า“ควรใส่ ชาก่อนหรือหลังนม?”

บางคนก็เชื่อว่าการเติมนมทีหลังชงชา ทำให้ผู้ดื่มสามารถกะปริมาณนมได้ง่ายกว่า โดยดูจากสีที่เปลี่ยนไป แถมเปิดโอกาสให้เจ้าของชาเลือกอุณหภูมิที่พอใจได้ด้วยตนเอง

แน่นอนว่าก็มีบางคนที่บอกว่าการเติมนมก่อนชงชาสามารถรักษาอุณหภูมิของชาได้ดีกว่า และทำให้ชามีรสละมุนกว่า เพราะแลคโตสในนม จะละลายดีกว่าเมื่อถูกความร้อนอย่างช้าๆ และการที่เทชาลงทีหลัง ทำให้นมมีโอกาสสัมผัสความร้อนจากชาได้อย่างทั่วถึงนั้นเอง ซึ่งเป็นสาเหตุหลังให้รสชาติของนมมีความกลมกล่อมและหวานหอมมากกว่า และนมที่ดีไม่ควรผ่านความร้อนหลายครั้ง ดังนั้นถ้าอยากเก็บคุณค่าทางสารอาหาร ก็แนะนำให้เสิร์ฟนมอุณหภูมิปกติ โดยให้ผ่านความร้อนจากการสัมผัสชาเพียงครั้งเดียวจะดีกว่านั่นเอง

อย่างไรก็ตามการไม่ใส่นมลงไปในชา ถือว่าเป็นวิธีการดื่มที่ดีที่สุด แต่ถ้าใครอยากใส่นมจริงๆ ลองเปลี่ยนมาดื่มชาที่ผสมนมอัลมอนด์ หรือนมพิสทาชิโอแทนก็น่าสนใจทีเดียว เพราะ 2 ตัวนี้อุดมด้วยมีแคลอรี่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินอี และวิตามินดีไม่แพ้นมวัวเลย ที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลือง ปราศจากแลคโตสและกลูเตน คนที่แพ้นมวัวจึงสามารถทานได้อย่างไร้กังวล

Matcha Latte

ที่มา https://www.teacachai.com/pistachio-matcha-latte/

https://www.acozykitchen.com/matcha-iced-latte

https://bonaippetit.com/aip-coconut-milk-matcha-latte/

https://theforkedspoon.com/how-to-make-thai-iced-tea/

บทความจาก : Fuwafuwa

รวมกันแล้วรุ่ง ด้วย Marketing Collaboration

จะเห็นว่าช่วง 2-3 ปีมานี้ ธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ เบเกอรี่ และเครื่องดื่มหลากหลายรูปแบบเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งที่เป็น SME ร้านมีแฟรนไชส์ หรือแม้กระทั่งใครหลายคนที่อาศัยช่วงเวลาว่างอยู่ที่บ้าน เข้าครัว จับโน่นผสมนี่ออกมาทำขายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสินค้าไหนๆ ก็คู่แข่งเต็มไปหมด โดยเฉพาะร้านสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นขนม ชา หรือร้านอาหารก็ตาม ด้วยจำนวนร้านที่เพิ่มขึ้นมาก แต่จำนวนผู้บริโภคมีเท่าเดิม คงหนีไม่ได้ กับการที่ยอดซื้อของบางร้านที่ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่นมากพอ จะลดลงอย่างแน่นอน

การ Marketing Collaboration  หรือการจับคู่แบรนด์เพื่อทำโปรเจกต์ร่วมกัน กลยุทธ์นี้เป็นการผสมผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่ายเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความแปลกใหม่ และขยายกลุ่มลูกค้าให้กว้างขึ้น อย่างไรก็ตามการทำ Marketing Collaboration ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกเคสไป และมือใหม่ที่ไม่ถนัดการตลาดมากนัก อาจจะจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าต้องเริ่มทำจากอะไร

เทคนิคการทำ Marketing Collaboration เริ่มจาก

1.กำหนดเป้าหมายให้ชัดต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าทำเพื่ออยากได้กลุ่มลูกค้าแบบไหนเพิ่มขึ้น อยากได้ชื่อเสียงจากอีกแบรนด์ในด้านไหนในการทำกิจกรรมทางการตลาดร่วมกัน อย่างเช่น

Marketing Collaboration

“KitKat  X Krispy Kreme” ช็อคโกแลตคิทแคทที่หลายคนรู้จัก จับมือกับโดนัทยอดฮิต เพื่อออกสินค้าใหม่ที่เป็น Limited Edition แม้จะเป็นธุรกิจขนมเหมือนกัน แต่การจับมือของสองแบรนด์นี้ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยของโดนัทและเวเฟอร์ช็อคโกแลตที่ดังระดับโลก ย่อมทำให้คนรักขนมต้องอยากลองสักครั้งแน่นอน

Marketing Collaboration

หรือ Mister Donut x Calpis  โดนัทที่หลายคนคิดไม่ถึงว่าสามารถทำเป็นรสชาติเครื่องดื่มโยเกิร์ตที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของ Calpis ได้น่าทานขนาดนี้

การดึงเอกลักษณ์วัตถุดิบที่โดดเด่นของแบรนด์อื่นๆมาร่วมกันทำสินค้าใหม่ที่ีมีความน่าตื่นเต้นและน่าทานได้แบบนี้ จะเป็นการดึงฐานลูกค้าของทั้งสองแบรนด์ให้มาซื้อสินค้าตัวนี้ได้

2. แบรนด์ต้องมีความเข้ากันได้และเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าและเจ้าของธุรกิจชื่นชอบ ความเข้ากันได้ รวมถึงวิธีการทำงาน วิสัยทัศน์ ภาพลักษณ์ หรือเป้าหมายว่าไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ เพราะจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลกำไร และยังได้แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆที่น่าสนใจของแบรนด์พันธมิตรอีกด้ว

3. ต้องร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งที่ทำให้ลูกค้าคิดไม่ถึง อย่าง 2 แบรนด์นี้ที่ดูแล้วไม่น่าจะทำการ Collaboration ได้ แต่ Kitkat ที่เกาหลียังคงมีไอเดียสร้างสรรค์ จับมือกับเครื่องสำอางวัยรุ่นออกซีรีย์ KitKat Eye Shadow Palettes in Two “Flavors” ที่ทำช็อคโกแลตออกมาให้มีสีเหมือนกันกับพาเลทของสาวๆ ช่วยสร้างสีสันให้ไม่น่าเบื่อ

Marketing Collaboration

4.อย่าลืมมองสินค้าประเภทเดียวกัน อย่ามองว่าอีกฝ่ายเป็นคู่แข่งอย่างเดียวเราอาจจะหยิบจุดเด่นของร้านคู่แข่งบางอย่างมาช่วยเติมเต็มสิ่งที่ร้านเราขาดไป กลายเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันได้ อย่างช่วงนี้ที่หลายๆร้านมีขายเครื่องดื่มชาสูตรเฉพาะของที่ร้าน อาจจะนำชาของแต่ละร้านที่มีจุดเด่นความกล่มกล่อมและรสชาติ และสัญชาติชาที่แตกต่างกัน บางร้านอาจจะเป็นชาไทย บางร้านเป็นชาจีน หรือชายุโรป แต่เป็นชาที่แตกต่างกัน ออกมาเป็นสินค้าใหม่ที่เป็นคอลเลคชั่น TEA ก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

Marketing Collaboration

**ภาพนี้ไม่ได้เป็นการ Collaboration เป็นเพียงการยกตัวอย่างประกอบให้เห็นชัดเจนง่ายขึ้น**

5.การ Collaboration ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์ สินค้า 2 แบรนด์ เสมอไป การครีเอทสิ่งใหม่จากแบรนด์เดิม ด้วยศิลปิน เชฟจากที่อื่นที่ไม่ใช่คนในทีมของร้านนั้นๆ ก็ถือว่าเป็นการทำ Collaboration เช่นกัน อย่างเช่น Mister Donut x Toshi Yoroizuka (เชฟ patissier ชื่อดังของญี่ปุ่น ) ในการออก Collection Mister Donut 50th anniversary กับสุดยอดเมนูโดนัทที่รังสรรค์จากฝีมือเชฟระดับประเทศ ออกมาในรูปแบบของโดนัทที่เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ให้ใครหลายๆคนที่อยากทานของอร่อยได้ในราคาเข้าถึงง่าย

Marketing Collaboration Marketing Collaboration

ที่มา

https://bit.ly/2YLRvyJ

https://bit.ly/2SR2WBb

https://bit.ly/2LdTWSr

https://allabout-japan.com/en/article/2508/

https://matcha-jp.com/en/9656?type=news

บทความจาก : Fuwafuwa

ออกแบบเมนูอย่างไรให้ปังดึงดูดลูกค้า!!!

เคยเจอปัญหานี้ที่ร้านกันมั้ย ???

  • คิดเมนูออกมาได้รสชาติดี ราคาไม่แพงแล้ว แถมทำเลร้านก็ดี แต่ทำไมลูกค้ายังไม่เข้าร้าน
  • มีบริการส่งดิลิเวอรี่ แต่ลูกค้าก็ยังไม่กดสั่งซื้อ
  • เลือกใช้วัตถุดิบชั้นดี นำเข้าจากต้นกำเนิด แต่ยอดขายก็ไม่ขึ้น

ส่วนนึงที่หลายคนอาจลืมนึกถึงไปคือ ใบเมนูของที่ร้าน หรือรูปภาพที่เราใช้ในการทำเมนูหรือโพสต์ลงโซเชียลนั้นเอง ที่เป็นเหมือนหน้าต่างบานแรกของทุกร้าน ส่งผลต่อการเลือกซื้อของลูกค้า มาดูกันว่า ดีไซน์เล่มเมนูแบบไหนที่ช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น

1. คำที่ใช้เขียนในใบเมนูต้องน่าตื่นตาตื่นใจเช่น “Handcrafted” “Recommend” “New Arrival” “Signature Menu” แต่อย่าใส่มากเกินไป เพราะลูกค้าอาจจะสับสนในการตัดสินใจเลือกสั่งได้ อย่างภาพนี้ที่ถ้าดูเผินๆหลายคนอาจจะไม่สนใจ แต่ถ้าดูดีๆแล้วเห็นคำว่า NEW ในภาพ จะเกิดความสะดุดตา อยากซื้อขึ้นมาในทันใด

Matcha Menu

2. เล่าเรื่องราวของเมนูนั้น อธิบายรสชาติของขนมว่ามีส่วนผสมของไส้อะไรบ้าง หรือ อธิบายวัตถุดิบเล็กน้อย เมนูไหนที่ใช้วัตถุดิบพรี่เมี่ยม อย่างเช่น ผงชาเขียวนำเข้าจากอูจิเกียวโต ชาชั้นดีของญี่ปุ่น คำเหล่านี้ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจ เพราะได้รู้ถึงที่มาของวัตถุดิบที่รสเลิศจึงมีส่วนช่วยให้อยากสั่งอาหารได้มากเลยทีเดียว

Matcha Menu

นอกจากอธิบายด้วยข้อความแล้ว สามาถอธิบายด้วยภาพได้เช่นกัน อย่างเช่น การมีพร็อพตกแต่งข้างๆเป็นฉะเซ็น ถ้วยชงชาญี่ปุ่น แสดงถึงที่มาของชาเขียวที่อยู่ในทาร์ตนี้ว่าเป็นชาเขียวของญี่ปุ่น และมีส่วนผสมของ ถั่วแดง

Matcha Menu

3. สีสื่อความหมายเช่น สีเขียวสื่อความหมายถึงความสดชื่น ดูธรรมชาติ จึงควรใช้ประกอบเมนูที่โดดเด่นด้านความสด สะอาด สีเหลืองสื่อความหมายถึงความสุข จึงดึงดูดสายตาของลูกค้าได้ดี สีแดงกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เป็นต้น

4. เลือก เมนูเด็ด ไว้กึ่งกลางหน้า เพราะคนส่วนมากดูที่ตรงกลางก่อน ค่อยเลื่อนสายตาไปมองทางซ้ายบนและขวาบน

5. ตั้งราคาให้ดึงดูด ลงท้ายด้วยเลข 9 เพราะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าราคาไม่แพงจนเกินไป (แม้จะเพิ่มอีกแค่ 1 บาทก็ตาม)

6. จัดกลุ่มเมนูที่มีความเหมือนกันไว้ด้วยกัน เพื่อให้ลูกค้าดูเทียบกันตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น ขนมในร้านมีหลายรสชาติ แต่จับอันที่เป็นรสชาติชาเขียวเหมือนกันไว้ใกล้ๆกัน แยกรสชาติกันไป

Matcha Menu

7. เลือกใช้สัญลักษณ์กราฟฟิคบางอย่างเพื่อทดแทนคำพูด หรือข้อความ เพื่อความเข้าใจง่ายและ TEXT ไม่เยอะเกิน เช่นใช้สัญลักษณ ใบชา เครื่องดื่มร้อน เย็น ปั่น แทนข้อความที่ต้องระบุลงไป

Matcha Menu

8. ใส่ข้อมูลที่จำเป็นลงไปแล้ว อย่าลืมทิ้งพื้นที่วางในภาพหรือใบเมนูบ้าง เพื่อให้อาหารในภาพดูโดดเด่น สบายตา อ่านง่าย เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

Matcha Menu

ที่มา

https://bit.ly/2xMsTe9

Pinterest.com

https://creative.starbucks.com/voice/

https://www.misterdonut.jp/

https://www.pablo3.com/

บทความจาก : Fuwafuwa

Understanding the Differences Between Various Types of Green Tea

ทุกคนน่าจะเคยเห็นชาเขียว ที่สีไม่เขียว อย่างที่รู้จักกันในชื่อของ ชาโฮจิฉะ กันแล้ว แต่ก็อาจจะเคยเห็นชา ที่สีเขียวเหมือนกัน ต่างระดับเข้มอ่อน ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการแสดงรสชาติที่มีหลากรสชาติหลายระดับ สิ่งที่ทำให้ชาเขียวแตกต่างจากชาประเภทอื่นๆ อย่างชาแดง และชาอู่หลง คือการ “นึ่ง” ใบชา ที่สามารถช่วยไล่กลิ่นเหม็นเขียวไปพร้อมๆ กับหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้รักษาสีเขียวเอาไว้ได้นั่นเอง

สิ่งที่เรียกว่าชาเขียวเองก็ยังแบ่งได้ออกเป็นอีก 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

1.เกียวคุโระ (Gyokuro)ยอดใบชาเขียวชั้นดี ใบชาม้วนเป็นเกลียว สีเขียวเข้ม ปลูกโดยคลุมผ้ากันแสงให้อยู่ในสภาวะเหมาะสมจนเกิดเป็นสีเขียว ผ่านการนึ่ง นวด และทำให้แห้ง ได้ออกมาเป็นชารสไม่ฝาด หวานเล็กน้อย ซึ่งที่มาของรสชาติหวานกลมกล่อมนี้ มาจากการที่ให้ใบชาอยู่ในร่มก่อนการเก็บเกี่ยว ซึ่งการป้องกันแสงแดดนี้จะทำให้สารเธียอะนินที่มีประโยชน์ (ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย) ในใบชาเพิ่มขึ้น แต่ทำให้สาร catechin ที่มาของรสขมในใบชาลดลง ทำให้ได้ชาที่มีรสชาติหวานกลมกล่อมนั่นเองกลิ่นหอม สีชาเกียวคุโระสีเขียวสด จัดเป็นชาเขียวชั้นสูง ผลิตได้ไม่มาก เก็บเกี่ยวได้ทีละน้อย ราคาจึงค่อนข้างแพง ส่วนมากใช้ในงานพิธีการ

2.มัทฉะ (Matcha) ชื่อที่หลายคนคุ้นเคยมากที่สุด ชาตัวนี้ผลิตจากมาจาก เท็นฉะ (Tencha) ซึ่งได้มาจากใบชาที่ปลูกในที่ร่มเหมือนชาเกียวคุโระก่อนจะนำไปบดเป็นผงด้วยหินอย่างพิถีพิถัน มักจะใช้ในพิธีชงชา เพราะมัทฉะรสชาติกลมกล่อมมัทฉะแบ่งเป็นหลายเกรด เช่น สำหรับทำขนม เครื่องดื่ม ชงในงานพิธีการ เป็นต้น สามารถสังเกตได้จากสีของมัทฉะ ยิ่งมัทฉะสีเข้มเท่าไหร่ คุณภาพก็ยิ่งดี ซึ่งในมัทฉะสารอาหารค่อนข้างมากที่สุด

3.เซ็นฉะ (Sencha) ชาเขียวส่วนใหญ่ หรือคิดเป็นกว่า 60% ของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่นไม่ต้องเลี้ยงในร่ม เก็บเกี่ยวในช่วงแรก หรือช่วงที่สองของปี เมื่อเก็บใบมาแล้วต้องผ่านกระบวนการนึ่ง นวด และอบแห้งเหมือนกับเกียวคุโระ รสชาติค่อนข้างฝาด เนื่องจากการอบเลยทำให้ชาประเภทนี้ค่อนข้างมีกลิ่นหอม

4. บันฉะ (Bancha) คุณภาพรองลงมาจากชาเซนฉะ เพราะเก็บเกี่ยวในช่วงที่สามหรือสี่ของปี ใช้ดื่มทั่วไป เป็นใบชาที่เหลือจากยอดต้น ได้มาจากใบชาที่เก็บนอกฤดูกาล เช่น ก่อนต้นชาแตกยอด

ใหม่ หรือมีขนาดไม่ได้ตามมาตรฐาน รวบรวมมาผ่านกระบวนการต่างๆ จนได้เป็นชาราคาย่อมเยา มีรสชาติอ่อน สีออกไปทางเหลืองอมเขียวแทนที่จะเป็นสีเขียวสด รสฝาดกว่าชาชนิดอื่น อีกทั้งกลิ่นเฉพาะตัวของชาไม่หอมเท่าประเภทอื่น

ชาเขียว

ความอร่อยในการดื่มชาแต่ละประเภทอยู่ที่รสนิยม วิธีการปรุง รวมถึงอาหารที่รับประทานทานคู่กับชา แต่ชาเขียวทุกประเภทมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายจำนวนมากน้อย ขึ้นอยู่กับประเภทของชานั้นๆ นั่นเอง

Matcha Matcha

ที่มา

6 Different Types of Tea: The Ultimate Guide

http://www.flickr.com/photos/nikosan-artwork/5445104938/in/set-72157625618496145/

Homemade Tea Blends | For Christmas

https://kinarino.jp/cat8/25451

บทความจาก : Fuwafuwa

How to Artfully Sprinkle Matcha Powder on Desserts for a Visually Stunning Finish

ตามปกติแล้วชาเขียวที่ใช้ทำเบเกอรี่นั้น ใช้ได้ทั้งชาเขียวแบบใบและแบบผง ถ้าใช้แบบใบต้องนำไปชงในน้ำร้อนแล้วกรองใบชาออกก่อนใช้ เราจึงนิยมใช้แบบผงมากกว่าเพราะใช้งานได้กว้างกว่า สามารถใช้ได้ทั้งแบบแห้งหรือนำไปชงแล้วใช้แบบน้ำได้ด้วย ซึ่งหลายคนที่เลือกใช้แบบผงมาทำขนมแล้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหากับการแต่งหน้าขนมที่ไม่เป็นตามที่คิดไว้

การโรยผงมัทฉะลงไปที่ขนมแล้วซึมลงไปในเนื้อเค้กนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ เพราะผงชามันจะดูดความชื้นเข้ามาจนเปียกเมื่อทิ้งไว้นานๆ นั้นเอง สีจึงอาจจะไม่เรียบเนียน

matcha cake matcha cake

ทริคเล็กๆน้อยๆสำหรับการแต่งหน้าขนม คือ ให้โรยตอนที่จะเสิร์ฟ หรือใกล้ๆช่วงเวลาที่จะทานเพื่อให้สีเขียวเรียบเสมอกัน และแนะนำให้ก่อนโรยผงมัทฉะ พักหน้าเค้กไว้ในตู้เย็นไม่ต้องเอาอะไรคลุม ให้หน้าเค้กแห้งขึ้น สัก 2 ชม. จะทำให้ผงมัทฉะติดง่ายขึ้นไม่ละลายซึมลงไป หรือในกรณีที่ต้องการตกแต่งหน้าขนมเป็นลวดลาย หลังจากนำเค้กออกจากตู้เย็น วางกระดาษทาบไปบนหน้าเค้ก ไม่ต้องกด แล้วโรยผงมัทฉะด้วยกระชอนตาถี่ๆให้ทั่วตามรอยที่บุไว้ (ขั้นตอนนี้ต้องทำให้รวดเร็ว)

อย่างไรก็ตามบางคนก็นำผงมัทฉะผสมน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อย จะช่วยได้พอประมาณ เพราะในน้ำตาลไอซิ่งมีแป้งข้าวโพดจะช่วยกันความชื้นระดับหนึ่ง หรือใช้ผงมัทฉะเฉพาะสำหรับโรยหน้าขนม แต่ราคาจะค่อนข้างสูงกว่าผงมัทฉะปกติ มีขายตามร้านทำขนมที่ญี่ปุ่

ส่วนใครที่ไม่มีน้ำตาลไอซิ่ง สามารถน้ำตาลไปป่นจนละเลียดและผสมแป้งข้าวโพดเข้าไปประมาณ 3% ก็จะมีลักษณะที่เป็นเหมือนน้ำตาลไอซิ่ง ใช้แทนกันได้

อีกข้อควรระวังในการโรยผงมัทฉะลงบนขนม คือ เรื่องสี รสชาติ และกลิ่น กล่าวคือ สีของผงมัทฉะ ยิ่งเขียวสดเข้ม จะยิ่งมีความขมน้อยมากๆเป็นมัทฉะที่ได้รับการดูแลอย่างดี สายพันธุ์ดี แต่ถ้าสีเขียวอ่อน คือผลิตจากใบชาที่เกรดรองลงมา ผลิตจากใบชาเขียวใบโตที่ได้รับแสงแดดมานาน ใครที่เป็นขั้นเทพเรื่องชาเขียวพอเห็นหน้าตาขนมเลยจะรู้ได้เลยว่าใช้ชาเขียวเกรดไหนในการทำขนม แต่วิธีเพิ่ม value ให้ขนมได้อีกทาง คือ การเขียนText สั้นๆ ว่าที่ร้านใช้ผงมัทฉะเกรดพรี่เมี่ยมจากที่ไหน ก็จะทำใ้ขนมมีมูลค่ามากขึ้น เพราะ บางคนไม่รู้ว่าสีเขียวเข้มๆที่เห็นเป็ฯผงชาเขียวแท้ๆ หรือเป็ฯการผสมสีผสมอาหารนั่นเอง

นอกจากนั้นรสของชาปกติจะมีความหวานในตัวนิดๆ ขมหน่อยๆ ฝาดพอรู้สึกได้ แต่ถ้าชาเกรดรองๆลงมา จะยิ่งขมและฝาดมากขึ้น เพราะฉะนั้น การเลือกผงชาเขียวที่ใช้โรยหน้าขนมก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญไม่แพ้กัน

matcha

ที่มา

https://bit.ly/2S6UsG2

Tastykitchen.com

http://cookingwithjapanesegreentea.blogspot.com/

https://www.justonecookbook.com/

http://www.landsandflavors.com/vegan-matcha-mousse-cake/

บทความจาก : Fuwafuwa

The Best Types of Ice for Crafting Perfect Drinks

เคยเป็นมั้ยที่ชงเครื่องดื่มออกมาดื่มเพียวๆอร่อยมาก แต่พอเทน้ำแข็งลงไป รสชาติกลับไม่เข้มข้นเหมือนเดิม แม้จะใช้วิธีในการคำนวณแบบง่ายๆที่หลายร้านใช้กันอย่างน้ำแข็งเต็มแก้ว 16 oz จะต้องใส่เครื่องดื่มที่ผสมส่วนผสมตามสูตรแล้วปริมาณ 6 oz หรือ 180 ml ถึงจะได้เครื่องดื่ม และ น้ำแข็ง ที่เต็มแก้วขนาด 16oz พอดิบพอดี แต่ก็กลับเจอปัญหาอีกที่ บางครั้งแค่เปลี่ยนแบบน้ำแข็งที่ใช้ในการชงเครื่องดื่มรสชาติก็เปลี่ยน เพราะหลายคนคิดไม่ถึงว่าน้ำแข็งแต่ละรูปทรงก็ส่งผลต่อรสชาติของเครื่องดื่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ น้ำแข็ง วัตถุดิบธรรมดาที่มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เอาใจใส่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆแบบนี้ จะทำให้ร้านคุณมีเอกลักษณ์ และทำให้ลูกค้าประทับใจได้มากขึ้นได้

ice

น้ำแข็งหลอดที่มีรูข้างในทำให้มีผิวสัมผัสเยอะ ก้อนใสไม่มีตะกอน หลายร้านมักซื้อเครื่องทำน้ำแข็งแบบนี้ไว้ที่ร้าน เพราะข้อดี คือ เย็นนานกว่า 3-4 ชม ขึ้นไป หลายๆร้านให้ความนิยมในการใช้ แต่ให้ความเย็นช้ากว่าเล็กน้อยice cube

น้ำแข็งสี่เหลี่ยมน้ำแข็งยอดนิยม มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีคุณสมบัติการละลายช้ากว่าน้ำแข็งประเภทอื่นๆ เนื่องจากมีความหนาแน่นสูง สามารถรักษาอุณหภูมิความเย็นไว้ได้นาน แม้จะอยู่ในภาชนะขนาดใหญ่ก็อยู่ได้หลายชั่วโมง และเป็นน้ำแข็งที่มีความสวยงาม ทำให้เครื่องดื่มดู สวยงามน่ารับประทานมากขึ้น เหมาะสำหรับเครื่องดื่มที่ไม่ต้องการให้น้ำแข็งทำลายรสชาติของเครื่องดื่ม เช่น ค็อกเทล, กาแฟเย็น, น้ำหวานชงดื่มชนิดต่างๆ

น้ำแข็งเกล็ดกรอบเป็นรูปทรงที่เรามักเห็นบ่อยๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น มีขนาดเล็ก ไม่แข็งมาก ถือว่าเป็นน้ำแข็งที่เคี้ยวง่ายที่สุด กรุบกรอบ เคี้ยวเพลิน เหมาะกับร้านอาหารที่ต้องการให้เครื่องดื่มมีอุณหภูมิที่เย็นเร็ว ไม่ได้ซื้อกลับ จะนิยมใช้แบบนี้มากกว่า เพราะน้ำแข็งประเภทนี้จะละลายเร็วมากเช่นกัน ยิ่งถ้าอากาศร้อนๆ ไม่ถึง 30 นาทีละลายเกือบหมดแก้ว จึงไม่ค่อยนิยมใช้ แต่จะเหมาะสำหรับเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ชา, กาแฟ โดยเฉพาะเครื่องดื่มปั่น เช่น สมูทตี้, ค็อกเทลปั่น หรือน้ำแข็งใส เพราะจะได้เนื่อน้ำแข็งที่เนียนนุ่มทำให้เครื่องดื่มรสชาติกลมกล่อมดี

น้ำแข็งถ้วย ทรงสวยดูแปลกตา วิบวับเหมือนคริสตัล มีรูปทรงและขนาดที่แน่นอน เพราะผลิตจากบล็อคน้ำแข็งที่ได้มาตรฐาน ไม่มีรูตรงกลางเหมือนน้ำแข็งทั่วไป จึงเป็นคุณสมบัติพิเศษทำให้น้ำแข็งละลายช้า ไม่ทำให้รสชาติของเครื่องดื่มเปลี่ยน บวกกับความที่ก้อนน้ำแข็งมีขนาดใหญ่และหนา มีความแวววาว สวยงาม นิยมใส่น้ำแข็งถ้วยในเครื่องดื่มที่ดูดีมีระดับ เลิศหรู ราคาแพง เหมาะสำหรับเครื่องดื่มระดับ High-end เช่น Whisky on the rocks, บรั่นดี หรือ ค็อกเทล Old Fashioned

ice matcha ice matcha

เทคนิคที่บางร้านนิยมใช้กันสำหรับการทำเมนูเครื่องดื่มเย็น อย่างพวกชา กาแฟ คือการพยายามทำให้ชา กาแฟ เย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะเอาไปเทใส่น้ำแข็ง บางร้านก็ใช้วิธีการเอาเอสเฟรสโซ่ช็อตไปแช่ในถังน้ำแข็ง พวกนมที่ต้องใส่ในเครื่องดื่มแก้วนั้นก็แช่เย็นไว้ตลอด จะช่วยให้เวลาเทใส่น้ำแข็ง น้ำแข็งจะละลายช้าลง

อีกประเด็นควรรู้สำหรับผู้ประกอบการขายเครื่องดื่ม คือ การใส่น้ำแข็งก่อนหรือหลังเทเครื่องดื่มลงไป มีผลต่างกันยังไงนั่นเอง

ถ้าใส่น้ำแข็งก่อน ราดน้ำเครื่องดื่มที่ผสมแล้วตามลงไป ในกรณีที่น้ำเครื่องดื่มร้อน มันจะละลายเอาน้ำแข็งลงไปด้วย ทำให้รสชาติแก้วนั้นจืดลง เว้นแต่มีการน็อกเครื่องดื่มนั้นก่อนเทตามที่กล่าวมาข้างต้น (ซึ่งปกติไม่ทำกันเพราะมันช้า ลูกค้าหลายคนไม่สามารถรอได้ )

แต่ถ้าใส่เครื่องดื่มก่อน แล้วค่อยตักน้ำแข็งใส่ลงไป วิธีนี้อาจทำให้เครื่องดื่มบริเวณด้านล่างยังอุ่นอยู่ ซึ่งมักดูดเจอเพราะ หลอดกาแฟจุ่มอยู่ด้านล่าง ทำให้รู้สึกว่าไม่เย็นชื่นใจ น้ำแข็งจะลอยอยู่เหนือเครื่องดื่ม

บางร้านจึงใช้วิธีใส่น้ำแข็งลงไปส่วนนึงก่อน เติมเครื่องดื่มลงไป เอาช้อนคนกาแฟยาว คนเร็วๆสักสิบวินาที แล้วค่อยเติมน้ำแข็งให้เต็มแก้ว ปิดฝาเสิร์ฟ ผลที่ได้ คือ ดูดแรกที่ลูกค้าได้จะมีความเย็นทันที

ลองเอาไปปรับกับสูตรที่ร้านของแต่ละร้านดูนะคะ เพื่อความอร่อยเข้มข้น กับสูตรของที่ร้าน

ที่มา

https://bit.ly/2VbXVVD

https://bit.ly/2K7Yh9x

www.ohhowcivilized.com

http://www.buzzfeed.com/lucyh3/35-things-you-appreciate-about-america-after-livin-147h?sub=2337227_1274821

บทความจาก : Fuwafuwa

Choosing the Right Tea: The Ideal Times to Drink for Optimal Health

สำหรับผู้ที่ชอบดื่มชาอาจจะอยากทราบว่า หากต้องการดื่มชาให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรดื่มเวลาไหนดีนะ? เพราะเครื่องดื่มอย่างชา..หากดื่มถูกจังหวะเวลาก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายได้ด้วย แต่ถ้าดื่มมากไปก็อาจจะเกิดผลเสียได้เช่นกัน แล้วช่วงเวลาไหนคือ เวลาที่เหมาะสมสำหรับการดื่ม และเหมาะกับแต่ละคน

ชงมัทฉะ

แนะนำให้ดื่มชาทันที หลังชงเสร็จร้อนๆทันทีไม่ควรปล่อยไว้นานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้น สีของน้ำชาจะคล้ำลง และมีรสชาติฝาด เพราะการดื่มแบบชงร้อนจะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารอาหารในชามากกว่า เนื่องจากชามีกรดแทนนินสูง (Tannin) หากคุณดื่มตอนที่มีรสฝาดจะส่งผลกระทบมายังกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งมันจะทำให้การดูดซึมสารอาหารไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการดูดซึมธาตุเหล็ก แคลเซียมและแมกนีเซียม

ในชายังมีสารสำคัญอย่างคาเทชิน (Catechin) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ช่วยดักจับอนุมูลอิสระ และสารธีอะนิน (Theanine) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำงานสัมพันธ์กันกับเส้นประสาท หากดื่มไปแล้วจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบนิ่งและสมองปลอดโปร่งมากขึ้น หากไม่ดื่มหลังชงร้อนๆเสร็จ ปล่อยน้ำชาไว้ให้เย็น จะทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้น้อยลง

อย่างไรก็ตามปกติเรามักจะได้ยินคนแนะนำว่าให้รับสิ่งดี ๆ ที่มีประโยชน์เข้าไปในตอนเช้า แต่ว่าอย่าดื่มชาเขียวตั้งแต่เช้าขณะท้องว่างเพราะว่าชาเขียวมีคาเฟอีนจะทำให้ร่างกายขับน้ำออกมา กลายเป็นอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ ผิวพรรณห่อเหี่ยวไม่สดชื่น สมองก็จะมึนงงได้ แถมชาเขียวยังกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารมากไปจนเกิดแผลตามมาได้ ควรกินอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยตามด้วยชาเขียวร้อนๆสัก 1 แก้วจะดีกว่า

ส่วนใครที่ชอบออกกำลังกายมีงานวิจัยทดลองว่าการดื่มชาเขียวก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที จะช่วยให้เราสดชื่นกระปรี้กระเปร่าและออกกำลังกายได้ต่อเนื่องยาวนานขึ้น ดังนั้นจึงเหมาะมากๆกับคนที่ต้องการจะลดน้ำหนักสลายไขมัน แต่ทั้งนี้ จะต้องเป็นชาเขียวเพียวๆที่ไม่ใส่น้ำตาลและนม

ชาเขียว

สำหรับคนที่ชอบจิบชาแทนน้ำเปล่า หรือคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบควรหันมาจิบน้ำชาอ่อนๆ ดีกว่า ไม่ควรจิบชาแก่ๆ เพราะจะยิ่งทำให้การหลั่งของกรดออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการระคายเคืองภายในกระเพาะอาหาร

ส่วนคนทั่วไปแนะนำให้ดื่มชาเข้มๆ หลังจากกินอาหารไปแล้ว 2-3 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้น้ำย่อยหลั่งออกมา จะทำให้การย่อยอาหารจำพวกวิตามินต่างๆ ได้ดีขึ้น การจิบชาที่มีควาามเข้มข้นต่างกัน จะกระตุ้นการหลั่งกรดมากน้อยต่างกัน ซึ่งจะได้ไม่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารหนักมากขึ้นไปกว่าเดิม และจะช่วยทำให้การดูดซึมสารอาหารเป็นไปได้ดี

ส่วนใครที่ต้องการดีท็อกซ์ร่างกาย วิธีที่ช่วยได้ก็คือ จิบชาเขียวที่ชงอ่อนๆ ตลอดทั้งวัน จิบทีละน้อยๆ หากดื่มไปรวดเดียวจนหมดแก้วจะช่วยเรื่องการล้างพิษไม่ได้ และกลายเป็นจะถูกขับออกไปอย่างรวดเร็วในรูปแบบปัสสาวะแทน

แม้จะไม่มีการระบุว่าการดื่มช่วงไหนคือเวลาที่ดีที่สุด แต่การดื่มให้เหมาะกับพฤติกรรมและช่วงเวลาที่แต่ละคนสะดวก ก็จะทำให้การจิบชาแต่ละครั้งก็จะทำให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วยมากขึ้น ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจ ^^

ที่มา

https://www.topteny.com/top-10-most-expensive-tea-in-the-world/

https://www.poetrysoup.com/poem/green_tea_cleans_your_thoughts_1124642

http://goop.com/the-best-green-lattes-thank-you-very-matcha/

บทความจาก : Fuwafuwa

Allergy-Friendly Japanese Green Tea Cake: A Soft, Delicious Treat for Sensitive Diets

ถ้าพูดถึงวัตถุดิบหลักในการทำขนม หลายคนต้องนึกถึง นม ไข่ เนยที่เป็นวัตถุดิบที่มีกลิ่นหอม และอร่อยล้ำ แต่ในทางตรงกันข้าม วัตถุดิบเหล่านี้ จะทำให้ร่างกายทำงานหนักเพื่อย่อยสลาย บางคนอาจจะทานได้ในปริมาณที่จำกัด นอกจากนี้ในปัจจุบันมีเด็กที่แพ้อาหารดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก อาหารแมคโครไบโอติกส์ จึงเป็นอีกทางเลือกของคนกลุ่มนี้

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าจะเป็นขนมสุขภาพดีต้องใช้แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 100% ในการทำขนม  ซึ่งแป้งโฮลวีตนี้เป็นแป้งไม่ขัดขาว ที่มีส่วนผสมของรำข้าวอยู่ด้วย แต่เนื้อเค้กแบบนี้มักจะแข็งกระด้าง ไม่อร่อย ที่ญี่ปุ่นนิยมใช้แป้งเค้กมาผสมครึ่งนึ่งของสูตรแป้ง เพื่อให้เนื้อเค้กนุ่มฟู ได้สัมผัสของความเป็นเค้ก

รอบนี้เอาใจคนไม่มีเตาอบด้วยสูตรเมนูเค้กปอนด์นุ่มฟูสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งสามารถทำได้โดยการนำไปนึ่งแทน เค้กปอนด์จะค่อยๆสุกด้วยไอร้อน เนื้อสัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ ละมุนลิ้น รสขมนิดๆของชาเขียวที่เข้ากันกับรสหวานของถั่วดำ การทำสูตรนี้มือใหม่หัดทำขนมก็สามารถทำได้ เพราะเพียงแค่ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี โดยเฉพาะแป้งและของเหลวที่ควรคนให้เนียนเข้ากันดีโดยไม่หยุดมือ จากนั้นเทใส่พิมพ์แล้วอบโดยเร็ว มิฉะนั้นเค้กจะไม่นุ่มฟู แต่ถ้ากรณีที่บางสูตรของเค้กนึ่งมีส่วนผสมของน้ำมัน และแป้ง ให้คนส่วนผสมพอเข้ากันไม่ให้เห็นเม็ดแป้งก็พอ เพราะหากคนนานเกินไป ก็จะส่งผลให้เค้กไม่ฟูเช่นกัน

matcha cake

ส่วนผสม

1. แป้งเค้ก 100 กรัม

2. ส่วนผสม A

  • แป้งโฮลวีตแบบละเอียด 50 กรัม
  • ผงฟู 2 ช้อนชา
  • น้ำตาลเทนไซ หรือน้ำตาลสีรำ 40 กรัม ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการปรับสมดุลลำไส้ ทานแล้วระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าประเภทอื่น
  • เกลือป่นเล็กน้อย

3. ส่วนผสม B

  • ผงชาเขียว 2 ช้อนชา
  • นมถั่วเหลือง 1 ⅓ ช้อนโต๊ะ

4. ส่วนผสม C

  • แบะแซ หรือ Corn syrup 2 ช้อนโต๊ะ เป็นสารให้ความหวานที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายไม่ต้องทำงานหนัก
  • เมเปิ้ลไซรัป 1 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันเมล็ดองุ่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • นมถั่วเหลือง 100 มิลลิลิตร

5. ถั่วดำ ¼ ถ้วย ต้มให้สุกแล้วพักไว้

วิธีทำ

1. ร่อนแป้งเค้กลงในอ่างผสม ใส่ส่วนผสม A ลงไป พร้อมถั่วดำที่ต้มแล้วครึ่งนึง ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากันแล้วพักไ2ว้

2. เทส่วนผสม C ลงในอ่างผสมใช้ตะกร้อมือคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วเทรวมลงในข้อ 1 ใช้พายยางคนให้พอเข้ากัน แต่อย่าคนนานเกินเอาแค่เป็นเนื้อเดียวกัน

3. คนส่วนผสม B ให้เป็นเนื้อเดียวกัน เทลง ข้อ 2 คนรวมๆกันด้วยความเร็ว เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ชาเขียวจะจับตัวเป็นก้อน ทำให้การคนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันยาก

matcha cake

4. เทส่วนผสมลงพิมพ์ หรือถ้วยที่ต้องการ วางพิมพ์ลงบนหม้อนึ่งที่มีน้ำต้มเดือดแล้ว นึ่ง 30 นาที เมื่อสุกดี ยกลงจากเตา แกะออกจากกระดาษไข พ้อมเสิร์ฟ หรือถ้ายังไม่ทานเลย วางพักไว้บนตะแกรงให้เย็นสนิทก่อน

5. หลังเค้กเย็นแล้ว ให้ห่อเค้กปอนด์ด้วยพลาสติกใสถนอมอาหารให้มิด นำไปแช่เย็นไว้ จะเก็บได้นานถึง 3 วัน หรือถ้าวางไว้ที่อุณหภูมิห้องแนะนำให้ทานภายใน 1-2 วัน หรือถ้าต้องการทานแบบอุ่นๆสามารถนำเค้กไปนึ่งใหม่ได้ ประมาณ 40 วินาทีหลังน้ำเดือด

matcha cake matcha cake

ที่มา

https://cookingwithdog.com/recipe/matcha-mushipan/

www.roof-kitchen.jp

https://www.pinterest.com/pin/654359020846628778/

บทความจาก : Fuwafuwa

เทคนิคตั้งราคาขายให้ลูกค้าเข้าร้านง่ายขึ้น

ร้านชาหลายร้านที่ใช้ผงชานำเข้าจากญี่ปุ่น หรือใช้เกรดพรี่เมี่ยมในการทำเมนูเครื่องดื่มและขนมในร้าน อาจจะเกิดปัญหาที่ว่า ต้นทุนสูง ต้องตั้งราคาขายยังไงให้ไม่รู้สึกแพงจนเกินไปสำหรับลูกค้า และไม่ทำให้ร้านขาดทุนด้วย 5 วิธีง่ายๆช่วยให้ลูกค้าเข้าร้านได้มากขึ้น

1. ขายเป็นเซต ขายง่ายกว่า นอกจากจะได้ความคุ้มค่าแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความต้องการให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เช่น ปกติขายแยกเมนูข้าว แยกของหวาน แต่เอามาจับเซ็ต โดยทำให้ราคาของสองอย่างเมื่อรวมกันแล้วถูกกว่าราคาที่ซื้อแยกกัน ลูกค้าจะรู้สึกได้ทานอาหารในราคาถูก ถึง 2 เมนู คุ้มค่า และทำให้อาหารในร้านขายออกได้เร็วขึ้นอีกด้วย ลดเวลาในการตัดสินใจเลือกเมนูของลูกค้า

บางร้านอาจจะจัดเซตเมนูที่ราคา สูง กลาง ต่ำ เพิ่มเติม เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่ามี Option และเห็นง่ายขึ้นว่าชุดไหนคุ้มค่าที่ควรสั่ง

matcha menu

2. ตั้งราคาให้โดดเด่นจากร้านอื่น เพื่อดึงดูดใจลูกค้าแล้ว ยังเป็นการกำหนด position ร้านอาหารของคุณให้ต่างจากคู่แข่ง หลักๆ มี 3 รูปแบบ คือ

  • ตั้งราคาขายให้น้อยกว่าคู่แข่ง เป็นวิธีที่ผู้ประกอบการหลายคนคิดว่าจะดึงลูกค้าเข้ามาที่ร้านได้ง่าย แต่การจะตั้งราคาให้ถูกกว่าคู่แข่งนั้น ต้องไม่ลืมที่จะคำนวนต้นทุนด้วย แต่ถ้าเป็นร้านที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อน้อย ลูกค้าใช้เกณฑ์ราคาในการตัดสินใจซื้อ และร้านเน้นปริมาณการขายเป็นหลัก ก็เป็นวิธีที่ดีทีเดียว
  • ตั้งราคาขายให้สูงกว่าคู่แข่งโดยเฉพาะร้านที่มีลูกค้าที่ต้องการคุณภาพ บริการ ที่ได้มาตรฐาน ที่ตั้ง การตกแต่ง บริการ และคุณภาพของวัตถุดิบที่พิเศษ เป็นเอกลักษณ์ วัตถุดิบพรีเมี่ยมจากต่างประเทศ หรือมี Story ที่เล่าถึงคุณค่าของสินค้านั้นๆ การตั้งราคาที่สูงกว่าคู่แข่ง ก็สามารถทำได้ เช่น สตาร์บัคที่เกียวโตออกเมนูฉลองครบรอบ 20 ปี ในราคาสูงถึงแก้วละ 590 เยน แต่ด้วยการบริการ ความพิเศษของส่วนผสมในซีรีย์นี้ และpositionของแบรนด์เลยทำให้สามารถขายในราคาสูงได้

matcha menu

หรืออย่างร้านขนมแห่งหนี่งที่ญี่ปุ่น ขายขนมที่เน้นทำจากผงมัทฉะ ซึ่งที่ญี่ปุ่น เมนูขนมมัทฉะถือว่าหาทานได้ทั่วไป ราคาก็ไม่ได้ตั้งจากร้านอื่นนัก แต่ร้านนี้กลับใช้วิธี เพิ่มการบริการด้วยเครื่องดื่มเป็น Drink Bar ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกเครื่องดื่มดื่มเพิ่มเติม ได้เพียงบวกเงินเพียงเล็กน้อย เลยยิ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าและอยากเข้าร้านนี้มากกว่าร้านอื่น เพราะมี Drink Bar ให้ได้เลือกดื่มเอง

matcha menu

  • ตั้งราคาขายให้เท่ากับคู่แข่ง จุดแข็งที่ชัดเจน โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ เมนู รายละเอียดเล็กๆน้อยๆของการบริการ แต่ถ้าลูกค้ารู้สึกพึงพอใจได้มากกว่า ลูกค้าก็คงตัดสินใจเลือกร้านคุณแน่นอน เช่น ร้านที่ขายชาเขียวเหมือนๆกัน แต่คุณเป็นร้านที่ใช้ผงชาจากเมืองอูจิ เกียวโต เมืองขึ้นชื่อ ว่าเป็นแหล่งปลูกชาชั้นดี ย่อมทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเหมือนได้ทานชาจากญี่ปุ่นแท้ๆ

3. มีเมนูเริ่มต้นราคาไม่แรง ที่ลูกค้ารู้สึกว่าพอจ่ายได้ เพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านมาก่อน เช่น ขายพุดดิ้งชาเขียว ขนมที่ใช้ส่วนผสมน้อย ทำง่าย วางเรียงขายหน้าร้านให้ซื้อง่ายขายคล่อง เพราะชามีส่วนผสมของนม ไม่สามารถเก็บไว้ได้นาน จึงไม่ควรตั้งราคาสูงมาก พอดึงลูกค้าเข้าร้านแล้วยังสร้างการจดจำว่าเป็นร้านที่ไม่เน้นขายของแพง แต่คุณยังสามารถทำกำไรเพิ่มได้จากการขายเมนูอื่นๆของร้านเพิ่มเติมได้ เช่น เมนูเครื่องดื่ม หรือจัดวางขนมเบเกอรี่อื่นๆของร้านในราคาที่เพิ่มขึ้น หรือใช้รูปแบบการเพิ่มความพิเศษให้กับเมนูเริ่มต้น โดยการจ่ายเพิ่มอีกไม่กี่บาท แล้วซื้อเมนูอื่นเพิ่มได้ในราคาที่ถูกลง

matcha menu

เช่น ร้านขนมแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ออกเมนูรับฤดูใบไม้ผลิด้วยวัตถุดิบเกาลัด ผลไม้ตามฤดูกาล แต่ขายในราคา 430 เยน ซึ่งค่อนข้างสูง จึงมีการขายเมนูอื่นๆที่เริ่มเต้นในราคาเพียง 200 กว่าเยน ดึงให้ลูกค้าเข้ามาที่ร้านก่อนนั้นเอง

อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ที่ระบบการขายดิลิเวอรี่กำลังมาแรงช่วงนี้ข้อควรระวัง คือ การตั้งราคาขายในระบบดิลิเวอรี่ที่ต้องมีการจ่ายค่า GP เพิ่มเติม ต้องคำนวนต้นทุนให้ดีว่า ราคาที่เคยขายหน้าร้าน เมื่อเอาเข้า Delivery Platform แล้วยังขายเท่าเดิมได้หรือไม่ เพราะมีความเสี่ยงที่หลังหัก GP แล้ว อาจจะขาดทุนได้  การเลือกเมนู และการตั้งราคาสำหรับระบบดิลิเวอรี่ จึงเป็นอีกเรื่องที่มองข้ามไม่ได้เลยทีเดียว โดยมาตรฐานแล้ว ต้นทุนของแต่ละเมนูไม่ควรเกิน 30%ของราคาขายแต่ถ้าต้องเกินจริงๆ ก็ควรมีบางเมนูฝนร้านที่ต้นทุนน้อยกว่า 30% เผื่อให้มาถัวเฉลี่ยกันนั้นเอง

ที่มา

http://www.skylark.co.jp/jonathan/menu/dessert.html

https://matcha-jp.com

http://www.komeda.co.jp/

บทความจาก : Fuwafuwa

ข้อควรระวังในการดื่มชา ที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้

หลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่า การดื่มชามีประโยชน์มากมาย แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าการดื่มชามากจนเกินไปจะมีผลเสียต่อร่างกายพอสมควรเลยทีเดียว

matcha benefits

1. การดื่มน้ำชาไม่ว่าจะชาร้อนหรือชาแช่เย็นไม่ควรแต่งรสด้วยนมสด นมข้นหรือนมผง เพราะโปรตีนในนมจะไปจับกับสารสำคัญในชา ทำลายประสิทธิภาพสารออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิธีการดื่มชาเขียวให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงควรดื่มน้ำชาล้วนๆไม่ควรปรุงแต่ง นอกจากจะได้สารอาหารที่ครบถ้วนแล้วยังไม่อ้วนจากน้ำตาลที่ปรุงแต่งเข้าไปด้วย

2. ใบชายังมีองค์ประกอบของฟลูออไรด์ในปริมาณที่ค่อนข้างสูงและสูงกว่าปริมาณในน้ำประปา หากดื่มในปริมาณที่มากเกินไป จะเกิดการสะสม มีผลให้ไตวาย เกิดมะเร็งลำไส้ โรคกระดูกพรุน (Osteofluorosis) โรคข้อ และโรคอื่นๆที่เกี่ยวกับกระดูก และยังทำให้ฟันเกิดคราบเหลืองได้ ยิ้มฟันขาวๆจะหายไป แต่ผู้ที่ดื่มไม่มาก ก็คงไม่ต้องกังวล

3. หลีกเลี่ยงชาที่มีส่วนผสมของคอมเฟรย์ (comfrey)ซึ่งมีสารไพโรลิซิดีน อัลคาลอยด์ อันอาจเป็นอันตรายต่อตับ ในบางประเทษดอกคอมเฟรย์เป็นเรื่องต้องห้ามเลย

matcha

4. สารออกซาเรท (oxalate) ในชาที่มีอยู่ในปริมาณน้อย แต่หากผู้ที่ชื่นชอบการดื่มชามากจนเกินไปและดื่มบ่อยๆเป็นประจำ จะสะสมสารออกซาเรทในร่างกายได้ อาจส่งผลต่อการทำลายไตได้

5. ใบชามีคาเฟอีนในปริมาณสูงอาจสูงกว่าในเมล็ดกาแฟด้วยซ้ำไป เพียงแต่การดื่มน้ำชา สารแทนนินจากน้ำชาจะช่วยลดการดูดซึมของคาแฟอีนเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ฤทธิ์การกระตุ้นหัวใจและสมองน้อยกว่ากาแฟมากคาเฟอีน แต่ก็ส่งผลต่อการนอนเช่นเดียวกับกาแฟ ดังนั้นไม่ควรดื่มภายในสามชั่วโมงก่อนเข้านอน

6. สารแทนนินที่มีอยู่ในชาเขียวซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการท้องผูกเพราะสารตัวนี้ทำหน้าที่ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารสำคัญอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน เหล็กและโฟลิก เพราะฉะนั้น เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูกตามมา แนะนำให้คุณหันมาดื่มชาเขียวแต่เพียงในปริมาณพอดี โดยดื่มวันละไม่ควรเกินกว่า 5 แก้ว ร่วมกับการดื่มน้ำให้มากๆ และกินอาหารที่มีกากใยสูง ก็จะช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ทำงานคล่องตัวขึ้นได้แล้ว ดังนั้นจึงมักจะมีคำแนะนำไม่ให้เด็กดื่มน้ำชา ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวแช่เย็นหรือชาร้อน เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้

7. สารคาเทคชินส์ (Catechins) ที่อยู่ในชา จะถูกความร้อนทำลายไปเกือบหมด คงเหลือแต่ความหอมและรสชาติ ถ้าต้องการดื่มชาร้อนๆ ควรดื่มน้ำชาที่เข้มข้น เช่นเดียวกับคนจีน ที่นิยมชงชาจีนรสเข้มข้นในถ้วยชาใบจิ๋วคล้ายกับการดื่มกาแฟเอ็กซ์เพรซโซ่ ความเข้มข้นของใบชาจะทำให้มีปริมาณสารคาเทคชินส์ที่เข้มข้น และแม้ว่าสารเหล่านี้จะสลายตัวไปบางส่วนเมื่อโดนความร้อนจากน้ำร้อน แต่จะยังคงมีบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้บ้าง

ไม่ว่าจะเป็นชาเขียวหรือชาชนิดใดก็ตาม ควรดื่มในปริมาณ และเวลาที่เหมาะสมเพื่อบำรุงร่างกายจะดีกว่าการดื่มที่มากเกินไป ^^

ที่มา

https://bit.ly/3a3MFi2

https://www.ful-filled.com/2018/01/23/all-about-matcha/

https://health.mthai.com/howto/health-care/12777.html

https://mommypotamus.com/comfrey/

บทความจาก : Fuwafuwa

Matcha and Water Chemistry: Getting the Best Out of Every Brew

ปกติแล้วเรามักนิยมแช่ใบชากับน้ำร้อนนานๆ อยากดื่มเมื่อไหร่ก็เทออกมา ซึ่งความคุ้นเคยนี้ทำให้บางครั้งเราไม่ได้รับรสชาที่แท้จริง การชงชาแต่ละชนิดมีความแตกต่างจากหลักการเบื้องต้นไม่มากนัก แต่ก็มีความละเอียดอ่อนที่จะช่วยให้ได้รสอร่อยและประโยชน์ของชาอย่างแท้จริง

ใบชาแต่ละชนิด มีสารอาหารอยู่ในปริมาณที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับกรรมวิธีการผลิต ซึ่งสารอาหารเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นตัวกำหนด “รสชาติ” ของชา เช่น ชาที่มีกรดอะมิโนเยอะ ก็จะมีรสกลมกล่อม ชาที่มีสารแคทิซินเยอะ ก็จะมีรสฝาด และขม

มัทฉะ มัทฉะ

ซึ่งนอกจากประเภทชาแล้ว “น้ำ”ที่ใช้สำหรับชงชา ดูเผินๆหลายคนคงไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันนัก เน้นไปที่เลือกผงชา ใบชา ที่คุณภาพดีไว้ก่อน แต่ความจริงแล้ว การชงชาให้อร่อยชนิดของน้ำที่ชง มีผลต่อรสชาติและกลิ่นของชา ที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะสารอาหารในชา นอกจากจะมีปริมาณที่ต่างกันแล้ว ยังมีคุณสมบัติละลายในน้ำอุณหภูมิที่ต่างกันอีกด้วย

อย่างชาเขียว คือ ชาที่ไม่ผ่านการหมักหากชงด้วยน้ำเดือด 100 องศา ใบชาจะเฉา เหี่ยว และขับสารแคทิซีนออกมาเป็นจำนวนมากส่งผลให้ชามีรสขม เวลาดื่มรสสัมผัสจะน้อยลง เพราะในชาเขียวเป็นชาที่มีปริมาณกรดอะมิโนสูง การจะชงชาให้ได้รสชาติดีที่สุดนั้น จะต้องดึงกรดอะมิโนออกมา โดยที่ในขณะเดียวกันก็ต้องระวังไม่ให้สารแคทิซิน ซึ่งเป็นสารให้ความขมและฝาดออกมา จึงต้องใช้น้ำที่อุณหภูมิระหว่าง 50-60 องศาเซลเซียส เพราะกรดอะมิโน จะเริ่มละลายออกมาในน้ำอุณหภูมิตั้งแต่ 50 องศา ในขณะที่สารแคทิซิน จะละลายออกมาที่น้ำอุณหภูมิสูงกว่า 60 องศา เป็นต้น หรือสรุปง่ายๆคือการชงชาเขียว จึงต้องใช้น้ำร้อนอุณหภูมิต่ำกว่า 100 องศา  แต่ถ้าเป็นมัทฉะและเซนฉะใช้น้ำร้อน ร้อนแค่85 องศาก็เพียงพอแล้ว

วิธีชงมัทฉะ

นอกจากนี้จริงๆแล้วที่ยุโรป มักจะใช้น้ำบรรจุขวดในการชงชา ไม่ใช้น้ำแร่ เพราะแร่ธาตุในน้ำแร่จะทำให้รสชาติของแร่ธาตุจะไปกลบรสชาติของชา ทำให้ไม่รู้รสชาติที่แท้จริง แต่น้ำแร่ในฝั่งเอเชีย กลับเป็นน้ำที่เหมาะสมในการใช้ชงชามากกว่า

หากจะชงชาเพื่อลิ้มรสของชาจริงๆแล้ว ไม่ควรใช้น้ำก๊อก แม้จะเป็นน้ำก๊อกที่สามารถดื่มได้ก็ตาม เพราะน้ำจากก๊อกอาจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ หากนำมาชงชาก็อาจจะทำให้เสียอรรถรสในการดื่มชาได้เช่นกัน

ที่มา

https://www.morimatea.com/

https://bestceramics.cn/products/chinese-landscape-painting-stoves

บทความ : Fuwafuwa